Q

มีโปร์เช่ 911 gt3 ที่ถูกผลิตออกมาจำนวนเท่าไหร่

Porsche 911 GT3 แต่ละเจเนอเรชันมีจำนวนการผลิตแตกต่างกัน รุ่น 996 ผลิตระหว่างปี 1999-2005 จำนวนประมาณ 1,868 คัน รุ่น 997 ผลิตระหว่างปี 2007-2012 จำนวนประมาณ 9,000 คัน รุ่น 991 ผลิตระหว่างปี 2013-2019 จำนวนประมาณ 25,000 คัน ส่วนรุ่น 992 ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2024 Porsche 911 GT3 (992.1) มียอดขายทั่วโลก 15,667 คัน โดยในตลาดสหรัฐฯ จำหน่ายได้ 5,328 คัน และในภูมิภาคอื่นๆ จำหน่ายได้ 10,339 คัน
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
ข้อเสียของ Porsche 911 คืออะไร
Porsche 911 ถือเป็นรถสปอร์ตคลาสสิกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ แต่ในการใช้งานจริงในประเทศไทยซึ่งมีสภาพอากาศแบบร้อนชื้น ก็มีบางจุดที่ควรพิจารณา เช่น การวางเครื่องยนต์ไว้ด้านหลังอาจทำให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลงเล็กน้อยในช่วงที่ต้องขับขี่ติดขัดนาน ๆ กลางเมืองอย่างกรุงเทพฯ ระบบแอร์อาจใช้เวลานานกว่ารถที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสภาพอากาศเขตร้อนในการทำความเย็น และความสูงจากพื้นรถที่ค่อนข้างต่ำอาจเสี่ยงต่อการเฉี่ยวหรือขูดใต้ท้องรถในพื้นที่ที่ถนนไม่เรียบ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้ลดทอนจุดเด่นของ 911 ในฐานะรถสปอร์ตสมรรถนะสูง เพียงแต่ผู้ใช้งานในไทยควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เช่น ตรวจสอบระบบระบายความร้อนเป็นประจำ จอดในที่ร่มเมื่อต้องจอดทิ้งไว้นาน เพื่อถนอมชิ้นส่วนสำคัญต่าง ๆ หากเข้าใจลักษณะเฉพาะของรถและดูแลอย่างเหมาะสม 911 ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่และต้องการรถสปอร์ตที่ใช้งานได้ทั้งในชีวิตประจำวันและในวันหยุดสุดสัปดาห์บนถนนสายภูเขาหรือทางเรียบริมทะเลของประเทศไทย
Q
Porsche 911 อยู่ในกลุ่มเซ็กเมนต์ใด
Porsche 911 จัดอยู่ในกลุ่มรถสปอร์ตหรูสมรรถนะสูง (Luxury Performance Car Segment) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดรถยนต์ของประเทศไทย ด้วยการออกแบบเครื่องยนต์วางหลังอันเป็นเอกลักษณ์และรูปลักษณ์ที่เป็นไอคอนของแบรนด์ 911 จึงโดดเด่นในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ระดับพรีเมียม โดยเฉพาะในเขตเมืองรอบกรุงเทพฯ หรือเส้นทางริมทะเลอย่างหัวหินและพัทยาที่เหมาะกับการขับขี่แบบล่องเรือในวันหยุด รถรุ่นนี้มีตัวเลือกขุมพลังหลากหลาย ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นอย่าง Carrera ไปจนถึงรุ่นสมรรถนะสูงอย่าง Turbo S และรุ่นสำหรับสนามแข่งอย่าง GT3 RS ซึ่งล้วนใช้เครื่องยนต์แบบ 6 สูบนอน (Boxer) ที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างแม่นยำบนถนนคดเคี้ยว เช่น ทางขึ้นดอยสุเทพในจังหวัดเชียงใหม่ แม้ราคาขายในไทยจะสูงจากโครงสร้างภาษีนำเข้ารถหรู แต่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการมักมีบริการปรับแต่งเฉพาะบุคคลเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับบน อีกทั้งยังมีศูนย์บริการที่ได้รับการรับรองจาก Porsche ซึ่งมั่นใจได้ในเรื่องของการดูแลรักษารถภายใต้สภาพอากาศแบบร้อนชื้นของไทย จุดเด่นที่ทำให้ 911 แตกต่างจากคู่แข่งในระดับเดียวกันคือประวัติศาสตร์การพัฒนายาวนานกว่า 60 ปี ที่ยังคงไว้ซึ่งดีไซน์คลาสสิกควบคู่กับสมรรถนะที่ทันสมัย และความสามารถในการขับใช้งานได้ทั้งในชีวิตประจำวันและบนสนามแข่ง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ซูเปอร์คาร์สมัยใหม่จำนวนมากยังไม่สามารถเทียบเท่าได้
Q
Resale Value ของ Porsche 911 คืออะไร
Porsche 911 ถือเป็นรถสปอร์ตที่มีอัตราการรักษามูลค่าสูงในตลาดรถมือสองของประเทศไทย ซึ่งเป็นผลมาจากดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยเฉพาะในตลาดรถหรูของไทยที่มีความต้องการรถยนต์เฉพาะกลุ่มสูง 911 จึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากความหายากและเสน่ห์เฉพาะตัว โดยรถที่มีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปีมักยังสามารถรักษามูลค่าไว้ได้ราว 60% ถึง 70% ของราคารถใหม่ ทั้งนี้อัตราการรักษามูลค่าจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพรถ ระยะทางที่ใช้งาน อุปกรณ์เสริม และประวัติการเข้ารับบริการจากศูนย์บริการอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าที่สูงในไทยส่งผลให้ราคารถใหม่ของ Porsche 911 สูง จึงทำให้รถมือสองมีความคุ้มค่ามากขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจซื้อรถมือสอง การเลือกซื้อรถที่ผ่านการรับรองจาก Porsche (CPO) จะช่วยให้มั่นใจในคุณภาพ และยังได้รับบริการรับประกันเพิ่มเติมซึ่งช่วยลดต้นทุนการถือครองในระยะยาว อีกทั้งรุ่นสมรรถนะสูงอย่าง GT3 ที่ผลิตจำกัดยังมีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มขึ้นหรือราคาตลาดสูงกว่าราคาป้ายแดง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการถือครองระยะยาวหรือมองหาโอกาสลงทุนในรถสะสมระดับพรีเมียม
Q
Porsche 911 มีกี่ซีซี
ขนาดความจุกระบอกสูบของเครื่องยนต์ใน Porsche 911 จะแตกต่างกันไปตามรุ่นและเจเนอเรชัน โดยรุ่นที่พบได้บ่อยในตลาดประเทศไทยอย่าง 911 เจเนอเรชัน 992 รุ่น Carrera มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบนอน (Boxer) ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ความจุจริงอยู่ที่ 2,981 ซีซี ขณะที่รุ่นสมรรถนะสูงอย่าง 911 Turbo S ใช้เครื่องยนต์ขนาด 3.7 ลิตร เทอร์โบคู่ ความจุ 3,745 ซีซี ซึ่งเทคโนโลยีเทอร์โบของ Porsche สามารถรักษาสมรรถนะได้อย่างคงที่แม้ในสภาพอากาศร้อนจัดของประเทศไทย แม้ราคาของ 911 ในไทยจะสูงกว่าหลายประเทศเนื่องจากภาษีนำเข้าที่สูง แต่ก็ยังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ขับขี่ที่ให้ความสำคัญกับสมรรถนะและการควบคุม โดยเฉพาะในพื้นที่รอบกรุงเทพฯ อย่างสนามแข่งรถที่จังหวัดชลบุรีหรือเส้นทางคดเคี้ยวในเชียงใหม่ เช่น ดอยสุเทพ ความจุของเครื่องยนต์ (cc) แม้จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ประเมินพละกำลัง แต่จุดเด่นของ 911 กลับอยู่ที่การผสมผสานระหว่างเกียร์อัตโนมัติ PDK และการวางเครื่องยนต์ด้านหลัง ที่ให้สมดุลและการควบคุมที่ยอดเยี่ยม แม้จะขับขี่บนเส้นทางที่โค้งชันก็ยังให้ความมั่นใจสูง ทั้งนี้ Porsche ยังมีแผนพัฒนาเวอร์ชันไฮบริดในอนาคต แต่ยังคงยืนยันว่าจะรักษาเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ไว้ต่อไปเพื่อสืบทอดจิตวิญญาณของ 911 อย่างแท้จริง
Q
เครื่องยนต์ใน Porsche 911 คืออะไร
Porsche 911 มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ 6 สูบนอน (Boxer Engine) ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของรุ่นนี้ โดยสามารถมอบสมรรถนะที่ทรงพลังและเสถียรแม้ในสภาพอากาศร้อนจัดของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ที่ต้องเผชิญกับการจราจรติดขัด หรือเส้นทางโค้งขึ้นเขาในจังหวัดเชียงใหม่ สำหรับ 911 รุ่นล่าสุดเจเนอเรชัน 992 มีให้เลือกหลายระดับสมรรถนะ เริ่มจากรุ่นพื้นฐาน Carrera ที่ใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 385 แรงม้า ส่วนรุ่นสมรรถนะสูงอย่าง Turbo S มอบพละกำลังถึง 650 แรงม้า และสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเพียง 2.7 วินาที จุดเด่นของเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์คือศูนย์ถ่วงต่ำ ซึ่งช่วยเพิ่มเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ถนนลื่น นอกจากนี้ในตลาดประเทศไทยยังมีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อนสี่ล้อ (ระบบ PTM ของ Porsche) โดยรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อจะเหมาะกับสภาพถนนเปียกชื้นในฤดูฝนมากกว่า ตัวแทนจำหน่ายในไทยมักมีการปรับจูนระบบระบายความร้อนให้เหมาะกับสภาพอากาศเขตร้อน พร้อมแนะนำให้ใช้เชื้อเพลิงเบนซินออกเทน 95 ขึ้นไปเพื่อคงประสิทธิภาพสูงสุดของเครื่องยนต์ ทั้งนี้เครื่องยนต์ของ 911 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความทนทานสูง แม้ต้องเผชิญกับการขับขี่ในเมืองที่ติดขัด ก็ยังสามารถรักษาระดับอุณหภูมิได้ดี จึงไม่แปลกที่ 911 จะได้รับความนิยมจากผู้ที่หลงใหลในรถสมรรถนะสูงในประเทศไทย
Q
เกียร์ประเภทของ Porsche 911 คืออะไร
ระบบเกียร์ของ Porsche 911 แตกต่างกันไปตามรุ่นและปีที่ผลิต โดยปัจจุบันมีให้เลือกหลักๆ สองแบบ ได้แก่ เกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ (7-speed manual) และเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 จังหวะ (8-speed PDK) ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใช้ที่แตกต่างกัน โดยเกียร์ธรรมดาเหมาะสำหรับผู้ที่หลงใหลในการขับขี่แบบดิบๆ ต้องการความรู้สึกเชื่อมต่อกับตัวรถอย่างแท้จริง ขณะที่เกียร์ PDK โดดเด่นเรื่องความรวดเร็วในการเปลี่ยนเกียร์และประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพจราจรที่หนาแน่นในเมืองไทย หรือในการขับขี่บนสนามแข่ง ในประเทศไทยซึ่งมีสภาพถนนหลากหลาย ระบบเกียร์ PDK ที่มีโหมดอัตโนมัติสามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและสะดวกสบาย ในขณะที่โหมดแมนนวลก็สามารถตอบสนองผู้ที่ต้องการควบคุมรถอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ระบบเกียร์ของ Porsche 911 ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในตลาด โดยไม่ว่าจะเลือกแบบใด ก็มั่นใจได้ถึงความทนทานและสมรรถนะระดับสูง สำหรับผู้ใช้ชาวไทย สภาพอากาศร้อนจัดในประเทศอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อระบบเกียร์โดยเฉพาะเรื่องความร้อนสะสม อย่างไรก็ตาม Porsche ได้ออกแบบระบบระบายความร้อนของเกียร์ให้เหมาะสมกับการใช้งานในสภาพอากาศเช่นนี้ จึงมั่นใจได้ว่ารถจะสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในระยะยาวไม่ว่าจะเลือกเกียร์แบบใดก็ตาม
Q
PCD ขนาดเท่าไรของ Porsche 911
ระยะ PCD (Pitch Circle Diameter) ของ Porsche 911 อยู่ที่ขนาด 5x130 ซึ่งหมายความว่าล้อมีรูน็อต 5 รูเรียงอยู่บนวงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 130 มิลลิเมตร โดยเป็นมาตรฐานที่ใช้กับรุ่นยอดนิยมของ 911 ส่วนใหญ่ รวมถึงรุ่น Carrera และ Turbo ที่พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทย สำหรับผู้ใช้รถในไทย หากต้องการปรับเปลี่ยนล้อแม็ก จำเป็นต้องเลือกแบบที่มีค่า PCD ตรงกันเพื่อความปลอดภัยและการติดตั้งที่ถูกต้อง เพราะหากไม่ตรงอาจทำให้เกิดปัญหาในการขับขี่หรือเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ สภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทยยังส่งผลต่อวัสดุของล้อ เช่น ความทนทานต่อการกัดกร่อนของอลูมิเนียม ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ควรพิจารณา นอกเหนือจาก PCD แล้ว ยังมีค่าที่สำคัญอื่นๆ อย่างเช่น เส้นผ่านศูนย์กลางของดุมล้อ (Center Bore) ที่ใน 911 ส่วนใหญ่อยู่ที่ 71.6 มิลลิเมตร และค่า Offset หรือ ET ซึ่งมีผลต่อระยะยื่นของล้อ หากผู้ใช้ในไทยต้องการอัปเกรดหรือแต่งล้อ ควรเลือกผ่านศูนย์บริการหรือร้านแต่งรถที่ได้รับการรับรองเพื่อให้มั่นใจในเรื่องความปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะของรถ และเนื่องจากสภาพถนนในไทยค่อนข้างหลากหลาย การเลือกใช้ล้อที่มีน้ำหนักเบาอาจช่วยเพิ่มการควบคุมที่ดีขึ้น พร้อมกันนี้ควรตรวจสอบแรงบิดของน็อตล้อเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อนหรือหลังจากขับผ่านพื้นที่ชื้นแฉะบ่อยครั้งเพื่อป้องกันการหลุดคลายของล้อในระหว่างการใช้งาน
Q
พอร์ช 911 มี Apple Carplay ไหม
ใช่แล้ว Porsche 911 รองรับฟังก์ชัน Apple CarPlay โดยในตลาดประเทศไทย รุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะมาพร้อมระบบนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานหรือสามารถเลือกติดตั้งเพิ่มเติมได้ ช่วยให้ผู้ขับสามารถใช้งานแอปพลิเคชันบน iPhone เช่น ระบบนำทาง เพลง หรือการสื่อสาร ผ่านหน้าจอกลางของรถได้อย่างสะดวก สำหรับผู้ใช้ในไทย โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นอย่างกรุงเทพฯ การนำทางแบบเรียลไทม์ผ่าน CarPlay (เช่น Google Maps หรือ Waze) สามารถช่วยให้เดินทางได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังรองรับการแสดงผลและคำสั่งเสียงเป็นภาษาไทยด้วย ระบบ Porsche Communication Management (PCM) ของรถมีการผสานการทำงานกับ CarPlay ได้อย่างราบรื่น แต่ในบางรุ่นอาจต้องเลือกติดตั้งชุดอุปกรณ์เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเพิ่มเติม หากคุณซื้อรถ Porsche 911 มือสอง แนะนำให้ตรวจสอบปีผลิตและอุปกรณ์ที่ติดตั้ง เพราะรุ่นที่ผลิตตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นไปจึงเริ่มรองรับ CarPlay อย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ เนื่องจากสภาพอากาศร้อนของไทยอาจส่งผลต่อความเสถียรของการเชื่อมต่อไร้สาย จึงแนะนำให้เชื่อมต่อผ่านสายชาร์จแท้ของโรงงานเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างลื่นไหล ตัวแทนจำหน่าย Porsche อย่างเป็นทางการในประเทศไทยยังมีบริการอัปเกรดซอฟต์แวร์ระบบ เพื่อเพิ่มความเข้ากันได้กับอุปกรณ์และฟังก์ชันใหม่ ๆ ได้อีกด้วย
Q
ยี่ห้อยางรถยนต์ของ Porsche 911 คืออะไร
Porsche 911 ใช้ยางมาตรฐานจากโรงงานที่แตกต่างกันไปตามรุ่นและการตกแต่ง โดยยางยอดนิยมได้แก่ Michelin Pilot Sport, Pirelli P Zero และ Goodyear Eagle F1 ซึ่งทั้งหมดเป็นยางสมรรถนะสูงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับพละกำลังและการควบคุมที่แม่นยำของ 911 โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นและฝนตกบ่อยในประเทศไทย ยางเหล่านี้มีความทนทานต่อความร้อนและการขับขี่บนพื้นเปียกได้เป็นอย่างดี สำหรับเจ้าของรถในไทย นอกจากการเลือกยางตามคำแนะนำจากโรงงานแล้ว ยังควรพิจารณาสภาพถนนท้องถิ่น เช่น ในกรุงเทพฯ ที่ถนนมักเปียกและลื่น จึงเหมาะกับยางที่มีระบบระบายน้ำดี นอกจากนี้ อุณหภูมิสูงในไทยยังเพิ่มความต้องการในเรื่องความทนทานต่อการสึกหรอ จึงควรตรวจสอบความดันลมยางและสภาพยางอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย หากต้องการอัพเกรดยาง สามารถปรึกษาตัวแทนจำหน่าย Porsche ที่ได้รับอนุญาตในไทยเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมตามพฤติกรรมการขับขี่และความต้องการของแต่ละคนได้อย่างมืออาชีพ
Q
รถ Porsche 911 เป็นรถที่ดีหรือไม่ เรียนรู้ข้อดีและข้อเสียที่นี่
Porsche 911 เป็นรถสปอร์ตที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น แม้ในสภาพภูมิอากาศเขตร้อนและถนนที่ซับซ้อนของประเทศไทย ก็ยังแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะและความน่าเชื่อถือที่ยอดเยี่ยม จุดเด่นของ 911 คือการวางเครื่องยนต์ด้านหลังแบบคลาสสิกที่มอบการควบคุมที่ดีเยี่ยม ระบบขับเคลื่อนมีพลังและตอบสนองรวดเร็ว โดยเฉพาะเครื่องยนต์แบบ Boxer ที่ให้ความมั่นคงสูงเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงในโค้ง เหมาะอย่างยิ่งกับเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยวหรือสนามแข่งในไทย นอกจากนี้ ภายในรถยังได้รับการตกแต่งอย่างประณีต พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น เกียร์ PDK และระบบช่วงล่างอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่ประจำวัน อย่างไรก็ตาม 911 ก็มีข้อจำกัดเช่น พื้นที่ด้านหลังแคบ ไม่เหมาะกับการใช้งานสำหรับครอบครัว และในสภาพอากาศร้อนของไทย รถสมรรถนะสูงต้องการการระบายความร้อนที่ดีขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา สำหรับผู้บริโภคในไทย การเป็นรถนำเข้าทำให้ราคาขายและภาษีสูง แต่ 911 มีอัตราการคงราคาที่ดี ทำให้ต้นทุนการเป็นเจ้าของในระยะยาวอาจสมเหตุสมผล หากคุณแสวงหาความสนุกในการขับขี่และมีงบประมาณเพียงพอ 911 คือทางเลือกชั้นยอด แต่ถ้าต้องการความใช้งานได้จริง อาจต้องพิจารณารุ่นอื่น ในตลาดไทยยังมีวัฒนธรรมการแต่งรถที่เข้มแข็ง ทำให้ 911 มีโอกาสในการปรับแต่งและออกแบบตามสไตล์ส่วนตัวได้อีกด้วย

ข้อดี

หน้าตาเป็นเอกลักษณ์ที่ดูเป็นการขับรถ
ภายในความสะดวกสบายและสะดวกสบาย ปุ่มของรุ่นก่อนๆถูกรวมอยู่ในหน้าจอควบคุมกลางขนาด 10.9 นิ้วที่สามารถควบคุมหลากหลายฟังก์ชัน
การขับรถสนุก มอเตอร์เป็น 6 ถัง Boxer วินาที หน่วยความจุ 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 450 แรงม้า ความเร็วจากศูนย์ถึง 100 กิโลเมตรใน 3.5 วินาที
ชาซีมั่นคงสภาพ ใช้เทคโนโลยี Bilstein DTX ใหม่ ระบบกันสะเทือนสามารถปรับแต่งอัตโนมัติ
ระบบเบรกที่เชื่อถือได้ สามารถเบรกอย่างมั่นคงและนุ่มนวล

ข้อเสีย

พื้นที่เล็ก ถึงแม้จะใหญ่กว่ารถแข่งปกติบ้างแต่ก็ยังจำกัด
ศูนย์บริการและจุดซ่อมบำรุงน้อยมาก เพียงเล็กน้อยในกรุงเทพฯ
ซ่อมบำรุงและค่าบริการสูง

Q&A ล่าสุด

Q
เศรษฐกิจเชื้อเพลิงของ Kia K2500 เป็นอย่างไร
สำหรับรถกระบะเชิงพาณิชย์อย่าง K2500 ของคิอา ที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย ประสิทธิภาพเรื่องความประหยัดน้ำมันนั้นขึ้นอยู่กับรุ่นและการใช้งาน โดยจากข้อมูลทางการ รุ่นดีเซลในสภาพถนนทั่วไปจะกินน้ำมันประมาณ 10-12 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ตัวเลขจริงอาจต่างกันไปตามน้ำหนักบรรทุก สไตล์การขับขี่ และสภาพถนนในไทย ไม่ว่าจะเป็นการจราจรติดขัดในเมืองหรือถนนชนบท ในสภาพอากาศร้อนของไทย แนะนำให้ดูแลเครื่องยนต์เป็นประจำ โดยเฉพาะตัวกรองอากาศและระบบเชื้อเพลิง เพื่อรักษาประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน ส่วนแอร์ก็ควรใช้อย่างเหมาะสมเพื่อลดการสิ้นเปลือง สำหรับเจ้าของรถใช้งานเชิงธุรกิจ เครื่องยนต์ดีเซลของ K2500 ให้แรงบิดสูงในรอบต่ำ เหมาะกับงานขนส่งที่ต้องหยุดและเคลื่อนตัวบ่อย ส่วนในตลาดไทยที่เน้นการบรรทุกหนัก แนะนำให้เลือกความดันลมยางที่เหมาะสมและตรวจสอบน้ำหนักบรรทุกสม่ำเสมอเพื่อให้ประหยัดน้ำมันที่สุด ถ้าอยากประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้นไปอีก ลองนำเทคนิคการขับขี่ประหยัดพลังงานจากกรมพัฒนาพลังงานฯ มาใช้ เช่น การเร่งเครื่องอย่างนุ่มนวลและคาดการณ์การชะลอตัวล่วงหน้า ซึ่งวิธีเหล่านี้ก็ใช้ได้กับรถกระบะดีเซลรุ่นอื่นๆ ในตลาดอย่าง Toyota Hilux หรือ Isuzu D-MAX เช่นกัน
Q
คือ Kia K2500 เป็นรถ 4x4 หรือไม่
รถกระบะ Kia K2500 เป็นรุ่นที่เน้นความประหยัดและประโยชน์ใช้สอยสูง เหมาะสำหรับงานเชิงพาณิชย์ ในตลาดไทยมีเฉพาะระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (2WD) ไม่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4x4) ดังนั้นไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานในสภาพเส้นทางขรุขระหรือลุยหนัก รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร ที่เน้นทั้งเรื่องการบรรทุกและประหยัดน้ำมัน นอกจากนี้ยังออกแบบกระบะขนส่งให้เหมาะสมกับงานโลจิสติกส์และธุรกิจ SMEs ในไทยด้วย ถ้าคนไทยต้องการรถกระบะระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ อาจต้องมองหารุ่นอื่นเช่น Toyota Hilux หรือ Isuzu D-MAX ที่มีตัวเลือกหลากหลายกว่า ต้องยอมรับว่าสภาพถนนไทยโดยเฉพาะในชนบทหรือช่วงหน้าฝนอาจต้องการรถที่มีสมรรถนะสูง แต่ก่อนเลือกซื้อควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทั้งราคารถและค่าน้ำมันด้วย ถ้าใช้งานทั่วไปบนถนนปกติหรือเส้นทางไม่ลำบากเกินไป รุ่น K2500 แบบล้อหลังก็ตอบโจทย์ได้อยู่แล้ว แถมค่าดูแลรักษาก็ถูกกว่า แนะนำให้ลองไปทดลองขับและเปรียบเทียบที่ตัวแทนจำหน่ายก่อนตัดสินใจซื้อจะดีที่สุด
Q
Kia รุ่นไหนมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน
ในตลาดประเทศไทย ความน่าเชื่อถือของรถยนต์ Kia จะแตกต่างกันไปตามรุ่น โดยรุ่นที่ได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภคไทยคือ Kia Sportage และ Seltos SUV ทั้งสองรุ่นมาพร้อมชุดขับเคลื่อนที่มีความ成熟และออกแบบให้ทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย เช่น ระบบระบายความร้อนที่เสริมความแข็งแรงและการป้องกันสนิม โดยเฉพาะ Sportage ที่ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.6T มีอัตราความเสียหายในระยะยาวต่ำ ส่วน Seltos ด้วยขนาดตัวถังที่เหมาะกับสภาพการจราจรแออัดในกรุงเทพฯ และค่าบำรุงรักษาต่ำ จึงได้รับความนิยม นอกจากนี้ สภาพอากาศร้อนชื้นของไทยยังทดสอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยาง ควรเลือกซื้อรุ่นที่มีเบาะระบายอากาศและวัสดุภายในทนความร้อน พร้อมเปลี่ยนของเหลวระบายความร้อนและตรวจสอบการปิดผนึกวงจรไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ Kia ผลิตในไทยในระดับสูง ทำให้การจัดหาอะไหล่และเครือข่ายบริการหลังการขายครอบคลุม ซึ่งสำคัญต่อความน่าเชื่อถือในการใช้งานระยะยาว สำหรับรุ่นไฮบริด Niro Hybrid แบตเตอรี่ลิเธียมได้รับการปรับปรุงระบบจัดการความร้อนให้เหมาะกับการขับขี่ในเมืองที่มีการหยุดและออกบ่อย ไม่ว่าผู้ใช้จะเลือกซื้อรุ่นใด การปฏิบัติตามระยะเวลาบำรุงรักษาของผู้ผลิตและการใช้อะไหล่แท้เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความน่าเชื่อถือของรถยนต์
Q
ความสูงจากพื้นดินขั้นต่ำของ Kia K2500 คือเท่าไร
Kia K2500 เป็นรถปิกอัพที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย ด้วยระยะต่ำสุดจากพื้น 210 มิลลิเมตร การออกแบบนี้ช่วยให้รถสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพถนนที่หลากหลายทั้งในเมืองและถนนชนบทได้ดี สำหรับผู้ใช้ในไทย ระยะต่ำสุดจากพื้นนี้ช่วยให้การขับขี่ประจำวันสะดวกสบาย พร้อมรองรับสภาพถนนขรุขระเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีน้ำขัง ระยะต่ำสุดจากพื้นเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความสามารถในการผ่านสิ่งกีดขวาง โดยทั่วไป ยิ่งระยะสูง รถก็จะสามารถผ่านอุปสรรคได้ดีขึ้น แต่ก็อาจมีผลต่อความมั่นคงขณะขับบนทางด่วน Kia K2500 สามารถสร้างสมดุลที่ดีระหว่างความใช้งานได้จริงและความรู้สึกขับขี่ที่ดี ผู้ใช้รถในไทยยังสามารถพิจารณามุมเข้าและมุมออกของรถ เพราะปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อความสามารถในการผ่านทางจริงของรถ ด้วยสมรรถนะที่เชื่อถือได้และการออกแบบที่ใช้งานได้จริง Kia K2500 จึงมียอดขายที่ดีในตลาดไทย และเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และผู้ประกอบการรายย่อยหลายราย
Q
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่อ 100 กิโลเมตรของ Kia K2500 คือเท่าไร
สำหรับรถกระบะ K2500 จากค่ายคิ亚 ที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย ด้วยความประหยัดน้ำมันที่ขึ้นอยู่กับรุ่นและสภาพการขับขี่ โดยทั่วไปรุ่นดีเซลจะสิ้นเปลืองประมาณ 8-10 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ตัวเลขอาจแตกต่างกันไปตามน้ำหนักบรรทุก สภาพถนน (เช่นในเมืองที่รถติดหรือถนนนอกเมือง) รวมถึงพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคน ในสภาพอากาศร้อนและภูมิประเทศหลากหลายของไทย แนะนำให้เจ้าของรถบำรุงรักษารถอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการทำความสะอาดไส้กรองอากาศและรักษาความดันลมยางให้เหมาะสม ซึ่งช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันได้ สำหรับผู้ที่ต้องขนของบ่อยๆ การจัดวางน้ำหนักบรรทุกให้เหมาะสมและไม่บรรทุกเกินจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประหยัดน้ำมันมากขึ้น ตลาดไทยให้ความสำคัญกับความประหยัดน้ำมันของรถกระบะ ทำให้ K2500 กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยระบบขับเคลื่อนที่มั่นคงและค่าบำรุงรักษาที่ไม่สูง ผู้บริโภคไทยสามารถเปรียบเทียบข้อมูลการสิ้นเปลืองน้ำมันจากทางค่ายรถควบคู่กับสภาพถนนจริงเพื่อประเมินประสิทธิภาพได้อย่างครบถ้วน
ดูเพิ่มเติม