Q

Porsche 718 ปี 2020 มีแรงม้ากี่ตัว?

รถ Porsche 718 รุ่นปี 2020 มีการกำหนดค่าพลังงานที่แตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่น โดยรุ่นพื้นฐานอย่าง 718 Cayman และ 718 Boxster จะติดตั้งเครื่องยนต์แบบ 4 สูบราบเทอร์โบชาร์จ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 300 แรงม้า ส่วนรุ่น 718 Cayman S และ 718 Boxster S จะใช้เครื่องยนต์ 4 สูบราบเทอร์โบชาร์จขนาด 2.5 ลิตร ที่เพิ่มกำลังขึ้นไปถึง 350 แรงม้า ทั้งสองรุ่นมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ PDK 7 จังหวะหรือเลือกเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะได้ตามต้องการ ให้ความรู้สึกเร่งที่ว่องไวและการควบคุมที่แม่นยำ เหมาะสมกับถนนคดเคี้ยวในไทยอย่างเส้นทางดอยสุเทพในเชียงใหม่หรือถนนเลียบชายทะเลหัวหิน พูดได้เลยว่า 718 ซีรีส์นี้ใช้การออกแบบเครื่องยนต์กลางลำตัวช่วยกระจายน้ำหนักตัวรถได้สมดุล เพิ่มความมั่นคงเมื่อเข้าโค้ง แถมระบบระบายความร้อนมาตรฐานยังทำงานได้ดีแม้ในอากาศร้อนแบบไทย สำหรับใครที่ต้องการสมรรถนะระดับสูงขึ้น ก็สามารถอัพเกรดด้วย Sport Chrono Package เพื่อเพิ่มการตอบสนองด้านไดนามิก ซึ่งเหมาะมากสำหรับการขับบนสนามแข่งอย่างสนามบีราเซอร์กิตในกรุงเทพฯ
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
“Porsche 718 เป็นรถที่เหมาะสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันหรือไม่?”
การใช้รถ Porsche 718 เป็นรถประจำวันในประเทศไทยนั้นทำได้ แต่ต้องพิจารณาจากสภาพถนนและความต้องการจริงในพื้นที่ รถรุ่นนี้มีขนาดกะทัดรัดเหมาะกับการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ แถมยังขับเคลื่อนคล่องตัว ช่วยให้เลี้ยวตัดผ่านซอยแคบๆ ได้สบายๆ เครื่องยนต์ตรงข้ามแนวนอน ขนาด 2.0T หรือ 2.5T ให้แรงขับเคลื่อนที่มากเพียงพอ เมื่อจับคู่กับเกียร์ PDK แล้วจะตอบโจทย์ทั้งการขับขี่เรียบๆ ในเมืองและการแซงบนทางด่วน แต่อย่างไรก็ตาม ต้องระวังเรื่องถนนขรุขระในบางพื้นที่เพราะรถมีช่วงล่างต่ำ ระบบช่วงล่าง PASM ที่มาพร้อมรถสามารถปรับความนุ่ม-แข็งได้เพื่อให้เหมาะกับสภาพถนนแต่ละแบบ ส่วนเรื่องเก็บของ ตู้อุปกรณ์ด้านหน้าสามารถใส่กระเป๋าเดินทางขนาดเล็กได้ แต่บริเวณหลังเบาะเหมาะสำหรับวางกระเป๋าใบเล็กๆ เท่านั้น สำหรับอากาศร้อนๆ แบบไทยแนะนำให้เลือกติดตั้งเบาะระบายอากาศเพิ่ม ส่วนค่าบำรุงรักษาต้องคำนึงถึงระยะเวลารออะไหล่ด้วยเพราะเป็นรถนำเข้า เมื่อเทียบกับรถสปอร์ตรุ่นอื่นๆ แล้ว 718 คงมูลค่าได้ดีกว่า หากต้องขับทางไกลบ่อยๆ อาจลองเปรียบเทียบกับรุ่น GT ที่เน้นความสบายมากกว่า สรุปแล้ว 718 ยังคงความสนุกของการขับขี่แบบรถสปอร์ตไว้ได้ ในขณะที่ความเหมาะสมในการใช้งานประจำวันถือว่าใช้ได้ในสภาพแวดล้อมของเมืองไทย
Q
ทำไมถึงเรียกว่า Porsche 718?
ชื่อ Porsche 718 นี้เป็นการยกย่องรถแข่งคลาสสิกของพอร์ชในยุค 50s-60s ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังในรายการแข่งอย่าง Le Mans 24 Hours และ Targa Florio สมัยนั้น แสดงถึงความเหนือชั้นของเทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์และน้ำหนักเบาของพอร์ช จนถึงวันนี้ ซีรี่ย์ 718 ยังคงสืบทอดปรัชญานี้ด้วยการออกแบบเครื่องกลาง มาพร้อม 2 รุ่นคือ Cayman และ Boxster ที่ผสมผสานสมรรถนะสปอร์ตเข้ากับความสบายในการขับขี่ประจำวัน สำหรับประเทศไทยเมืองร้อนอย่างเรา รุ่น 718 Boxster แบบเปิดประทุนเหมาะมากกับการขับเลียบชายทะเล ส่วน 718 Cayman รุ่นหลังคาแข็ง則แสดงความโดดเด่นบนถนนในเมือง ทั้งคู่ใช้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ประสิทธิภาพสูง ที่ไม่เพียงให้กำลังใจเต็มเปี่ยม แต่ยังปรับตัวได้ดีกับสภาพถนนและอากาศที่หลากหลายของไทย อีกทั้งพอร์ชยังมีตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการอย่างเป็นทางการในไทย ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกท่านจะได้รับการดูแลมาตรฐานโรงงาน ส่งผลให้ 718 ซีรี่ย์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยที่อยากสัมผัสประสบการณ์รถสปอร์ตแท้ๆ
Q
Porsche กำลังหยุดการผลิตรุ่น 718 ใช่ไหม?
ขณะนี้ทาง Porsche ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการหยุดผลิตรถรุ่น 718 แต่จากแนวโน้มในอุตสาหกรรมและยุทธศาสตร์การเปลี่ยนสู่รถไฟฟ้าของแบรนด์ คาดว่ารุ่น 718 ในอนาคตอาจจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นรถไฟฟ้า แม้แต่ตัวแทนจำหน่าย Porsche ในประเทศไทยก็เริ่มนำเข้ารถไฟฟ้าอย่างรุ่น Taycan เพื่อตอบสนองนโยบายลดการปล่อยมลพิษทั่วโลก รุ่น 718 ในฐานะรถสปอร์ตเครื่องกลางคลาสสิกของ Porsche เป็นที่นิยมมากในตลาดไทย โดยเฉพาะการขับขี่ตามเส้นทางชายฝั่งและภูเขา ด้วยสมรรถนะกการควบคุมที่ยืดหยุ่นและการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เป็นจุดขายมาโดยตลอด หากในอนาคตมีการเปิดตัวรุ่นไฟฟ้า คาดว่าจะมีการพัฒนาทั้งในเรื่องระยะทางและประสิทธิภาพให้ดีขึ้น พร้อมกับยังคงความสนุกสนานในการขับขี่ไว้ ส่วนรัฐบาลไทยก็มีมาตรการส่งเสริมรถไฟฟ้า เช่น การลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต ซึ่งอาจทำให้รุ่น 718 แบบไฟฟ้าในอนาคตมีราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น Porsche มักจะรักษาชื่อรุ่นและดีเอ็นเอของรถคลาสสิกไว้ แม้ว่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาปจะค่อยๆ หายไปในที่สุด แต่จิตวิญญาณของมันก็จะยังคงอยู่ในรุ่นใหม่ๆ แฟนรถไทยสามารถคาดหวังนวัตกรรมของพอร์เช่ในยุคไฟฟ้าได้อย่างแน่นอน
Q
รถ Porsche 718 และ Cayman เหมือนกันไหม?
Porsche 718 และ Cayman เป็นรถในตระกูลเดียวกัน แต่มีความแตกต่างบางประการในการวางตำแหน่งและการกำหนดค่ารุ่น 718 เป็นชื่อรวมของรถสปอร์ตระดับเริ่มต้นของ Porsche ซึ่งประกอบด้วย Boxster (Convertible Edition) และ Cayman (Hard Top Edition) ทำให้ Cayman เป็นรุ่นหลังคาแข็งในตระกูล 718 ที่ทั้งสองใช้ร่วมกันทั้งแชสซีและระบบส่งกำลังแบบเดียวกัน เช่น เครื่องยนต์ 4 สูบนอนตรงข้ามแนวนอน 2.0T และ 2.5T ที่พบได้ทั่วไปในตลาดไทย แต่มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในด้านดีไซน์ภายนอกและประสบการณ์การขับขี่ Cayman เหนือกว่าความแข็งแกร่งของตัวถังเล็กน้อยเนื่องจากโครงสร้างหลังคาแข็ง ส่วน 718 Boxster เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศเขตร้อนของประเทศไทยมากกว่า มอบความสนุกสนานในการขับขี่ที่เปิดกว้างมากขึ้น,นอกจากนี้ ซีรีส์ 718 ยังนำเสนอเวอร์ชั่นประสิทธิภาพสูงอย่าง GTS 4.0 วางเครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 4.0 ลิตร แบบดูดอากาศธรรมชาติ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการประสบการณ์การขับขี่ที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น สำหรับตลาดในประเทศไทย รถทั้งสองรุ่นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการควบคุมที่คล่องตัวและราคาย่อมเยา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการขับขี่บนเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยวรอบกรุงเทพฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า Porsche ในประเทศไทยมีบริการหลังการขายที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอและการสนับสนุนอุปกรณ์ตกแต่งจากโรงงาน ผ่านผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เจ้าของรถไม่ต้องกังวล
Q
Porsche 718 เป็นรถที่เชื่อถือได้หรือไม่?
พอรถสปอร์ต Porsche 718 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์กลางหลังนี้ ถือว่าเป็นรถที่ความน่าเชื่อถือระดับดีเลยทีเดียว เครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ที่พัฒนามาอย่างดีผ่านการใช้งานจริงมาหลายปี โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนๆ แบบไทย ระบบระบายความร้อนออกแบบมาเพื่อรับมือได้ดี แค่ต้องระวังนิดนึงเพราะบางทีถนนไทยก็ขรุขระ แถมบางเมืองก็รถติดน้ำท่วมขังบ้าง ก็แนะนำให้ตรวจสอบช่วงล่างกับระบบไฟฟ้าเป็นประจำเพื่อป้องกันความชื้นสักหน่อย ส่วนค่าบำรุงรักษาก็ต้องบอกตามตรงว่าแพงอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะของแท้ที่ต้องนำเข้าซึ่งในไทยนี่ควรเลือกศูนย์บริการของทางผู้ผลิตจะดีที่สุด ถ้าพูดถึงการขับขี่แล้วล่ะก็ 718 นี่โคตรโดนในเส้นทางคดเคี้ยวอย่างถนนบนดอยที่เชียงใหม่ แต่เพราะตัวรถต่ำหน่อย เวลาไปต่างจังหวัดก็ต้องคอยดูพื้นถนนให้ดีๆ ส่วนถ้าใช้ในกรุงเทพฯ ที่รถติดบ่อย อาจรู้สึกเกียร์ DCT ไม่ค่อยลื่นในช่วงความเร็วต่ำนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วถ้าบำรุงรักษาตามกำหนด 718 นี่ใช้ในไทยได้สบายๆ แนะนำให้ตรวจเช็คใหญ่ก่อนเข้าหน้าฝนเพื่อความมั่นใจเวลาต้องเจอความชื้นสูงๆ ด้วย
Q
Porsche 718 ผลิตที่ไหน?
รถยนต์ Porsche 718 ซีรีส์ส่วนใหญ่ผลิตที่โรงงานในเมืองไลพ์ซิก ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นโรงงานที่มีชื่อเสียงในเรื่องกระบวนการผลิตอัตโนมัติระดับสูงและการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งผลิตโมเดลยอดนิยมอย่าง Panamera และ Macan อีกด้วย สำหรับผู้บริโภคไทย นั่นหมายความว่ารถ 718 ที่ซื้อไปจะได้มาตรฐานการผลิตแบบเยอรมันที่เหมือนกับทุกตลาดทั่วโลก พูดเลยว่าปอร์เช่ในประเทศไทยมีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่ให้บริการนำเข้ารถครบวงจร ทั้งการรับรองรถ การรับประกัน และการบริการหลังการขาย เพื่อให้คนไทยมั่นใจได้ว่าจะได้รถคุณภาพจากโรงงานจริง ซีรีส์ 718 ในฐานะรถสปอร์ตระดับเริ่มต้นของ Porsche มีเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์และดีไซน์น้ำหนักเบาที่ช่วยให้ขับเคลื่อนบนถนนภูเขาไทยได้อย่างคล่องตัว แถมยังมีตัวเลือกเก้าอี้ระบายอากาศและระบบแอร์อัจฉริยะที่เหมาะกับอากาศร้อนของไทย ทำให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น อีกทั้งรุ่นที่นำเข้ามาไทยมักมาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนพวงมาลัยขวาตามกฎหมายท้องถิ่น และผ่านการทดสอบความเหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนชื้น เพื่อให้มั่นใจว่ารถจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและชื้นแบบไทย
Q
ควรนำ Porsche 718 เข้ารับการตรวจเช็กหรือให้บริการทุกปีหรือไม่?
สำหรับคำถามที่ว่าควรนำรถ Porsche 718 เข้ารับบริการประจำปีหรือไม่นั้น คำตอบคือจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสภาพอากาศแบบร้อนชื้นของประเทศไทย การบริการตามระยะเป็นเรื่องสำคัญมาก Porsche แนะนำอย่างเป็นทางการว่ารถรุ่น 718 ควรเข้ารับบริการทุก 10,000 กิโลเมตรหรือทุก 12 เดือน ซึ่งจากสภาพการขับขี่ทั่วไปในไทย ผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักจะขับใกล้หรือเกินระยะนี้ในแต่ละปี ดังนั้นการบริการปีละครั้งจึงสมเหตุสมผล สภาพอากาศร้อนและความชื้นสูงของไทยส่งผลให้น้ำมันเครื่องและของเหลวต่างๆ เช่น น้ำมันเบรกเสื่อมสภาพเร็วขึ้น รวมทั้งฝุ่นทรายและน้ำฝนอาจกระทบต่อตัวกรองอากาศและระบบเบรก การเปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านี้ตามระยะจะช่วยให้รถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเสมอ นอกจากนี้ Porsche 718 ในฐานะรถสปอร์ตสมรรถนะสูง มีโครงสร้างเครื่องยนต์ที่ซับซ้อนและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การตรวจสอบช่วงล่าง ระบบกันสะเทือนและเกียร์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับสภาพถนนในไทยที่ค่อนข้างหลากหลาย สำหรับเจ้าของรถในไทย การเลือกใช้บริการจากศูนย์บริการที่ได้รับอนุญาตจาก Porsche จะทำให้ได้อะไหล่แท้และเข้าถึงอุปกรณ์วินิจฉัยมาตรฐาน ซึ่งสำคัญต่อคุณภาพการบริการ อีกจุดที่ควรคำนึงคือการทำตามกำหนดการบริการอย่างเคร่งครัดจะช่วยรักษามูลค่ารถไว้ได้ดี ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญหากคิดจะขายรถในอนาคต และหากคุณขับแบบสปอร์ตหรือใช้รถในกรุงเทพที่การจราจรหนาแน่นบ่อยครั้ง อาจต้องเข้ารับบริการบ่อยกว่าปกติเล็กน้อย
Q
718 ยังคงผลิตอยู่หรือไม่?
ปัจจุบันรถรุ่น Porsche 718 ซีรีส์ยังคงอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยรุ่นนี้ถือเป็นรถสปอร์ตคลาสสิกของแบรนด์ที่ใช้ระบบเครื่องยนต์กลางตัวถัง ในตลาดไทยก็ได้รับความนิยมไม่น้อย โดยเฉพาะกับเส้นทางขับขี่ในเขตภูเขาที่เต็มไปด้วยทางโค้งหรือถนนเลียบชายทะเล ซีรีส์ 718 มีทั้งรุ่นคูเป้ออย่าง Cayman และรุ่นเปิดประทุนอย่าง Boxster พร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ทั้งแบบเทอร์โบชาร์จ 4 สูบและแบบแอตโมสเฟียร์ 6 สูบ โดยเฉพาะรุ่น GTS 4.0 ที่ใช้เครื่อง 6 สูบจะให้ประสบการณ์การขับที่สมบูรณ์แบบกว่า ในไทย 718 ได้รับการยอมรับว่าเป็นรถสปอร์ตที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้แต่ก็ยังคงประสิทธิภาพเหมาะสำหรับการแข่ง ขนาดที่กะทัดรัดยังเหมาะกับสภาพการจราจรในเมืองอย่างกรุงเทพฯ อีกด้วย ที่น่าสนใจคือรุ่น 718 ที่นำเข้าไทยมักมาพร้อมกับอุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับสภาพอากาศร้อน เช่น ระบบแอร์ประสิทธิภาพสูงและกระจกป้องกันรังสียูวี เมื่อเทรนด์รถไฟฟ้ากำลังมาแรง Porsche ก็ประกาศว่าจะเปิดตัวรุ่น 718 แบบไฟฟ้าในอนาคต แต่รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปยังคงผลิตต่อไปจนกว่าจะถึงช่วงเปลี่ยนรุ่น สำหรับคนไทยที่สนใจตอนนี้ยังสามารถสั่งซื้อรุ่นล่าสุดได้และยังได้รับบริการปรับแต่งรถตามความต้องการจากแบรนด์อีกด้วย
Q
Porsche 718 จะมีอายุการใช้งานนานเท่าไหร่?
พอรถสปอร์ตสมรรถนะสูงอย่าง Porsche 718 อายุการใช้งานส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาประจำวัน นิสัยการขับขี่ รวมถึงสภาพอากาศและถนนในไทย ถ้าใช้อย่างถูกต้องและบำรุงรักษาสม่ำเสมอ เครื่องยนต์และเกียร์ของ 718 สามารถวิ่งได้เกิน 2 แสนกิโลเมตรอย่างสบายๆ โครงสร้างตัวถังก็แข็งแรงทนทานได้ในระยะยาว สภาพอากาศแบบร้อนชื้นของไทยทำให้ต้องดูแลรถเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันสนิมและการเปลี่ยนชิ้นส่วนยางตามระยะ ควรนำรถไปบริการที่ศูนย์ Porsche ทุก 1 หมื่นกิโลเมตรหรือ 12 เดือน พร้อมใช้อะไหล่แท้จากศูนย์ ซึ่งสำคัญมากสำหรับการรักษาสมรรถนะของรถ การบริการจากศูนย์ Porsche ในไทยจะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถได้ดี เทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ฮอริซอนทัลของ 718 นั้นมีความเสถียรและน่าเชื่อถือ แค่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและน้ำหล่อเย็นตามกำหนด เครื่องยนต์ก็จะอยู่กับเราไปนานๆ สำหรับการขับขี่ในเมืองอย่างกรุงเทพนฯ ที่รถติดบ่อย ควรตรวจสอบคลัตช์และเบรคบ่อยกว่าปกติ ส่วนใครที่ชอบขับบนถนนภูเขาในไทย ต้องคอยเช็คสภาพช่วงล่างโดยเฉพาะโช้คอยู่เสมอ แม้ 718 จะเป็นรถสปอร์ตแต่การตั้งค่าช่วงล่างก็ออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งานประจำวัน ถ้าไม่ขับแบบกระโชกโฮกฮากเกินไป ชิ้นส่วนช่วงล่างก็ใช้งานได้นาน ส่วนระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรถที่อาจได้รับผลจากความร้อนและความชื้นในไทย ควรตรวจสอบวงจรไฟฟ้าและเซ็นเซอร์เป็นประจำ สรุปแล้ว 718 สามารถใช้งานในไทยได้อย่างสบายๆ 15-20 ปี แม้ในตลาดมือสองรุ่นเก่าที่สภาพดียังคงมีมูลค่าดี ซึ่งพิสูจน์ถึงความทนทานของรถคันนี้ได้เป็นอย่างดี
Q
“718 นั่งสบายไหม?”
Porsche 718 ในฐานะรถสปอร์ตเครื่องกลางนั้น เรื่องความสะดวกสบายต้องดูจากสภาพการใช้งานจริงในไทย ระบบช่วงล่างของ 718 นั้นปรับสมดุลระหว่างสปอร์ตกับความนุ่มสบายได้ดี ระบบ PASM ที่มาสแตนดาร์ดจะปรับแรงดันตามสภาพถนนอัตโนมัติ ทำให้ขับทั้งในเมืองและเส้นทางเขาชานเมืองของไทยได้อย่างมั่นใจ เบาะรองรับได้ดีแต่วัสดุเติมค่อนข้างแข็ง อาจรู้สึกเหนื่อยในการขับทางไกล แต่สำหรับอากาศร้อนแบบไทย เบาะระบายอากาศที่มาสแตนดาร์ดถือเป็นจุดเด่นที่ใช้งานได้จริง เรื่องเสียงในห้องโดยสาร 718 ควบคุมได้ดีกว่ารถสปอร์ตระดับเดียวกัน แต่บางเส้นทางในไทยที่ผิวถนนไม่เรียบอาจมีเสียงถนนรบกวนบ้าง ที่ต้องระวังคือตัวรถต่ำ ทำให้การขึ้นลงต้องปรับตัว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ต้องขึ้นลงรถบ่อยอาจไม่สะดวกนัก หากใช้ระบบอัพเกรดพวงมาลัยเพาเวอร์ที่แนะนำเป็นหลักในกรุงเทพฯ นอกจากนี้เครือข่ายหลังการขายในประเทศไทยสามารถให้การบำรุงรักษาอย่างมืออาชีพ แต่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูงกว่า ควรพิจารณาสัญญาต่อประกันเพิ่มเติม สำหรับคนไทยที่มองหาความมันส์ในการขับขี่แต่ยังใช้ชีวิตประจำวันได้ 718 ถือเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าชอบความสบายเป็นหลักอาจลองทดสอบขับรถรุ่น GT ในระดับเดียวกันเปรียบเทียบดู

ข้อดี

รูปลักษณ์ทันสมัยสปอร์ต ตัวรถเรียบร้อยมากขึ้น และมีการออกแบบหัวรถและกระจกลมใหม่
เครื่องยนต์มีกำลังแรง ประสิทธิภาพในการเร่งดี 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.9 วินาที
ชั้นยางมั่นคง ระบบซัพพอร์ตที่ยอดเยี่ยม คงที่และมั่นใจเมื่อมีการเลี้ยว
ค่าการใช้น้ำมันเป็นไปได้ โดยเฉลี่ย 14.49 กม./ลิตร

ข้อเสีย

ภายในรถไม่ทันสมัย
สถานที่บริการหลังการขายน้อยมาก, มีเพียงในกรุงเทพฯ
อะไหล่แพง
พื้นที่ภายในรถแคบ, มีเพียงสองที่นั่ง พื้นที่จัดเก็บของเล็ก
ชาญั้ญากำลังไม่พอ, การขับขี่ที่พื้นผิวทางไม่ราบสะดุดชัดเจน

Q&A ล่าสุด

Q
Rolls-Royce Phantoms สามารถผลิตได้กี่คันต่อปี?
รถยนต์หรูหราระดับสูงอย่าง Rolls-Royce Phantom ถือเป็นรถที่การผลิตต่อปีถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ตามกลยุทธ์ของแบรนด์ที่ยึดถือมาโดยตลอด โดยปกติแล้วทั่วโลกจะผลิตเพียงไม่กี่ร้อยคันต่อปีเท่านั้น ตัวเลขที่แน่นอนจะปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของตลาดและระยะเวลาการผลิตแบบสั่งทำมือเฉพาะตัว สำหรับตลาดไทย ด้วยเหตุที่ภาษีนำเข้ารถหรูค่อนข้างสูงและกลุ่มลูกค้าเป็นคนกลุ่มเล็ก จึงมีการนำเข้า Phantom ผ่านช่องทางทางการประมาณ 10-20 คันต่อปี ส่วนใหญ่จะให้บริการลูกค้าระดับไฮเอนด์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ข้อที่น่าสนใจคือ Phantom ทุกคันผลิตด้วยมือทั้งหมด ใช้เวลากว่า 800 ชั่วโมงต่อคัน โดยลูกค้าสามารถปรับแต่งตามความต้องการได้อย่างเต็มได้ที่บูติก Rolls-Royce ในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นผ้าซิ่นไหมไทยตกแต่งภายใน หรือแม้แต่ตราสัญลักษณ์พระราชวงศ์แบบเฉพาะตัว เทียบกับรุ่นมาตรฐานแล้ว ลูกค้าชาวไทยมักนิยมรุ่นเวอร์ชั่นยาว (long wheelbase) เพื่อตอบโจทย์การใช้งานด้านธุรกิจ นอกจากนี้ แบรนด์ยังมีบริการปรับตั้งเฉพาะสำหรับสภาพอากาศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้รถแสดงประสิทธิภาพได้ดีแม้อยู่ในสภาพอากาศแบบร้อนชื้น แม้ว่าตลาดรถหรูในไทยจะเติบโตขึ้นทุกปี ทำให้เห็นรถเรือธงอย่าง Phantom บนท้องถนนบ่อยขึ้น แต่ Rolls-Royce ยังคงยึดมั่นในแนวคิด "ผลิตน้อยแต่ต้องดีที่สุด" อย่างเคร่งครัด
Q
รถยนต์ Rolls-Royce Phantom มีความเร็วเท่าไหร่?
Rolls-Royce Phantom ถือเป็นสุดยอดรถยนต์หรูระดับตำนาน ที่มาพร้อมสมรรถนะอันน่าประทับใจ ด้วยเครื่องยนต์ V12 6.75 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 571 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน-เมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.3 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 250 กม./ชม. (จำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์) ซึ่งถือเป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมที่น่าทึ่งสำหรับรถหรูที่มีน้ำหนักกว่า 2.7 ตัน ไม่ว่าจะบนทางด่วนกรุงเทพฯ หรือถนนเลียบชายทะเลที่ชลบุรี Phantom ก็พร้อมมอบพลังขับเคลื่อนอันราบรื่นเสมอ สิ่งที่ควรสังเกตคือสภาพอากาศร้อนของไทยที่ท้าทายระบบระบายความร้อนของรถประสิทธิภาพสูง แต่ระบบระบายความร้อนอัจฉริยะของ Phantom สามารถรักษาอุณหภูมิเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับเหมาะสมตลอดเวลา นอกจากนี้ระบบช่วงล่าง "แมจิค คาร์เพท" ยังเหมาะเป็นพิเศษกับถนนบางสายในไทยที่ขรุขระ ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้การจราจรติดขัดในเมืองไทยจะจำกัดโอกาสในการใช้ความเร็วสูง แต่จุดขายที่แท้จริงของ Phantom อยู่ที่ความเงียบสงบภายในห้องโดยสาร ห้องโดยสารประดิษฐ์มือหรูหรา และประสบการณ์การขับขี่แบบ "ฟลายติ้ง สเปอร์" ที่ไม่เหมือนใคร ล้วนทำให้มันเป็นรถยนต์ในฝันของชนชั้นสูงไทย
Q
รถ Rolls-Royce Phantom จะใช้งานได้นานแค่ไหน?
Rolls-Royce Phantom ถือเป็นรถยนต์หรูระดับท็อปที่แม้ในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทยก็ยังคงแสดงประสิทธิภาพได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้าดูแลรักษาอย่างมืออาชีพตามกำหนด รถมักจะวิ่งได้เกิน 300,000 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำตามช่วงเวลาบำรุงรักษาที่ผู้ผลิตแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ทั้งร้อนและชื้นแบบประเทศไทย ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการตรวจสอบระบบแอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และการป้องกันสนิมของตัวรถ ในเมืองใหญ่ๆอย่างกรุงเทพฯ มีศูนย์บริการที่ได้รับอนุญาตจาก Rolls-Royce โดยตรง ซึ่งสามารถให้บริการบำรุงรักษาที่ได้มาตรฐานของโรงงาน แนะนำให้ทำการบำรุงรักษาอย่างเต็มรูปแบบทุก 12 เดือนหรือทุก 10,000 กิโลเมตร ข้อควรระวังคือรถหรูนำเข้าในประเทศไทยต้องใส่ใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง แนะนำให้ใช้เบนซิน 98 เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีที่สุด แม้ว่าค่าซ่อมแซมฟานทอมจะค่อนข้างสูง แต่ด้วยฝีมือการผลิตชั้นเยี่ยมและวัสดุคุณภาพสูงทำให้ความทนทานเหนือกว่ารถทั่วไปมาก ในเมืองไทยมักจะเห็น Phantom อายุเกิน 15 ปีที่ยังคงสภาพสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงคุณภาพที่ยอดเยี่ยม สำหรับเจ้าของรถในประเทศไทย การเลือกซื้ออะไหล่แท้จากช่องทางทางการและหลีกเลี่ยงอะไหล่เทียมคือกุญแจสำคัญที่จะยืดอายุรถคู่ใจให้ยาวนานขึ้น
Q
VinFast VF 5 ผลิตที่ไหน?
VF5 คือรถ SUV ไฟฟ้าจากแบรนด์ VinFast ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของเวียดนามภายใต้กลุ่ม Vingroup บริษัทเอกชนใหญ่ที่สุดในประเทศ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับผู้บริโภคไทย รุ่นนี้เป็น SUV ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดที่มาพร้อมระยะทางวิ่ง 367 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC และดีไซน์โมเดิร์น เหมาะกับการใช้งานในเมืองอย่างกรุงเทพฯ แต่อย่าลืมว่าโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จในไทยอาจแตกต่างจากเวียดนาม ซึ่งอาจส่งผลต่อประสบการณ์การใช้รถ ส่วน VinFast เองก็กำลังขยายตลาดในอาเซียนอย่างแข็งขัน สำหรับไทยที่เป็นตลาดรถพวงมาลัยขวา ก็อาจได้เห็นรุ่นปรับปรุงสำหรับตลาดนี้ในอนาคต นโยบายส่งเสริม EV ของไทย เช่น การลดภาษีและมาตรการสนับสนุนต่างๆ อาจทำให้รถนำเข้าอย่าง VF5 มีราคาแข่งขันได้ แต่ต้องดูปัจจัยอย่างภาษีศุลกากรและบริการหลังการขายด้วย เทียบกับ EV ที่มีอยู่ในตลาดไทยตอนนี้ VF5 นำเสนอทางเลือกใหม่จากห่วงโซ่อุตสาหกรรมในภูมิภาค พร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่และฟีเจอร์อัจฉริยะที่ตอบเทรนด์ แต่แนะนำให้ทดลองขับเพื่อประเมินสมรรถนะจริงก่อนตัดสินใจ
Q
VF5 ราคาเท่าไร?
VF5 เป็นรถ SUV ไฟฟ้าจากแบรนด์ VinFast ของเวียดนาม ราคาเริ่มต้นในตลาดไทยประมาณ 9.99 แสนบาท โดยราคาอาจเปลี่ยนแปลงตามสเปคที่เลือก แนะนำให้ติดต่อตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ VinFast ในไทยเพื่อสอบถามราคาล่าสุดและโปรโมชั่น VF5 เป็นรถไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับครอบครัววัยรุ่น ด้วยระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) และรองรับการชาร์จเร็ว ที่สามารถชาร์จจาก 30% เป็น 70% ในเวลาเพียง 30 นาที เหมาะมากสำหรับการใช้ชีวิตในเมืองอย่างกรุงเทพฯ การซื้อรถไฟฟ้าในไทยยังได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐบาล เช่น ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือเพียง 2% ทำให้ราคาจริงของ VF5 ถูกลง VinFast ในฐานะแบรนด์รถไฟฟ้ารุ่นใหม่กำลังขยายตลาดในไทยอย่างแข็งขัน มีแผนสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จและศูนย์บริการ และอาจมีรุ่นใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์คนไทยในอนาคต ก่อนตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้า นอกจากราคาแล้ว ควรพิจารณาความสะดวกในการชาร์จ นโยบายรับประกันแบตเตอรี่ (VF5 ให้รับประกัน 10 ปีหรือ 150,000 กิโลเมตร) และระบบบริการหลังการขายด้วย
ดูเพิ่มเติม