Q

Xpander Cross มีความจุเครื่องยนต์เท่าไหร่

ความจุกระบอกสูบของ Mitsubishi Xpander Cross แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันไปตามเวอร์ชันของรถ โดยบางรุ่นมีความจุกระบอกสูบอยู่ที่ 1499 มิลลิลิตร หรือเรียกโดยย่อว่า 1.5 ลิตร เช่น Mitsubishi Xpander Cross 1.5 CVT ปี 2022, Mitsubishi Xpander Cross Minorchange 1.5 CVT ปี 2023 และ 2020 Mitsubishi Xpander 1.5 Cross AT ขณะที่บางรุ่นมีความจุกระบอกสูบอยู่ที่ 1590 มิลลิลิตร หรือเรียกโดยย่อว่า 1.6 ลิตร เช่น Mitsubishi Xpander Cross HEV PLAY ปี 2025 และ Mitsubishi Xpander Cross HEV ปี 2024 ความจุกระบอกสูบถือเป็นหนึ่งในพารามิเตอร์สำคัญของเครื่องยนต์ ซึ่งส่งผลต่อสมรรถนะการขับเคลื่อน และอัตราการประหยัดน้ำมันในระดับหนึ่ง โดย Xpander Cross ที่มีให้เลือกทั้งรุ่น 1.5 ลิตร และ 1.6 ลิตร จึงสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
วิธีล็อค Mitsubishi Xpander คืออย่างไร?
Mitsubishi Xpander มีวิธีล็อกรถที่พบได้บ่อยอยู่หลายวิธี ได้แก่:การล็อกรถด้วยกุญแจแบบดั้งเดิม: เสียบกุญแจเข้าไปในรูกุญแจที่ประตูรถหรือฝากระโปรงหลัง หมุนตามเข็มนาฬิกาจนได้ยินเสียง “แกร๊ก” แสดงว่าประตูหรือฝากระโปรงหลังถูกล็อกแล้ว หรือนั่งเข้าภายในรถ แล้วหมุนกุญแจในสวิตช์กุญแจทวนเข็มนาฬิกาจนสุด จะได้ยินเสียงล็อกรถ แสดงว่ารถถูกล็อกเรียบร้อยแล้ว การล็อกรถด้วยกุญแจรีโมต: เป็นวิธีที่พบได้ทั่วไป นำกุญแจรีโมตออกมา ตรวจสอบว่ารถอยู่ในระยะสัญญาณ แล้วกดปุ่มที่มีสัญลักษณ์รูปแม่กุญแจ เมื่อได้ยินเสียงแตรหรือเห็นไฟกระพริบ แสดงว่ารถล็อกสำเร็จ ในบางรุ่น อาจรองรับระบบล็อกรถอัจฉริยะ เช่น กุญแจอัจฉริยะ (Smart Key) ที่สามารถพกไว้กับตัว เมื่อเดินเข้าใกล้ตัวรถ ประตูจะล็อกโดยอัตโนมัติ หรือสามารถล็อกรถจากระยะไกลผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน โดยต้องติดตั้งแอปของแบรนด์ที่รองรับและดำเนินการตามขั้นตอนที่ระบุ เนื่องจากแต่ละรุ่นอาจมีความแตกต่างกันในด้านวิธีการล็อกและฟังก์ชันเพิ่มเติม หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับการใช้งาน ควรสอบถามผู้ผลิตหรือศูนย์บริการรถยนต์โดยตรง
Q
Xpander Cross มีที่นั่งกี่ที่?
Xpander Cross มาพร้อมที่นั่ง 7 ที่แบบมาตรฐาน โดยมีการจัดวางแบบ 2+3+2 ซึ่งให้พื้นที่นั่งโดยสารที่กว้างขวางและสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารทุกแถว เบาะนั่งแถวที่สองสามารถพับแยกได้แบบ 60/40 และยังสามารถพับไปข้างหน้าได้ เพื่อให้การเข้า-ออกแถวหลังสะดวกยิ่งขึ้น ส่วนเบาะนั่งแถวที่สามสามารถพับแยกแบบ 50/50 เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในรถให้เหมาะกับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการโดยสารหรือขนสัมภาระ ด้วยการออกแบบที่นั่งทั้ง 7 ที่อย่างยืดหยุ่น ทำให้ Xpander Cross เหมาะสำหรับการใช้งานในครอบครัว หรือการเดินทางระยะสั้นแบบหลายคน รองรับทั้งการใช้งานประจำวันและสถานการณ์การเดินทางพิเศษต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว
Q
วิธีการปรับที่นั่ง Xpander?
การปรับเบาะนั่งใน Xpander สามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้: สำหรับการปรับเลื่อนหน้า–หลัง ให้มองหาคันโยกที่อยู่ด้านหน้าของเบาะ ใช้มือลาขวาจับคันโยกไว้ มือซ้ายจับพวงมาลัย และเท้าซ้ายเหยียบพื้นรถเพื่อรักษาสมดุล จากนั้นเลื่อนเบาะไปข้างหน้าหรือข้างหลังตามต้องการ ควรปรับให้เมื่อต้องเหยียบคันเร่งหรือเบรกจนสุดแล้ว ขายังมีความโค้งเล็กน้อย ไม่เหยียดตรงหรือหักงอเกินไป เพื่อความปลอดภัยและความสบายในการขับขี่ สำหรับการปรับระดับสูง–ต่ำของเบาะ ควรปรับให้อยู่ในระดับที่มองเห็นกระจกหน้ารถประมาณ 2/3 ส่วนล่างของพื้นที่กระจกด้านหน้า เพื่อให้มุมมองชัดเจนและไม่ถูกบดบัง ช่วยให้สามารถประเมินสภาพถนนด้านหน้าได้อย่างแม่นยำ การปรับพนักพิงหลัง ให้เริ่มจากวางมือทั้งสองข้างที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกาและ 9 นาฬิกาของพวงมาลัย โดยให้แขนและแผ่นหลังอยู่ในท่าทางผ่อนคลาย จากนั้นใช้มือซ้ายดึงหรือดันคันปรับด้านซ้ายของพนักพิงเพื่อปรับมุมเอนตามความเหมาะสม ควรปรับให้แผ่นหลังได้รับการรองรับอย่างดี เพื่อลดความเมื่อยล้าขณะขับขี่ นอกจากนี้ การปรับพนักพิงศีรษะก็มีความสำคัญเช่นกัน ควรปรับให้บริเวณด้านหลังศีรษะอยู่ตรงกับจุดกึ่งกลางของพนักพิงศีรษะ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บบริเวณคอหากเกิดการชนท้าย
Q
Mitsubishi Xpander มีที่นั่ง 5 หรือ 7 ที่นั่ง?
Mitsubishi Xpander โดยทั่วไปมาพร้อมเบาะนั่งแบบ 7 ที่นั่ง แต่ในบางรุ่นก็มีแบบ 5 ที่นั่งเช่นกัน โดยจัดอยู่ในกลุ่มรถ MPV ขนาดคอมแพกต์ ซึ่งการออกแบบให้มี 7 ที่นั่ง ช่วยให้ภายในรถมีพื้นที่กว้างขวาง เหมาะสำหรับการเดินทางของครอบครัวหรือการโดยสารหลายคน ในรุ่นที่เป็น 7 ที่นั่งทั่วไป จะมีการจัดวางเบาะแบบ 2+3+2 โดยเบาะแถวที่สองสามารถพับแยกแบบ 60/40 และพับไปด้านหน้าได้ ส่วนเบาะแถวที่สามสามารถพับแยกแบบ 50/50 ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้อย่างยืดหยุ่น เพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระเมื่อจำเป็น สำหรับรุ่น Mitsubishi Xpander Cross HEV PLAY 2025 จะเป็นรุ่นที่มีเบาะ 5 ที่นั่ง ผู้ใช้งานสามารถเลือกจำนวนที่นั่งให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง เช่น จำนวนผู้โดยสารหรือวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เพื่อให้ได้รถที่ตอบโจทย์มากที่สุด
Q
Xpander เป็นยานพาหนะประเภทใด
Xpander เป็นรถ MPV ขนาดคอมแพกต์ที่ Mitsubishi เปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 โดยวางจำหน่ายในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาใต้ และตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ โดยมีจุดเด่นคือการผสานลักษณะของ SUV ขนาดเล็กและ MPV เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ตัวรถมาพร้อมดีไซน์ 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยจัดวางพื้นที่ภายในอย่างเหมาะสม เบาะแถวที่สองสามารถเลื่อนหน้า–หลังและปรับเอนได้ ส่วนเบาะแถวที่สามสามารถพับราบเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ รองรับทั้งการโดยสารและการขนของ ภายในรถยังมีช่องเก็บของหลายจุด ช่วยให้ใช้งานได้สะดวก ในด้านระบบขับเคลื่อน Xpander มีให้เลือกทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและรุ่นไฮบริด โดยรุ่นเครื่องยนต์เบนซินส่วนใหญ่ติดตั้งเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร MIVEC ขณะที่รุ่นไฮบริด เช่น Xpander PLAY รุ่นพิเศษ และ Xpander Cross PLAY รุ่นพิเศษ จะมาพร้อมระบบไฮบริดขนาด 1.6 ลิตร ระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์ CVT และ E-CVT แล้วแต่รุ่นย่อย ดีไซน์ภายนอก รุ่น Xpander PLAY จะมีชุดแต่งแนวสปอร์ตสำหรับการขับขี่บนถนน ในขณะที่ Xpander Cross PLAY จะดูแข็งแกร่งมากขึ้น พร้อมติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น ราวหลังคา ภายในห้องโดยสารติดตั้งพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน หน้าจอมาตรวัดดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว หน้าจอกลางแบบลอยตัว และคันเกียร์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ในส่วนของความปลอดภัยและความสะดวกสบาย ก็มีอุปกรณ์ครบครัน อาทิ ถุงลมนิรภัย ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถ เซนเซอร์ถอยหลัง และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
Q
Xpander Cross มี cruise control หรือไม่?
Xpander Cross มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะของรถยนต์ โดยระบบนี้จะช่วยให้รถสามารถรักษาความเร็วตามที่ผู้ขับขี่ตั้งไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งตลอดเวลา ช่วยลดความเมื่อยล้าระหว่างการขับขี่ทางไกล และยังสามารถช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกด้วย ในรุ่นต่าง ๆ ของ Xpander Cross เช่น รุ่นปี 2024 และ 2025 ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน อย่างไรก็ตาม ขณะใช้งานระบบนี้ ผู้ขับขี่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยระบบเหมาะกับการใช้งานบนทางหลวงหรือถนนที่มีการจราจรไม่หนาแน่น และควรหลีกเลี่ยงการใช้งานขณะฝนตก ถนนลื่น มีหิมะหรือโค้งมาก รวมถึงในช่วงทางลาดชันหรือทางลงเขา เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการควบคุมรถที่ไม่เหมาะสมกับสภาพถนน
Q
Xpander Cross เป็นรถประเภทอะไร
Xpander Cross เป็นรถ MPV แบบ 7 ที่นั่งที่ผสมผสานองค์ประกอบของรถครอสโอเวอร์ โดยเป็นรุ่นต่อยอดจาก Mitsubishi Xpander ซึ่งเป็นรถ MPV ขนาดคอมแพกต์ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 มีสไตล์แบบครอสโอเวอร์ MPV โดยมีระยะความสูงจากพื้นเพิ่มขึ้น 10 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นปกติ รวมเป็น 205 มิลลิเมตร ตัวรถใช้การจัดวางเบาะแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ภายในมีพื้นที่กว้าง รองรับความต้องการใช้งานของครอบครัว ด้านระบบขับเคลื่อน มีหลากหลายรุ่นให้เลือก บางรุ่นมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร แบบ NA จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร;ในขณะที่บางรุ่นมาพร้อมระบบไฮบริดขนาด 1.6 ลิตร โดยเครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 134 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 255 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ e-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า รถรุ่นนี้วางจำหน่ายหลักในตลาดเกิดใหม่ เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอเมริกาใต้
Q
Xpander Cross มีความจุถังเชื้อเพลิงเท่าไหร่
ความจุถังน้ำมันของ Mitsubishi Xpander Cross แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันในแต่ละเวอร์ชันของรถ โดยในบางรุ่น เช่น Mitsubishi Xpander Cross 1.5 CVT ปี 2022 และ Mitsubishi Xpander Cross Minorchange 1.5 CVT ปี 2023 จะมีความจุถังน้ำมันอยู่ที่ 45 ลิตร ขณะที่รุ่น Mitsubishi Xpander Cross HEV PLAY ปี 2025 และ Mitsubishi Xpander Cross HEV ปี 2024 จะมีความจุถังน้ำมันอยู่ที่ 40 ลิตร ขนาดของถังน้ำมันมีผลต่อระยะทางในการขับขี่ต่อการเติมน้ำมันหนึ่งครั้ง โดยรถที่มีถังน้ำมันขนาดใหญ่จะสามารถวิ่งได้ไกลขึ้นเมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง ลดความถี่ในการเติม เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ส่วนรถที่มีถังน้ำมันขนาดเล็ก แม้จะมีระยะทางขับขี่ที่สั้นกว่า แต่ก็อาจมีข้อดีในด้านอื่น เช่น น้ำหนักรวมของรถที่เบากว่า หรือการจัดวางพื้นที่ภายในที่เหมาะสมมากขึ้น ผู้ใช้งานสามารถเลือกขนาดถังน้ำมันให้เหมาะกับลักษณะการใช้งาน ทั้งการเดินทางในชีวิตประจำวันและการเดินทางระยะไกล
Q
Xpander Cross มีระบบเปิดประตูแบบไม่ต้องใช้กุญแจหรือไม่?
Mitsubishi Xpander Cross มาพร้อมระบบ Keyless Entry หรือระบบกุญแจอัจฉริยะ ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปิดประตูรถได้โดยไม่ต้องหยิบกุญแจออกจากกระเป๋า เพียงแค่พกกุญแจอัจฉริยะไว้กับตัวแล้วเข้าใกล้ตัวรถ ก็สามารถดึงมือจับประตูเพื่อปลดล็อกได้ทันที ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกนี้มักมาพร้อมกับระบบ Push Start หรือปุ่มสตาร์ตรถ ช่วยให้การสตาร์ทเครื่องยนต์ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียบกุญแจ ในฐานะที่เป็นรุ่นอัปเกรด Xpander Cross จึงมาพร้อมอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ครบครันมากกว่ารุ่น Xpander ปกติ โดยเฉพาะในด้านประสบการณ์การใช้งานที่เน้นความทันสมัยยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ตรวจสอบรายละเอียดรุ่นย่อยกับผู้จำหน่ายก่อนตัดสินใจซื้อ เนื่องจากในบางรุ่นพื้นฐานอาจใช้กุญแจแบบธรรมดาเพื่อควบคุมต้นทุน นอกจากนี้ เนื่องจากระบบ Keyless Entry พึ่งพาสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ จึงแนะนำให้ตรวจสอบแบตเตอรี่ของกุญแจอัจฉริยะอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนหรือสภาพอากาศชื้นของประเทศไทย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการทำงานผิดปกติของระบบ
Q
มิตซูบิชิ Xpander ใช้น้ำมันเท่าไหร่ต่อกิโลเมตร
Mitsubishi Xpander ในตลาดประเทศไทย มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร MIVEC โดยมีตัวเลือกระบบส่งกำลังทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจริงอาจแตกต่างกันไปตามสภาพถนน ลักษณะการขับขี่ และน้ำหนักบรรทุกของรถ โดยจากการทดสอบตามมาตรฐานของทางการไทย Xpander มีอัตราประหยัดน้ำมันเฉลี่ยประมาณ 14–16 กิโลเมตรต่อลิตร หรือเทียบได้กับการใช้น้ำมันประมาณ 0.06–0.07 ลิตรต่อกิโลเมตร ซึ่งหมายความว่า ค่าน้ำมันต่อ 1 กิโลเมตรอยู่ที่ประมาณ 2–2.5 บาท (คำนวณจากราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 95 ในประเทศไทยปัจจุบัน) ในสภาพการจราจรติดขัดในเมือง เช่น กรุงเทพฯ อัตราสิ้นเปลืองจะเพิ่มขึ้น ส่วนการขับขี่ทางไกลบนทางด่วนที่มีความเร็วคงที่มักจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น หลังจากการเข้ารับบริการครั้งแรก (เช่น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหลังจากระยะทาง 1,000 กิโลเมตรแรก) อัตราสิ้นเปลืองมักจะเริ่มนิ่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้แนะนำให้ดูแลรถอย่างสม่ำเสมอ เช่น เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศทุก 10,000 กิโลเมตร รวมถึงควรรักษาความดันลมยางให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม (ประมาณ 32–35 psi) เพื่อช่วยให้รถใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องใช้งานในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นบ่อยครั้ง เช่น ในกรุงเทพฯ แนะนำให้เริ่มออกตัวอย่างนุ่มนวล และใช้เทคนิคการขับขี่แบบคาดการณ์ล่วงหน้า เพื่อช่วยลดการเร่งและเบรกบ่อยครั้ง ซึ่งสามารถช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันได้อีกทางหนึ่ง

ข้อดี

ไฟหน้าแยกสองชุดพร้อมทางปรับแต่งที่ชุบด้วยโครเมียมทำให้หน้าตาด้านนอกสวยงามขึ้น
แผงควบคุมที่แสดงข้อมูลครบถ้วน
การออกแบบปุ่มที่สอดคงลักษณะการใช้งานจริง ใช้งานง่าย
ที่นั่งนุ่มสบาย

ข้อเสีย

อัตราการประหยัดน้ำมันต่ำและพลังงานเฉย ๆ เมื่อขับไปในถนนภูเขาที่ไม่ลื่น
เกียร์ไม่เพียงพอ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานด้วยความเร็วสูงเมื่อขับเร็ว
พื้นที่ภายในห้องไม่ค่อยใหญ่

Q&A ล่าสุด

Q
ข้อเสียของ Honda City Hatchback คืออะไร
Honda City Hatchback ซึ่งเป็นรถยนต์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีข้อสังเกตบางประการในตลาดไทยที่ผู้บริโภคควรพิจารณา อันดับแรกคือพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังค่อนข้างเล็ก มีความจุเพียง 289 ลิตร ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับครอบครัวไทยที่มักต้องบรรทุกของขนาดใหญ่ ประการต่อมาคือระบบกันสะเทือนหลังแบบคานบิด ที่อาจลดความนุ่มนวลเมื่อต้องวิ่งบนถนนที่มีสภาพไม่ดีในบางพื้นที่ของไทย นอกจากนี้ แม้จะใช้เครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.0 ลิตร แต่ในสภาพอากาศร้อนและการจราจรติดขัดของเมืองไทย ประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศอาจลดลง และการควบคุมเสียงรบกวนเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูงก็ยังไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านี้ต้องพิจารณาควบคู่กับตำแหน่งทางการตลาดของรถรุ่นนี้ ในฐานะรถยนต์ระดับเริ่มต้นที่เน้นความประหยัดและใช้งานในเมืองเป็นหลัก จุดเด่นด้านความประหยัดน้ำมันและความคล่องตัวในเมืองยังถือว่าน่าพอใจ ผู้บริโภคชาวไทยจึงควรพิจารณาตามลักษณะการใช้งานของตน เช่น หากเดินทางไกลบ่อยหรือมีความต้องการใช้พื้นที่มาก อาจต้องพิจารณารุ่นอื่น แต่ถ้าใช้ขับขี่ในเมืองเป็นหลัก รถรุ่นนี้ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า
Q
มูลค่าการขายต่อของ Honda City Hatchback คืออะไร
รถฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กในตลาดมือสองของไทยถือว่าคงมูลค่าได้ค่อนข้างดี สาเหตุหลักมาจากภาพลักษณ์ของแบรนด์ฮอนด้าที่แข็งแกร่งในไทย คุณภาพที่เชื่อถือได้ รวมถึงจำนวนรถที่จำหน่ายออกไปในตลาดค่อนข้างสูง โดยทั่วไปรถอายุ 3 ปีจะยังคงมูลค่าได้ประมาณ 60% แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพรถ ระยะทาง เวอร์ชั่นอุปกรณ์ และประวัติการเซอร์วิสด้วย ในตลาดไทยผู้บริโภคมีความต้องการรถแฮทช์แบ็กขนาดเล็กค่อนข้างมาก แถมซิตี้ แฮทช์แบ็กยังประหยัดน้ำมันและค่าซ่อมบำรุงไม่แพง สิ่งเหล่านี้ช่วยพยุงมูลค่ารถมือสองได้ดี ถ้าคิดจะซื้อหรือขายรถรุ่นนี้ แนะนำให้เข้าศูนย์บริการตามกำหนดและเก็บหลักฐานการบำรุงรักษาให้ครบถ้วน จะช่วยเพิ่มมูลค่ารถมือสองได้อย่างเห็นได้ชัด ส่วนในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย ควรตรวจสอบสภาพการป้องกันสนิมและระบบแอร์เป็นพิเศษ เพราะส่งผลต่อมูลค่ารถเช่นกัน โดยรวมแล้วซิตี้ แฮทช์แบ็กเป็นรถที่ขายง่ายในตลาดมือสองของไทย ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างตกลงราคาได้ไม่ยาก
Q
ฮอนด้าซิตี้แฮทช์แบคมีกี่ซีซี
รถฮอนด้า ซีตี้ แฮทช์แบ็ก รุ่นปรับโฉมใหม่ มาพร้อมกับ 2 ตัวเลือกเครื่องยนต์ คือรุ่น 1.0 ลิตร และ 1.5 ลิตร โดยเครื่อง 1.0 ลิตร เทอร์โบ VTEC เป็นรุ่นเบนซิน คู่กับเกียร์ CVT ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิด 173 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 23.3 กม./ลิตร มีให้เลือก 3 รุ่นย่อยคือ S+, SV และ RS ส่วนรุ่น 1.5 ลิตร e:HEV เป็นระบบไฮบริด โดยเครื่องยนต์ผลิตกำลัง 98 แรงม้าและแรงบิด 126 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถเพิ่มกำลังได้ถึง 109 แรงม้าและแรงบิด 250 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 27.8 กม./ลิตร มีให้เลือก 2 รุ่นย่อยคือ SV และ RS ด้วยความหลากหลายของเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนนี้ ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกรุ่นที่ตอบโจทย์ได้ทั้งในแง่ประหยัดน้ำมันและสมรรถนะการขับขี่ตามความต้องการของแต่ละคน
Q
เครื่องยนต์ใน Honda City Hatchback คืออะไร
รถฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กมีตัวเลือกเครื่องยนต์ให้เลือกหลายแบบ แบบแรกคือเครื่องยนต์ 1.5L DOHC i-VTEC แบบสูบธรรมชาติ คู่กับเกียร์ CVT ให้กำลังสูงสุด 119 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 145 นิวตัน-เมตร อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันตามมาตรฐาน 5.6L/100km เครื่องยนต์แบบนี้ให้กำลังส่งที่เนียนๆ เหมาะกับการขับขี่ในเมืองทั่วไป ตอบโจทย์การใช้งานประจำวันได้ดี อีกแบบคือระบบไฮบริด 1.5L i-MMD ในรุ่น e:HEV RS ให้กำลังสูงสุด 107 แรงม้า แต่แรงบิดสูงถึง 253 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันได้ดีมากแค่ 3.6L/100km ระบบไฮบริดนี้ผสมผสานจุดเด่นของทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า นอกจากให้กำลังขับเคลื่อนที่มั่นคงแล้ว ยังช่วยประหยัดน้ำมันและลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย ไม่ว่าคุณจะมองหารถที่ประหยัดน้ำมันหรือต้องการสมรรถนะการขับขี่ที่แรงกว่า ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กก็มีตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้ทั้งนั้น
Q
เกียร์แบบใดคือเกียร์ของ Honda City Hatchback
รถฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กมีตัวเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบที่มาพร้อมระบบเกียร์ต่างกัน สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิเตอร์ เทอร์โบ VTEC ใช้ระบบเกียร์ CVT ที่ให้การเปลี่ยนเกียร์เนียนๆ ไม่สะดุด พร้อมแรงม้าสูงสุด 122 แรงม้าและแรงบิด 173 นิวตันเมตร ประหยัดน้ำมันได้ถึง 23.3 กม./ลิตร มีให้เลือก 3 รุ่นย่อยคือ S+, SV และ RS ส่วนรุ่นไฮบริด 1.5 ลิเตอร์ e:HEV ไม่ได้ระบุประเภทเกียร์ชัดเจน แต่เครื่องยนต์หลักให้แรงม้าสูงสุด 98 แรงม้าและแรงบิด 126 นิวตันเมตร ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเพิ่มพลังเป็น 109 แรงม้าและแรงบิด 250 นิวตันเมตร ทำให้ประหยัดน้ำมันขึ้นไปถึง 27.8 กม./ลิตร มีตัวเลือกรุ่น SV และ RS ระบบเกียร์ CVT ช่วยให้การขับขี่ลื่นไหล ไม่สะดุด เปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล สร้างความรู้สึกสบายขณะขับขี่ และยังช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีอีกด้วย
ดูเพิ่มเติม