Nissan Kicks e-POWER

รถยนต์ Nissan Almera รุ่นปี 2024 ที่วางขายในตลาดไทยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 549,000 ถึง 749,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและอุปกรณ์เสริม โดยราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่นของตัวแทนจำหน่ายหรือการเลือกอุปกรณ์เพิ่มเติม รุ่นนี้ได้รับความนิยมจากคนไทยเพราะมีความประหยัดและใช้งานได้ดี มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร ที่ให้ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน เหมาะมากสำหรับการขับขี่ในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ที่รถติดบ่อย ขนาดตัวรถกะทัดรัดจอดง่าย แต่ภายในออกแบบมาให้ใช้สอยได้ดี โดยเฉพาะพื้นที่ขาในเบาะหลังที่กว้างพอสมควร ที่สำคัญ Almera ผลิตในประเทศไทย ทำให้ค่าบำรุงรักษาไม่แพงและหาอะไหล่ได้ง่าย นอกจากนี้ ผู้ซื้อยังอาจได้รับสิทธิประโยชน์จากนโยบายรถยนต์ประหยัดพลังงานของรัฐบาล ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้อีกด้วย ถ้าสนใจ แนะนำให้เข้าไปเช็คราคาล่าสุดหรือนัดทดลองขับที่เว็บไซต์ Nissan ประเทศไทย เพื่อสัมผัสสมรรถนะและความสะดวกสบายของรถด้วยตัวเอง

Nissan Almera รุ่นปี 2024 ในไทย ประหยัดน้ำมันสุดๆ มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ 3 สูบ คู่กับเกียร์ CVT ตัวเลขจากผู้ผลิตบอกว่าเฉลี่ยแล้ววิ่งได้ถึง 23.3 กม./ลิตร (หรือประมาณ 4.3 ลิตร/100 กม.) เหมาะมากๆ สำหรับการขับในเมืองไทยที่ต้องเจอทั้งจอดสตาร์ทบ่อยและขับทางไกล อัลเมร่ายังมีเทคโนโลยีช่วยประหยัดน้ำมันอย่าง Active Grille และระบบ Start-Stop อัตโนมัติ ที่ช่วยให้ประหยัดขึ้นอีกในตลาดประเทศไทย Almera โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่เหนือชั้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้บริโภคที่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกัน สมรรถนะการขับขี่ที่นุ่มนวลยังเหมาะกับการขับขี่ในสภาพอากาศร้อนชื้น ผู้บริโภคชาวไทยยังสามารถพิจารณาเลือกใช้น้ำมันเบนซินเอทานอล E20 ได้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในตลาด Almera มีอัตราการประหยัดน้ำมันที่แข่งขันได้กับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกัน ขอแนะนำให้ทดลองขับที่ตัวแทนจำหน่ายก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อสัมผัสประสบการณ์การขับขี่จริง

Nissan Almera รุ่นปี 2024 ในตลาดไทยมาพร้อมจุดเด่นที่น่าสนใจหลายอย่าง โดยเริ่มจากเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบ เทอร์โบชาร์จ ที่ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้าและแรงบิด 152 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์ CVT ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน เหมาะกับสภาพการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ ภายนอกใช้ดีไซน์แบบครอบครัว Nissan V-Motion พร้อมไฟหน้า LED และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ให้ลุคสปอร์ตดูคล่องตัว ส่วนภายในติดตั้งหน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว ที่รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto มาพร้อมระบบกุญแจอัจฉริยะและช่องปรับอากาศด้านหลัง ช่วยเพิ่มความสบายในอากาศร้อนของไทย ด้านความปลอดภัยมีถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ระบบควบคุมเสถียรภาพรถ (VDC) และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยที่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัย พิเศษไปกว่านั้น Almera ผลิตในประเทศไทยทำให้ค่าบำรุงรักษาไม่แพง และด้วยขนาดตัวรถที่กะทัดรัดทำให้ขับเคลื่อนในซอยแคบๆ ได้สะดวก ในขณะที่ยังมีปริมาตรกระโปรงหลังถึง 482 ลิตร เพียงพอต่อการใช้งานในครอบครัว เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Toyota Yaris Ativ และ Honda City ที่เน้นความประหยัดและใช้งานง่าย แต่จุดแข็งของ Almera อยู่ที่เทคโนโลยีเครื่องยนต์เทอร์โบที่ให้แรงบิดต่ำ เหมาะกับการขับขี่ที่ต้องเร่งและหยุดบ่อยๆ ในเมือง

สำหรับรุ่น Nissan Almera 2024 ที่วางขายในตลาดไทย มีให้เลือกทั้งแบบเทอร์โบชาร์จและแบบเครื่องยนต์สูบธรรมดา รุ่นเทอร์โบชาร์จใช้เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบ (รหัส HR10DET) ที่ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า แรงบิดสูง 152 นิวตัน-เมตร ทำงานคู่กับเกียร์ CVT เครื่องยนต์ขนาดเล็กแต่แรงนี้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องประหยัดน้ำมันและความคล่องตัวในสภาพการจราจรติดขัดของเมืองไทย เหมาะมากสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ส่วนใครที่เน้นความประหยัดก็มีรุ่นเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แบบสูบธรรมดา (HR12DE) ให้เลือกด้วย ถ้าชอบความแรงแนะนำรุ่นเทอร์โบ แต่ถ้าอยากประหยัดค่าบำรุงก็เลือกรุ่นสูบธรรมดาได้ Almera ในไทยถูกออกแบบมาให้ประหยัดน้ำมันมาก ตัวเครื่องเทอร์โบใช้เทคโนโลยีลดแรงเสียดทานอย่าง mirror bore coating ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันแค่ 4.5 ลิตรต่อ 100 กม. แถมยังใช้ E20 ได้ ซึ่งคนไทยชอบมาก เวลาไปทดลองขับลองสังเกตุดูว่าเครื่องเทอร์โบจะเริ่มทำงานที่รอบ 1,500 rpm ทำให้เวลาเจอรถติดในกรุงเทพฯ จะรู้สึกว่าไม่เหนื่อยเท่าไหร่

Nissan Almera รุ่นปี 2024 ที่วางขายในตลาดไทยมีปริมาตรกระโปรงหลังขนาด 482 ลิตร ซึ่งถือว่าเป็นความจุที่ใช้งานได้จริงมากสำหรับรถเก๋งคอมแพคต์ สามารถบรรทุกกระเป๋าเดินทางหลายใบหรือของใช้ในชีวิตประจำวันได้สบายๆ เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ครอบครัวไทยทั้งการเดินทางช่วงวันหยุดหรือการใช้ชีวิตในเมือง ในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย กระโปรงหลังของ Almera ถูกออกแบบให้มีปากกระโปรงกว้าง ทำให้สะดวกต่อการบรรทุกสิ่งของขนาดใหญ่ เช่น ร่มพับที่จำเป็นช่วงฤดูฝนหรืออุปกรณ์กิจกรรมทางน้ำ ที่น่าสนใจคือระบบช่วงล่างหลังถูกออกแบบมาให้รักษาความนุ่มนวลขณะขับขี่ พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานพื้นที่กระโปรงหลัง สำหรับผู้ที่มักต้องขนของบ่อยๆ ยังสามารถพับเบาะหลังแบบ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์มาตรฐานในรถระดับเดียวกันในตลาดไทย หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มักต้องขนสัมภาระขนาดใหญ่ แนะนำให้ไปทดลองบรรทุกของจริงที่ตัวแทนจำหน่าย พร้อมเทียบความสะดวกกับการออกแบบกระโปรงหลังของคู่แข่งอย่าง Toyota Yaris Ativ หรือ Honda City เพื่อเลือกรถที่ตอบโจทย์การใช้งานของคุณมากที่สุด