Q

Huracán STO เป็นคาร์บอนเต็มตัวหรือไม่?

แลมโบร์กินี ฮูราเคน STO อาจไม่ได้ใช้คาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมดสำหรับตัวถัง แต่ก็ใช้วัสดุนี้ในหลายส่วนเพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างเช่น หลังคา ฝากระโปรงหน้า กันชนหน้า และดิฟฟิวเซอร์หลัง ล้วนทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้น้ำหนักแห้งของรถอยู่ที่เพียง 1,339 กิโลกรัม การออกแบบนี้ช่วยลดปัญหาความร้อนสะสมและเพิ่มการระบายความร้อนได้ดีในสภาพอากาศร้อนของไทย สำหรับแฟนรถไทยแล้ว การออกแบบที่เน้นน้ำหนักเบาของ STO นี่เหมาะมากกับถนนภูเขาคดเคี้ยวและสนามแข่งในประเทศ อย่างสนามแม่โอนในเชียงใหม่หรือสนามบีร่าที่ระยอง อีกจุดที่น่าสนใจคือแม้คาร์บอนไฟเบอร์จะมีราคาสูง แต่ระบบแอโรไดนามิกส์ที่ปรับได้และเทคโนโลยีพวงมาลัยหลังของ STO ก็ถือว่าคุ้มค่า โดยเฉพาะเวลาขับบนถนนลื่นช่วงฤดูฝนของไทยที่ระบบเหล่านี้ช่วยให้ควบคุมรถได้มั่นคงกว่า แต่ถ้าพูดถึงการใช้ประจำวัน สปริงและโช้คที่ตั้งมาแบบสปอร์ตของ STO อาจทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายนักบนถนนในกรุงเทพฯที่ขรุขระ แต่นี่ก็เป็นลักษณะเฉพาะของซูเปอร์คาร์ที่ออกแบบมาสำหรับสนามแข่งนั่นแหละ
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
ความเร็วสูงสุดของ Toyota Corolla 2024 คือเท่าไหร่?
รถโตโยต้า โคโรลลา รุ่นปี 2024 ในประเทศไทยมีความเร็วสูงสุดที่แตกต่างกันไปตามรุ่นและแบบเครื่องยนต์ โดยรุ่นเครื่องยนต์เบนซินจะทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 180-200 กม./ชม. ส่วนรุ่นไฮบริดที่เน้นการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีความเร็วสูงสุดน้อยกว่าประมาณ 180 กม./ชม. ทั้งนี้ความเร็วจริงอาจได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศร้อนของไทย สภาพถนน หรือน้ำหนักบรรทุก ในตลาดไทย โคโรลลาเป็นรถยอดนิยมโดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 1.8L และ 1.6L ที่เหมาะกับการใช้งานในเมือง ส่วนระบบไฮบริดจะช่วยประหยัดน้ำมันได้ชัดเจนในสภาพการจราจรติดขัดอย่างในกรุงเทพฯ ควรระวังว่ากฎหมายไทยกำหนดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 120 กม./ชม. การขับขี่เกินความเร็วกำหนดไม่เพียงแต่เสี่ยงอันตรายแต่ยังอาจถูกปรับหนัก นอกจากนี้ระบบ Toyota Safety Sense ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งเป็นประโยชน์มากในสภาพถนนทั้งในเมืองและต่างจังหวัดของไทยที่หลากหลาย หากต้องการสมรรถนะ更高อาจพิจารณารุ่น Corolla Altis ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.0L แต่ต้องคำนึงว่าภาษีรถยนต์เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ในไทยจะสูงกว่า
Q
ยางขนาดเท่าไหร่ที่ติดตั้งใน Toyota Corolla ปี 2024?
สำหรับรถโตโยต้า Corolla รุ่นปี 2024 ที่วางขายในตลาดไทย ขนาดยางที่ทางผู้ผลิตจัดให้นั้นจะแตกต่างกันไปตามรุ่นและระดับเครื่องยนต์ โดยขนาดยางที่พบได้บ่อยจะมี 2 แบบคือ 195/65 R15 และ 205/55 R16 ซึ่งแบบแรกมักจะใช้กับรุ่นพื้นฐาน ส่วนแบบหลังนั้นจะเจอในรุ่นท็อปหรือรุ่นสปอร์ต ตัวเลขขนาดยางเหล่านี้มีความหมายคือ ความกว้างของหน้ายาง (หน่วยเป็นมิลลิเมตร) อัตราส่วนความสูงของแก้มยางต่อความกว้างหน้ายาง (เป็นเปอร์เซ็นต์) และเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อ (หน่วยเป็นนิ้ว) การเลือกขนาดยางที่เหมาะสมจะมีผลต่อการควบคุมรถ ความนุ่มสบาย และประหยัดน้ำมันด้วย ในสภาพอากาศเมืองไทยที่ทั้งร้อนและฝนชุก แนะนำให้เลือกยางที่มีร่องดอกยางดีเพื่อระบายน้ำได้มีประสิทธิภาพ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยเวลาขับตอนฝนตก นอกจากนี้ควรตรวจสอบสภาพยางและลมยางเป็นประจำ เพื่อป้องกันปัญหายางระเบิดจากความร้อนที่ทำให้ลมยางเพิ่มความดันสูงเกินไป ส่วนใครที่คิดจะอัพเกรดขนาดยาง ต้องระวังเรื่องกฎหมายด้วยนะ เพราะไทยเรามีข้อกำหนดเรื่องการเปลี่ยนขนาดยาง ต้องไม่เกินขอบเขตที่ผู้ผลิตอนุญาตไว้ เดี๋ยวจะเกิดปัญหาเวลาตรวจสภาพรถหรือทำประกันได้
Q
แรงดันลมยางที่เหมาะสมสำหรับรถ Toyota Corolla ปี 2024 คือเท่าไร?
ตามคำแนะนำอย่างเป็นทางการจากโตโยต้า มาตรฐานความดันลมยางสำหรับ Toyota Corolla รุ่นปี 2024 จะระบุไว้บนสติกเกอร์ที่กรอบประตูหรือในคู่มือผู้ใช้ สำหรับสภาพอากาศร้อนแบบประเทศไทย แนะนำให้ปรับความดันลมยางเมื่อยางเย็นอยู่ที่ 32 psi (2.2 bar) สำหรับล้อหน้า และ 30 psi (2.1 bar) สำหรับล้อหลัง หากมีการบรรทุกหนักเป็นประจำสามารถปรับตามค่าที่แนะนำบนสติกเกอร์ได้ สภาพอากาศร้อนในไทยจะทำให้ความดันลมยางเพิ่มขึ้นขณะขับขี่ ดังนั้นควรตรวจสอบความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง ควรตรวจในช่วงเช้าหรือในที่ร่มจะดีที่สุด ต้องระวังว่าความดันลมยางสูงเกินไปจะทำให้การยึดเกาะถนนลดลง ส่วนความดันต่ำเกินไปจะเพิ่มการสิ้นเปลืองน้ำมันและเสี่ยงยางระเบิดได้ ในช่วงฤดูฝนอาจลดความดันลง 1-2 psi เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่บนถนนเปียก แต่ไม่ควรปรับค่าแตกต่างจากมาตรฐานโรงงานเกิน 10% สำหรับสภาพถนนในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ที่ค่อนข้างซับซ้อน แนะนำให้เลือกรุ่นที่มาพร้อมระบบตรวจสอบความดันลมยาง (TPMS) โดยในไทยปั๊มน้ำมันและอู่ซ่อมรถส่วนใหญ่มีบริการตรวจความดันลมยางฟรี ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนเดินทางไกล ยางแต่ละยี่ห้อเช่นมิชลินหรือบริจสโตนอาจมีค่ามาตรฐานแตกต่างกันเล็กน้อย หลังเปลี่ยนยางใหม่ควรตรวจสอบค่ามาตรฐานอีกครั้ง
Q
วิธีตรวจสอบว่าล้อไหนลมยางอ่อนใน Toyota Corolla ปี 2024
ถ้าจะตรวจสอบว่ายางล้อไหนของ Toyota Corolla รุ่นปี 2024 มีลมยางไม่พอ วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้ระบบตรวจสอบความดันลมยาง (TPMS) ที่มากับรถเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว พอความดันลมยางต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ไฟเตือนสีเหลืองบนแผงหน้าปัดจะสขึ้นพร้อมบอกตำแหน่งล้อนั้นๆ ช่วงอากาศร้อนๆแบบไทยๆเนี่ยลมยางขึ้นลงง่าย แนะนำให้ตรวจเช็คลมยางด้วยตัวเองอย่างน้อยเดือนละครั้ง จะใช้เครื่องวัดลมยางแบบดิจิตอลตามปั๊มหรืออู่ก็ได้ ต้องเช็คตอนยางเย็นเท่านั้น แล้วเทียบกับค่ามาตรฐานที่ติดอยู่บนกรอบประตูด้านคนขับ (ปกติล้อหน้าจะอยู่ที่ 220kPa ล้อหลัง 210kPa) ถ้าลมยางผิดปกติต้องปรับให้ตรงอย่าปล่อยทิ้งไว้ โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนถนนไทยๆมักลื่น การรักษาลมยางให้พอดีจะช่วยให้เบรกทำงานปกติและประหยัดน้ำมันด้วย ยางลมอ่อนนานๆนอกจากจะสึกเร็วยังเสี่ยงยางระเบิดเวลาเดินทางไกลตอนแดดจัดๆอีก ส่วนวิธีสังเกตแบบคร่าวๆให้ดูว่ายางแตะพื้นเท่ากันทุกด้านหรือเปล่า แต่วิธีนี้ไม่แม่นเท่าใช้เครื่องวัดนะ
Q
รถ Toyota Corolla ปี 2024 ใช้น้ำมันเครื่องชนิดไหน?
สำหรับรถโตโยต้า Corolla รุ่นปี 2024 ที่จำหน่ายในประเทศไทย แนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องชนิดสังเคราะห์เต็มรูปแบบที่มีความหนืด 0W-16 หรือ 5W-20 เพราะทั้งสองเกรดนี้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนของไทยและช่วยปกป้องเครื่องยนต์ได้ดี อย่างไรก็ตามควรตรวจสอบคู่มือผู้ใช้หรือสติกเกอร์ที่ฝากล่องน้ำมันเครื่องเพื่อดูเกรดที่ผู้ผลิตระบุไว้เป็นหลัก สภาพแวดล้อมของไทยที่มีทั้งความร้อนและความชื้นสูงต้องการน้ำมันเครื่องคุณภาพดีที่ได้มาตรฐาน API SP หรือ ILSAC GF-6A เพื่อความสะอาดของเครื่องยนต์และช่วยประหยัดน้ำมัน ที่สำคัญคือในสภาพอากาศร้อนแบบไทยๆ ควรตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องเป็นประจำและเปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนดทุก 10,000 กิโลเมตรหรือทุก 6 เดือน (แล้วแต่อย่างไหนถึงก่อน) แต่ถ้าต้องเผชิญกับการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ บ่อยๆ อาจต้องเปลี่ยนถี่ขึ้นกว่านั้น สำหรับรุ่นเทอร์โบหรือไฮบริด ต้องใช้น้ำมันเครื่องตามที่โตโยต้ากำหนดเท่านั้นเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งศูนย์บริการโตโยต้าในไทยมีน้ำมันเครื่องต้นฉบับที่ได้มาตรฐานพร้อมบริการครบวงจร อีกเรื่องที่ควรรู้คือสภาพพื้นที่เป็นภูเขาของไทยอาจทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น การเลือกน้ำมันเครื่องที่มีคุณสมบัติป้องกันการเสื่อมสภาพจากความร้อนสูงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น
Q
ราคาที่ยุติธรรมสำหรับรถ Toyota Corolla ปี 2024 ควรจะเป็นเท่าไหร่?
รถโตโยต้า โคโรลลา รุ่นปี 2024 ในประเทศไทยน่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 800,000 ถึง 1,200,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและโปรโมชั่นจากตัวแทนจำหน่าย โดยรุ่นพื้นฐาน 1.6L แบบเบนซินจะราคาถูกกว่า ส่วนรุ่นไฮบริดแบบเต็มอุปกรณ์จะใกล้เคียงกับราคาสูงสุด นอกจากนี้ราคาจริงอาจรวมค่าประกัน ภาษี และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ด้วย ตลาดไทยให้ความนิยมโคโรลลามาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นรถที่ทนทานและประหยัดน้ำมัน โดยเฉพาะในสภาพการจราจรติดขัดอย่างในกรุงเทพฯ รุ่นไฮบริดยิ่งช่วยลดค่าน้ำมันลงไปอีก ก่อนซื้อแนะนำให้เปรียบเทียบราคาจากหลายๆ โชว์รูม เพราะโตโยต้ามีเครือข่ายจำหน่ายทั่วไทยและบริการหลังการขายค่อนข้างดี บางครั้งอาจมีโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ผ่อนสบายๆ ดอกเบี้ยต่ำหรือบริการฟรีๆ ที่ช่วยลดต้นทุนในการใช้รถในระยะยาว ส่วนเรื่องค่าซื้อคืนกลับ โคโรลลาก็ทำได้ดีเหมือนกัน แม้ใช้ไปนานก็ยังคงมูลค่าได้ค่อนข้างดี
Q
รถ Toyota Corolla Cross ปี 2024 จะใช้งานได้นานแค่ไหน?
รถโตโยต้า Corolla Cross รุ่นปี 2024 ในประเทศไทยโดยทั่วไปสามารถใช้งานได้นาน 15-20 ปี หรือระยะทางเกิน 3 แสนกิโลเมตร ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาและนิสัยการขับขี่ รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ 2.0L แบบดูดธรรมดาและเกียร์ CVT ที่มีชื่อเรื่องความทนทาน พร้อมด้วยระบบไฮบริด (แบบ HEV) ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดีของโตโยต้า ซึ่งทำงานได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย แนะนำให้เปลี่ยนน้ำหล่อเย็นและน้ำมันเกียร์อย่างสม่ำเสมอเพื่อรับมือกับอุณหภูมิสูง และควรดูแลป้องกันสนิมบริเวณช่วงล่างโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน สำหรับคนไทยแล้ว Corolla Cross มีอะไหล่พร้อมและค่าซ่อมบำรุงไม่แพง นอกจากนี้ยังเป็นรถที่ทรงตัวดีในตลาดมือสอง หากทำตามคำแนะนำของผู้ผลิตในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 1 หมื่นกิโลเมตรและใช้อะไหล่แท้ จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถได้อีก ที่สำคัญคือสภาพถนนในไทยมีความหลากหลาย จึงควรตรวจสอบระบบช่วงล่างทุก 2 ปี โดยเฉพาะถ้าต้องขับบนถนนชนบทบ่อยๆ การดูแลรายละเอียดเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความเชื่อถือได้ในการใช้งานระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด
Q
รถ Toyota Corolla Cross รุ่นปี 2024 เป็นรถที่ดีหรือไม่?
สำหรับตลาดไทย 2024 Toyota Corolla Cross นับเป็น SUV ที่น่าจับตามอง เพราะยังคงความน่าเชื่อถือและใช้งานได้จริงแบบฉบับโตโยต้า มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร แบบธรรมดาหรือระบบไฮบริดที่ให้กำลังส่งเรียบๆ แต่ประหยัดน้ำมันสุดๆ เหมาะทั้งขับในเมืองที่รถติดเยอะหรือจะไปทริปยาวๆ ก็ไหว ที่นั่งด้านหลังกว้างขวาง พับเก็บได้ตามต้องการ ช่วยเรื่องขนของหรือไปเที่ยวกับครอบครัว แถมยังติดตั้ง Toyota Safety Sense ระบบช่วยความปลอดภัยที่มีทั้งแจ้งเตือนก่อนชนและช่วยควบคุมเลน ช่วยให้ขับขี่ปลอดภัยขึ้น ส่วนเรื่องอากาศร้อนๆ แบบไทยๆ แอร์ของรุ่นนี้เย็นฉ่ำ แถมช่วงล่างก็ปรับแต่งมาได้ดีทั้งนุ่มและกระชับ รับได้ทุกสภาพถนน ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับรุ่นอื่นในตลาดอย่าง Honda HR-V หรือ Mazda CX-30 ที่แต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นต่างกัน แต่จุดแข็งของ Corolla Cross อยู่ที่เครือข่ายบริการหลังการขายของโตโยต้าที่ครอบคลุมและมูลค่ารถคงเหลือสูง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนไทยมาก
Q
คะแนนของ Toyota Corolla Cross 2024 คือเท่าไร?
รถโตโยต้า คอร์โรลลา ครอส รุ่นปี 2024 ในไทยทำผลงานด้านความปลอดภัยได้ดีมาก ได้รับการรับรองระดับ 5 ดาวจากอาเซียน NCAP พร้อมระบบ Toyota Safety Sense ที่มาพร้อมฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น ระบบเตือนการชนและช่วยรักษาเลน เหมาะสมกับสภาพถนนทั้งในเมืองและต่างจังหวัดของไทยที่ค่อนข้างซับซ้อน ส่วนด้านสมรรถนะมีทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตรและไฮบริด 1.8 ลิตร โดยรุ่นไฮบริดให้ประหยัดน้ำมันถึงประมาณ 23 กม./ลิตรในสภาพการจราจรติดขัดของกรุงเทพฯ ส่วนระบบช่วงล่างก็ถูกปรับแต่งให้เหมาะกับถนนไทย ทั้งความนุ่มนวลและการทรงตัว ความโดดเด่นในตลาดไทยยังมาจากราคาที่เหมาะสมเพราะผลิตในประเทศและเครือข่ายบริการหลังการขายที่ครอบคลุม สำหรับคนไทยที่กำลังมองหารถในระดับเดียวกัน อาจเปรียบเทียบกับฮอนด้า เอชอาร์-วี หรือมาสด้า ซีเอ็กซ์-30 ก่อนตัดสินใจ แนะนำให้ไปทดลองขับที่โชว์รูมในกรุงเทพฯหรือเชียงใหม่ และอย่าลืมเช็กโปรโมชั่นลดภาษีสำหรับรถ Eco Car จากรัฐบาลไทยเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่คุ้มค่าที่สุด
Q
คุณจะต้องจ่ายเท่าไรสำหรับรถ Toyota Corolla Cross ปี 2024?
ราคารถ Toyota Corolla Cross รุ่นปี 2024 ในประเทศไทยจะแตกต่างกันไปตามระดับเครื่องยนต์และโปรโมชั่นจากตัวแทนจำหน่าย โดยรุ่นพื้นฐานเริ่มต้นที่ประมาณ 950,000 - 1,100,000 บาท ส่วนรุ่นไฮบริดแบบเต็มสูบอาจสูงถึง 1,200,000 - 1,400,000 บาท แนะนำให้ติดต่อตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเพื่อสอบถามราคาล่าสุดและข้อเสนอพิเศษ Corolla Cross เป็นที่นิยมในตลาดไทยเพราะประหยัดน้ำมันและความทนทาน เหมาะกับการขับขี่ในเมืองและการใช้งานในครอบครัว โดยเฉพาะรุ่นไฮบริดที่ช่วยประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นอีก เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นอกจากราคาแล้ว ควรพิจารณาบริการหลังการขาย นโยบายการรับประกันและค่าประกันรถด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในระยะยาว รัฐบาลไทยมีนโยบายลดภาษีสำหรับรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเลือกรุ่นไฮบริดอาจได้รับสิทธิประโยชน์บางอย่าง ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ ซ้ำยังมีจุดแข็งเรื่องเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายของโตโยต้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้สะดวกในเรื่องบริการหลังการขาย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่หลายคนเลือก Corolla Cross

Q&A ล่าสุด

Q
สีของ Ford Everest 2020 มีอะไรบ้าง
รถ福特 Everest รุ่นปี 2020 ในตลาดไทยมีตัวเลือกสีให้เลือกหลากหลาย ทั้งโทนคลาสสิกยอดนิยมอย่างสีขาว สีดำ สีเงิน รวมไปถึงโทนสีน่าสนใจอย่างสีน้ำเงินเข้มและสีทองแดงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม สีรถไม่เพียงแต่เหมาะกับการใช้งานประจำวัน แต่ยังออกแบบมาเพื่อทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีสีรถที่ทนความร้อนสูงและป้องกันการกัดกร่อน ทำให้รถยังดูใหม่แม้ใช้งานมานาน ในไทยรถ SUV อย่าง Everest ได้รับความนิยมจากครอบครัวไทยเพราะตัวรถสูงและพื้นที่กว้างขวาง ส่วนเรื่องสีคนไทยมักชอบโทนสว่างๆ เพราะช่วยสะท้อนแสงแดดลดความร้อนในรถ และยังเข้ากับสไตล์การแต่งตัวที่สดใสของคนไทย นอกจากนี้ Ford Everest ยังเป็นรถที่เน้นประโยชน์ใช้สอยและความแข็งแกร่งในการขับออฟโรด สีรถจึงถูกออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง เช่น สีเข้มๆ ที่ช่วยกลบรอยสกปรกสำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยว road trip เวลาซื้อรถนอกจากเรื่องสีแล้ว ลูกค้าควรสนใจบริการหลังการขายด้วย โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบไทยที่ควรดูแลสีรถและภายในรถเป็นประจำเพื่อยืดอายุการใช้งาน
Q
Ford Everest 2020 ราคาเท่าไหร่?
รถยนต์ฟอร์ด Everest รุ่นปี 2020 ในตลาดไทยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1.4 ถึง 1.8 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและอุปกรณ์เสริมที่เลือก เช่น รุ่น Trend, Titanium+ หรือ Wildtrak แนะนำให้ติดต่อตัวแทนจำหน่ายฟอร์ดในไทยเพื่อสอบถามราคาปัจจุบันและโปรโมชั่นล่าสุด Everest เป็น SUV ระดับกลางที่ได้รับความนิยมในไทย ด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร ที่ให้กำลัง 213 แรงม้าและแรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ทนทาน เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายแบบในไทย ทั้งในเมืองและเส้นทางลุยๆ ที่สำคัญรถรุ่นนี้ประกอบในประเทศไทย ทำให้มีเครือข่ายบริการหลังการขายและอะไหล่ที่พร้อม แถมยังมาพร้อมระบบความบันเทิง SYNC 3 และระบบความปลอดภัยครบครัน เช่น 7 ถุงลมนิรภัยและระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ จุดแข็งเหล่านี้ทำให้ Everest แข่งขันกับคู่แข่งในระดับเดียวกันได้อย่างมั่นคง ถ้าจะเปรียบเทียบกับ SUV รุ่นอื่นในราคาใกล้เคียง เช่น โตโยต้า Fortuner หรือ ISUZU MU-X ก็ต้องบอกว่า Everest มีจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีและสมรรถนะการขับขี่ออฟโรด แนะนำให้ลองทดลองขับและเปรียบเทียบตามความต้องการใช้งานส่วนตัวก่อนตัดสินใจซื้อจะดีที่สุด
Q
ลัมโบ STO เป็นเกียร์มือหรือเปล่า?
兰博基尼 STO ไม่ใช่รุ่นเกียร์ธรรมดานะครับ มันใช้เกียร์อัตโนมัติ 7 ความเร็ว ISR (Independent Shifting Rods) ซึ่งเป็นเกียร์ที่โด่งดังเรื่องการเปลี่ยนเกียร์ที่เร็วฉับไวและการส่งผ่านพลังที่เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเหมาะกับรถซูเปอร์คาร์แนวสปอร์ตอย่าง STO ที่ออกแบบมาสำหรับการขับบนสนามแข่ง แถมในสภาพอากาศร้อนๆ แบบประเทศไทย เกียร์อัตโนมัติยังช่วยให้การขับขี่มั่นคงขึ้น ลดความเมื่อยล้าจากการเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ อีกต่างหาก สำหรับแฟนๆ รถไทย แม้ว่ารถเกียร์ธรรมดาจะให้ความสนุกในการขับที่เฉพาะตัว แต่ซูเปอร์คาร์ระดับนี้อย่าง STO เน้นทั้งประสิทธิภาพบนสนามแข่งและความสะดวกในชีวิตประจำวัน เกียร์อัตโนมัติจึงตอบโจทย์ได้ดีกว่าครับ ที่น่าสนใจคือ ตลาดรถซูเปอร์คาร์ในไทยโตขึ้นทุกปี จะเห็นได้จากรถแบรนด์หรูอย่างลัมโบร์กีนี่ที่เริ่มมีให้เห็นบ่อยขึ้นทั้งในสนามแข่งและย่านช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์ของกรุงเทพฯ การออกแบบเกียร์อัตโนมัติของ STO ยังเหมาะกับสภาพการจราจรติดขัดในเมืองไทย ช่วยให้เจ้าของรถได้ทั้งความสนุกสุดเหวี่ยงและความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันครับ
Q
Huracán STO มีอะไรพิเศษ
แลมโบร์กินี ฮูราเคน STO คือซูเปอร์คาร์ที่ออกแบบมาสำหรับการขับขี่บนสนามแข่งโดยเฉพาะ สิ่งที่ทำให้มันพิเศษคือการนำเทคโนโลยีจากแผนกแข่งสควาดรา คอร์เซ่ของแลมโบร์กินีโดยตรง มาใช้กับการออกแบบที่เน้นน้ำหนักเบาและอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง STO ย่อมาจาก "Super Trofeo Omologata" ซึ่งหมายความว่านอกจากจะสามารถใช้งานบนถนนทั่วไปได้ตามกฎหมายแล้ว ยังสืบทอด DNA จากรถแข่ง Super Trofeo ของแลมโบร์กินีอีกด้วย ตัวรถใช้คาร์บอนไฟเบอร์อย่างกว้างขวาง ทำให้น้ำหนักลดลงถึง 43 กิโลกรัมเมื่อเทียบกับฮูราเคนรุ่นมาตรฐาน พร้อมทั้งชุดอากาศพลศาสตร์ใหม่ที่รวมถึงสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่และสปลิтเตอร์หน้าสามารถสร้างแรงกดลงได้สูงเมื่อขับด้วยความเร็วสูง ส่วนด้านสมรรถนะ STO ใช้เครื่องยนต์ V10 5.2 ลิตร แบบแอสพิเรชั่นธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุด 640 แรงม้า คู่กับระบบขับเคลื่อนล้อหลังและระบบช่วงล่างที่ปรับแต่งพิเศษสำหรับการแข่ง ทำให้มันแสดงศักยภาพได้อย่างยอดเยี่ยมบนสนามแข่ง สำหรับแฟนๆรถไทย STO ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์สุดแรง แต่ยังสามารถโชว์ความสามารถเต็มที่บนสนามแข่งระดับสูงในไทยอย่างบุรีรัมย์อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิตได้อีกด้วย นอกจากนี้ STO ยังมีระบบเลือกโหมดขับขี่ที่ออกแบบมาสำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะ ทั้งโหมด STO, Trofeo และ Pioggia ที่ปรับแต่งสำหรับสนามแห้ง สนามแข่งสุดโหด และถนนเปียกตามลำดับ การออกแบบนี้ทำให้แม้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยของไทย ผู้ขับก็ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Q
Huracán STO นั้นมีการอัดเทอร์โบหรือไม่?
แลมโบร์กินี ฮูราเคน STO ไม่ได้ใช้ระบบซุปเปอร์ชาร์จ แต่ใช้เครื่องยนต์ V10 5.2 ลิตร แบบแอตโมสเฟียร์ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 640 แรงม้า การออกแบบนี้เน้นการส่งกำลังที่ลื่นไหลในรอบสูงและเสียงเครื่องที่บริสุทธิ์ เหมาะมากกับการขับขี่บนถนนในเมืองและทางเขาที่พบได้บ่อยในไทย ส่วน STO ในฐานะรุ่นแนวแข่งยังติดตั้งชุดแอโรไดนามิกและการออกแบบน้ำหนักเบา เช่น ชุดคาร์บอนไฟเบอร์ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนและการควบคุมในสภาพอากาศร้อน สำหรับแฟนๆรถไทย การขับขี่ STO จะให้ความรู้สึกใกล้เคียงรถแข่ง แต่ก็ยังใช้งานในชีวิตประจำวันได้ เครื่องยนต์แบบแอตโมสเฟียร์ยังมีจุดเด่นในเรื่องค่าบำรุงรักษาที่ถูกกว่ารุ่นเทอร์โบหรือซุปเปอร์ชาร์จ และเหมาะกับสภาพอากาศร้อนของไทย แต่อย่างไรก็ตาม รถซุปเปอร์คาร์แบบนี้ในช่วงฤดูฝนของไทยต้องระวังเป็นพิเศษในเรื่องการควบคุมบนถนนลื่น เพราะระบบขับเคลื่อนล้อหลังและกำลังสูงต้องการทักษะการขับที่ละเอียดอ่อนกว่าในสภาพ路面เปียก
ดูเพิ่มเติม