Q

Audi TT รุ่นไหนทรงพลังที่สุด?

Audi TT รุ่นที่ทรงพลังที่สุดคือ Audi TT RS Coupe ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 5 สูบ เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุดถึง 400 แรงม้า แรงบิดพีค 480 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์ 7 จังหวะ S tronic แบบคลัตช์คู่และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ที่ช่วยให้เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.7 วินาที แสดงความสามารถที่ยอดเยี่ยม สำหรับตลาดไทย รุ่นนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบรถสปอร์ตขนาดกะทัดรัดแต่ทรงพลัง ทั้งการขับขี่ในเมืองอย่างกรุงเทพฯ หรือเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขาที่เชียงใหม่ ก็ให้ความสนุกได้เต็มที่ อีกทั้ง Audi TT RS ยังติดตั้งระบบช่วงล่างสปอร์ตและระบบพวงมาลัยแบบไดนามิก ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการควบคุม ยิ่งไปกว่านั้น แม้อากาศร้อนของไทยอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จบ้าง แต่ระบบระบายความร้อนของ Audi ได้รับการออกแบบมาให้ทำงานได้ดีแม้ในสภาพนี้ ทำให้รถยังคงความเสถียรแม้อุณหภูมิสูง สำหรับคนไทยที่มีงบประมาณพร้อมและต้องการความมันส์ในการขับขี่ TT RS นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากสมรรถนะที่แรงแล้ว ยังคงความประณีตและความหรูหราสไตล์ Audi ไว้อย่างครบถ้วน
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
เครื่องยนต์ของ Audi TT ใช้งานได้นานแค่ไหน?
อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ Audi TT โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 ถึง 300,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาประจำวันและสภาพแวดล้อมในการใช้งาน สำหรับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย แนะนำให้เจ้าของรถให้ความสำคัญกับการดูแลระบบระบายความร้อนและระบบหล่อลื่นเป็นพิเศษ การเปลี่ยนน้ำหล่อเย็นและน้ำมันเครื่องตามกำหนดเวลาจะช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในเมืองไทยที่การจราจรคับคั่งบ่อยครั้ง เครื่องยนต์มักทำงานที่รอบต่ำเป็นเวลานานซึ่งทำให้เกิดการสะสมของคาร์บอนได้ง่าย แนะนำให้ทำความสะอาดระบบเชื้อเพลิงทุก 20,000 กิโลเมตร สำหรับเจ้าของรถที่ชอบท่องเที่ยวแบบขับรถเอง ขณะขับขี่ในพื้นที่ภูเขาของประเทศไทย ควรระวังไม่ให้เครื่องยนต์ทำงานหนักเป็นเวลานานเกินไป การจอดรถให้เครื่องยนต์เย็นลงบ้างเป็นระยะจะช่วยปกป้องเครื่องยนต์ได้ ข้อสำคัญคือต้องใช้อะไหล่แท้ที่ได้มาตรฐานตามที่ผู้ผลิตกำหนด เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ในตลาดไทยมีแบรนด์น้ำมันเครื่องให้เลือกหลายยี่ห้อ แต่ต้องมั่นใจว่าได้มาตรฐาน VW50200 หรือ 50500 หากพบว่าเครื่องยนต์มีเสียงผิดปกติหรือกำลังลดลง ควรนำรถไปตรวจเช็กที่อู่ซ่อมมืออาชีพทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเล็กๆ ลุกลามเป็นอาการใหญ่ นอกจากนี้นิสัยการขับขี่ที่ดี เช่น การเร่งเครื่องอย่างนุ่มนวล หลีกเลี่ยงการหมุนรอบสูงขณะเครื่องเย็น ก็จะช่วยเพิ่มความทนทานให้เครื่องยนต์ได้อย่างเห็นได้ชัด
Q
ถัดจาก Audi TT ควรเลือกซื้อรถยนต์รุ่นไหนดี?
ถ้าคุณกำลังมองหารถแทน Audi TT ในตลาดไทยมีตัวเลือกที่น่าสนใจหลายรุ่นที่ทั้งให้ความสนุกในการขับขี่และเหมาะกับสภาพถนนรวมถึงไลฟ์สไตล์คนไทย ถ้าชอบคูเป้สปอร์ต BMW Z4 หรือ Mercedes SLC ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะให้ประสบการณ์การขับและความหรูหราใกล้เคียงกัน แถมยังเหมาะกับการขับในเมืองไทยอีกด้วย แต่ถ้าอยากได้รถที่ใช้งานได้หลากหลายกว่า Toyota GR86 หรือ Subaru BRZ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะสองรุ่นนี้ขายดีในไทย ราคาไม่แรง แถมยังขับสนุกและเหมาะกับคนชอบแต่งรถสุดๆ ส่วนคนที่ชอบรถไฟฟ้า Tesla Model 3 Performance ก็ตอบโจทย์ด้วยสมรรถนะแรงและเทคโนโลยีล้ำๆ แถมสถานีชาร์จในไทยก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ตลาดไทยยังนิยมรถปิกอัพและ SUV ถ้าต้องการรถที่ขับทั้งในเมืองและลุยทางวิบากบ้าง Ford Ranger Raptor หรือ Toyota Fortuner ก็ใช้ได้ทั้งงานประจำและงานอดิเรก แนะนำว่าก่อนตัดสินใจควรลองขับทุกรุ่นให้แน่ใจว่าเหมาะกับสไตล์ตัวเอง และอย่าลืมว่าอากาศเมืองไทยร้อนมาก ควรตรวจสอบระบบระบายความร้อนและแอร์ให้ดีเป็นพิเศษเวลาซื้อรถ
Q
Audi TT ใช้สายพานหรือโซ่?
Audi TT ใช้ระบบไทม์มิ่งเชนแทนที่จะเป็นสายพาน ซึ่งการออกแบบนี้ให้ความทนทานและประหยัดค่าบำรุงรักษามากกว่า โดยปกติแล้วไทม์มิ่งเชนมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าและสามารถใช้งานไปพร้อมกับเครื่องยนต์ได้ตลอดอายุการใช้งาน ลดความยุ่งยากในการเปลี่ยนตามระยะ ซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย เพราะความร้อนและความชื้นสูงอาจเร่งให้สายพานเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ในตลาดไทย Audi TT เป็นรถสปอร์ตนำเข้าที่ได้รับความนิยม และการออกแบบระบบส่งกำลังแบบเชนยังช่วยลดภาระการดูแลรักษาในระยะยาวให้กับเจ้าของรถ ทำให้ไม่ต้องคอยเปลี่ยนสายพานบ่อยๆ ข้อที่น่าสนใจคือ แม้ว่าระบบเชนอาจจะมีเสียงดังกว่าเล็กน้อย แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้มากแล้ว และระบบเชนยังเหมาะกับความต้องการของเครื่องยนต์สมรรถนะสูงอีกด้วย นี่คือเหตุผลที่แบรนด์หรูหลายแห่งเลือกใช้ระบบเชน สำหรับผู้บริโภคไทย การเลือกรถที่ใช้ระบบเชนหมายถึงประสบการณ์การใช้งานที่สะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะในสภาพการจราจรและสภาพอากาศที่ซับซ้อนของไทย ซึ่งลดความเสี่ยงที่เครื่องยนต์จะเสียหายจากการขาดของสายพานได้
Q
ทำไม Audi ถึงหยุดผลิต TT?
เหตุผลหลักที่ Audi TT ต้องหยุดผลิตนั้นมาจากแนวโน้มตลาดรถยนต์โลกที่เปลี่ยนไป รวมถึงการปรับกลยุทธ์ของแบรนด์ การเปลี่ยนผ่านสู่รถไฟฟ้าและการเติบโตของรถ SUV ทำให้ Audi ต้องทุ่มทรัพยากรไปที่รถรุ่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดมากกว่า แม้ TT จะเป็นรถสปอร์ตคลาสสิกที่มีดีไซน์เลิศหรูและการขับขี่สมรรถนะสูง แต่ยอดขายที่น้อยเกินไปก็ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาต่อไป โดยเฉพาะในตลาดอย่างไทยที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชอบรถ SUV แบบประหยัดหรือรถประหยัดพลังงานมากกว่า การหยุดผลิตของ TT ก็สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่รถสปอร์ตเครื่องยนต์สันดาปกำลังเผชิญทั่วโลก อย่างไรก็ตาม Audi ยืนยันว่า DNA ด้านดีไซน์และเทคโนโลยีของ TT จะยังคงสืบทอดต่อไปในรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ อย่างเช่นซีรีส์ e-tron ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก TT สำหรับแฟนๆรถไทย แม้จะรู้สึกเสียดายที่ TT ต้องยุติการผลิต แต่ในตลาดมือสองก็ยังมีรถสภาพดีให้เลือกมากมาย แถมยังสามารถลุ้นรถสปอร์ตไฟฟ้ารุ่นใหม่จาก Audi ที่จะมาสร้างประสบการณ์ขับขี่แบบใหม่ในอนาคตได้อีกด้วย
Q
Audi TT รุ่นไหนที่จะกลายเป็นรถคลาสสิก?
ในตลาดไทย Audi TT รุ่นแรก (8N 1998-2006) และรุ่นที่สอง (8J 2006-2014) โดยเฉพาะเวอร์ชันสมรรถนะสูงอย่างรุ่น 3.2 VR6 ของเจเนอเรชันแรก รวมถึง TTS และ TT RS น่าจะกลายเป็นคลาสสิกคาร์ที่ทรงคุณค่า ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และสมรรถนะการขับขี่อันยอดเยี่ยมที่ทำให้แฟนรถหลงรัก แถมสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยยังทำให้การดูแลรถเก่าทำได้ยาก รถสภาพดีเวอร์ชันหายากจึงมีค่ามากเป็นพิเศษ ถ้าจะพูดให้ลึกอีกหน่อย วัฒนธรรมการเก็บคลาสสิกคาร์ในไทยเริ่มมาแรง แต่ต้องระวังเรื่องอากาศร้อนชื้นที่ทำลายยางและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แนะนำให้เปลี่ยนซีลยางบ่อยๆ และเก็บรถในที่ป้องกันความชื้น ส่วนเรื่องแต่งรถ Audi TT ก็เป็นที่นิยมในหมู่เด็กเล่นรถไทยเหมือนกัน การอัพเกรดระบบช่วงล่างและระบบไอเสียพอประมาณช่วยเพิ่มความสนุกได้ แต่ต้องอย่าลืมตรวจสอบให้ตรงตามกฎหมายขนส่งทางบกของไทย
Q
Audi TT มีปัญหาอะไรบ้าง?
Audi TT ถือเป็นรถสปอร์ตคลาสสิกที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในตลาดไทย แต่ในการใช้งานระยะยาวอาจเจอกับปัญหาบางอย่างที่พบบ่อย เช่น เกียร์ DSG แบบคลัตช์คู่ที่อาจมีอาการกระตุกหรือแสดงข้อความเตือนร้อนเกินในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย โดยเฉพาะเมื่อขับในเมืองที่ต้องหยุด-เริ่มบ่อย แนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามกำหนดและหลีกเลี่ยงการขับแบบรุนแรง นอกจากนี้สภาพอากาศที่ร้อนและชื้นยังเร่งให้ยางต่างๆ เสื่อมเร็วขึ้น เช่น ยางรองช่วงล่างหรือยางซีลรอบกระจกซันรูฟ เจ้าของรถควรตรวจสอบส่วนเหล่านี้เป็นประจำ ส่วนเครื่องยนต์เทอร์โบของ TT นั้นต้องการการระบายความร้อนที่ดี โดยเฉพาะเมื่อติดอยู่ในรถติดในกรุงเทพฯ ควรสังเกตุดูเข็มวัดอุณหภูมิน้ำเป็นประจำ และควรเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นทุก 2 ปี สำหรับคนที่กำลังมองหารถมือสอง ต้องระวังปัญหาระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น จอ MMI ที่อาจมีอาการแลกหรือค้าง รวมถึงควรตรวจสอบพวงมาลัยในรุ่นพวงมาลัยขวาว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่ แม้ TT จะเป็นรถนำเข้า แต่ศูนย์บริการ Audi ในไทยสามารถจัดหาอะไหล่แท้และให้การสนับสนุนได้ ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาอาจสูงกว่ารถที่ผลิตในประเทศเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับสมเหตุสมผล สำหรับคนที่ชอบความสนุกในการขับขี่สามารถเลือก TT ได้อย่างมั่นใจ แค่ต้องอย่าลืมดูแลรักษาให้ตรงเวลาก็พอ
Q
Audi TT เป็นรถที่ดูแลรักษาง่ายหรือไม่?
Audi TT ในฐานะรถคูเป้สปอร์ตที่เน้นสไตล์การขับขี่สมรรถนะสูง ในตลาดประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาอยู่ในระดับกลางค่อนข้างสูง ค่าบำรุงรักษาจะแพงกว่ารถครอบครัวทั่วไปแต่ถูกกว่ารถสปอร์ตสมรรถนะสูงรุ่นเดียวกัน สาเหตุหลักมาจากระบบเครื่องยนต์เทอร์โบและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ที่ต้องการการดูแลเฉพาะทาง ในสภาพอากาศร้อนของไทยแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กิโลเมตรหรือทุก 6 เดือน พร้อมทั้งควรตรวจสอบระบบระบายความร้อนและสภาพน้ำมันเกียร์เป็นประจำ ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่จะมีศูนย์บริการออดี้ที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการซึ่งสามารถให้บริการอะไหล่แท้และการซ่อมมืออาชีพได้ แต่ในต่างจังหวัดอาจต้องเดินทางไปที่ศูนย์บริการ 4S ในเมืองหลัก สิ่งที่ควรทราบคือเมื่อเลยระยะประกันไปแล้ว ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่แท้จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามในตลาดไทยก็มีอู่ซ่อมมือสามที่เชื่อถือได้และมีคุณภาพซึ่งสามารถให้ทางเลือกในการบำรุงรักษาที่คุ้มค่ากว่า สำหรับเจ้าของที่ต้องการความสนุกในการขับขี่แต่ยังคงอยากควบคุมค่าใช้จ่าย แนะนำให้เลือกรุ่น 2.0TFSI ขับเคลื่อนล้อหน้าแทนรุ่น TTS ที่มีสมรรถนะสูงกว่า จะได้ทั้งดีไซน์คลาสสิกของ TT และลดค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาประจำวันลง นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังมีการเก็บภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ในอัตราที่ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นปัจจัยต้นทุนที่ต้องคำนึงถึงในการใช้งานระยะยาวอีกด้วย
Q
Audi TT ทำมาจากอะลูมิเนียมหรือไม่?
โครงสร้างตัวถังของ Audi TT นั้นมีการใช้วัสดุอลูมิเนียมจำนวนมาก โดยเฉพาะในรุ่นแรก (1998-2006) และรุ่นที่สอง (2006-2014) Audi ใช้เทคโนโลยีโครงสร้างอลูมิเนียมที่เรียกว่า "ASF" (Audi Space Frame) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างอลูมิเนียมความแข็งแรงสูงกับโหนดหล่อที่แม่นยำ ช่วยลดน้ำหนักตัวถังในขณะเดียวกันก็เพิ่มความแข็งแกร่ง เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนของไทยที่ต้องการความต้านทานการกัดกร่อนของตัวถัง อย่างไรก็ตามในรุ่นที่สาม (2014 เป็นต้นมา) เพื่อความสมดุลระหว่างต้นทุนและสมรรถนะ จึงมีการเปลี่ยนไปใช้เหล็กความแข็งแรงสูงในบางส่วนของตัวถัง แต่ยังคงใช้อลูมิเนียมในส่วนสำคัญเช่นประตูและฝากระโปรงหน้า สำหรับตลาดไทย การซ่อมแซมส่วนอลูมิเนียมของ Audi TT จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง จึงแนะนำให้เจ้าของรถเลือกใช้บริการศูนย์บริการที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ เช่น Audi โชว์รูมในกรุงเทพฯ ที่มีเครื่องมือซ่อมอลูมิเนียมตามมาตรฐานโรงงาน จริงๆ แล้วตัวถังอลูมิเนียมเหมาะกับประเทศไทยมากเพราะไม่เป็นสนิมเหมือนเหล็ก โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชายฝั่งอย่างพัทยาหรือภูเก็ตที่มีความชื้นสูง แต่ต้องระวังเรื่องเทคนิคการซ่อมอลูมิเนียมที่แตกต่างจากเหล็กทั่วไป ต้องการความชำนาญสูงกว่า
Q
ทำไม Audi TT ถึงได้ชื่อว่า "TT"?
ชื่อของ Audi TT มาจากคำย่อของการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ "Tourist Trophy" หรือที่เรียกกันว่า "ทัวริสต์ โทรฟี" ซึ่งเป็นการแข่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องความท้าทายและมีประวัติศาสตร์ยาวนานบนเกาะแมนของอังกฤษ การที่ Audi เลือกใช้ชื่อนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติกับการแข่งขันดังกล่าว และยังสะท้อนถึงดีเอ็นเอด้านสปอร์ตของรถรุ่น TT ด้วย ตอนที่รถคอนเซปต์ TT เปิดตัวครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show ปี 1995 ด้วยดีไซน์เรียบกลมและสปิริตสปอร์ตที่ดึงดูดความสนใจได้มากมาย พอถึงรุ่นผลิตจริงก็ยังคงดีไซน์นี้ไว้จนกลายเป็นรถที่ดูออกทันทีว่าเป็น Audi สำหรับตลาดไทยแล้ว Audi TT เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่และคอรถด้วยขนาดตัวที่กระทัดรัดเหมาะกับสภาพถนนในกรุงเทพฯ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ที่ช่วยให้ขับลื่นไหลแม้ในหน้าฝน TT พัฒนามาแล้วสามรุ่น แต่ละรุ่นล้วนอัพเกรดทั้งดีไซน์และเทคโนโลยี เช่น รุ่นล่าสุดอย่าง TT RS ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.5T ห้าสูบให้กำลังสูงถึง 400 แรงม้า เร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.7 วินาที แสดงให้เห็นความสามารถของ Audi ในวงการรถสปอร์ต สำหรับคนไทยแล้ว TT ไม่ใช่แค่รถสปอร์ตสไตล์โดดเด่น แต่ยังเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณสปอร์ตจาก Audi ด้วย
Q
อะไหล่ของ Audi TT มีราคาแพงไหม?
Audi TT ในฐานะรถสปอร์ตนำเข้าเฉพาะกลุ่มในตลาดไทย ชิ้นส่วนอะไหล่ย่อมมีราคาสูงกว่ารถครอบครัวทั่วไปอยู่แล้ว ซึ่งเกิดจาก 3 ปัจจัยหลักๆ ก่อนอื่น TT ใช้ชิ้นส่วนสปอร์ตเฉพาะของ Audi เป็นจำนวนมาก (เช่นชิ้นส่วนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ชมสปริงสปอร์ต ฯลฯ) ที่มีการออกแบบซับซ้อนกว่ารถทั่วไป ประการต่อมา ผู้จัดจำหน่ายในไทยมีสต็อกอะไหล่จำกัด บางส่วนต้องสั่งตรงจากโรงงานในเยอรมนี ทำให้มีค่าใช้จ่ายด้านลอจิสติกส์และระยะเวลารอนานขึ้น และที่สำคัญ ไทยมีการเก็บภาษีนำเข้าอะไหล่รถยนต์ในอัตราค่อนข้างสูง (ประมาณ 30%-80%) ถ้าพูดเป็นตัวเลขชัดเจน การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรองอาจอยู่ที่ 5,000-7,000 บาท แต่ชิ้นส่วนสำคัญอย่างชุดไฟหน้าทั้งคู่ราคาอาจพุ่งไปถึง 1.5 แสนบาทขึ้นไป สำหรับเจ้าของ TT ในไทยที่อยากประหยัดค่าใช้จ่าย แนะนำ 3 วิธี หนึ่ง-เลือกใช้อะไหล่มือสองที่ผ่านการรับรองจาก Audi (มีร้านเฉพาะทางในตลาดนัดจตุจักร) สอง-ซื้อแพ็คเกจบริการจากศูนย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อรับส่วนลด สาม-ทำประกันขยายความคุ้มครองจากศูนย์เพื่อครอบคลุมค่าการซ่อมบำรุงสูงๆ อีกเรื่องที่ต้องเน้นคือสภาพอากาศร้อนๆ ของไทยส่งผลต่ออายุการใช้งานของส่วนยาง (เช่นซีลประตู) และระบบระบายความร้อนค่อนข้างมาก ควรตรวจเช็คถี่ขึ้นเป็นทุก 1 หมื่นกิโลเมตร การบำรุงรักษาเชิงป้องกันแบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงที่จะต้องจ่ายค่าเปลี่ยนอะไหล่แพงๆ ในระยะยาว
  • รถยอดนิยม

  • รุ่นปีรถยนต์

  • เปรียบเทียบรถยนต์

  • รูปภาพรถ

ข้อดี

มาพร้อมกับเครื่องยนต์ DOHC 4 ลูกซู่ 2.0 ลิตรรุ่นใช้วิธีการเทอร์โบอัดน้ำมันซึ่งทำให้ทุ่มแรงดันสูง และระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 ความเร็วที่พื้นผิวสัมผัสอย่างละเอียด ผลิตกำลังสูงสุดอยู่ที่ 230 แรงม้า มีพลังงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro AWD ซึ่งมีประสิทธิภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม สามารถปรับตัวให้เหมาะกับการขับขี่แบบใช้คุณภาพที่หลากหลาย
มีเส้นทางการขับขี่ที่ชัดเจนดี ตำแหน่งขับขี่ดี สามารถปรับเช้านั่งด้วยพลังไฟฟ้าได้
ไม่จำเป็นต้องกังวลเมื่ออยู่ในสภาพแดดร้อนด้วยระบบ Virtual Cockpit ที่มีแผนภูมิความละเอียดสูง
มีเทคโนโลยีช่วยการขับขี่เช่น Audi Side Assist

ข้อเสีย

ที่นั่งด้านหลังแคบ พื้นที่เล็กมาก
ทั้งหมดเป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ไม่มีเกียร์ธรรมดา ผู้ใช้ที่ชอบรถยนต์อาจจะไม่ค่อยพอใจ
ไม่ค่อยเหมาะสมกับการขับขี่ในเมือง มากกว่านั้นเหมาะสมกับการขับขี่ในวันหยุดหรือการเดินทางระยะไกล
การแสดงผลในการเลี้ยวไม่ดีเพียงพอ เนื่องจากท้ายรถสั้น การเลี้ยวและการขับขี่อาจจะเหวี่ยงบ้าง
ขาดระบบความปลอดภัยบางอย่าง เช่นระบบช่วยเหลือการเบรกอัตโนมัติ

Q&A ล่าสุด

Q
"รถ M3 ปี 2024 เป็นรถที่ดีสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันไหม?"
BMW M3 ปี 2024 ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในฐานะรถยนต์ใช้งานประจำวัน เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 6 สูบเรียงขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังเหลือเฟือ ขณะที่ระบบช่วงล่างที่ปรับแต่งมาอย่างดีช่วยรักษาความสบายแม้ในสภาพการจราจรติดขัดของกรุงเทพฯ เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้การทำงานที่ราบรื่นกว่ารุ่นก่อนหน้า ระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟมาตรฐานช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังบ่อยครั้งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถขนาด 430 ลิตรเพียงพอสำหรับการซื้อของของครอบครัวหรือการเดินทางระยะสั้น และระบบ iDrive 8.5 รองรับภาษาไทยและระบบนำทางในท้องถิ่นเพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ แม้ว่า M3 จะมีการควบคุมที่ยอดเยี่ยม แต่ขอแนะนำให้เลือกใช้รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive เพื่อความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้นบนถนนลื่นในช่วงฤดูฝน นอกจากนี้ รถคันนี้ยังได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษให้เหมาะกับน้ำมันเบนซิน 95 ออกเทน ซึ่งเหมาะสมกับสภาพน้ำมันในท้องถิ่นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยของรถคันนี้ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉลี่ยประมาณ 11-13 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในสภาพการขับขี่ในเมือง ซึ่งถือว่าประหยัดน้ำมันมากสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูง เครือข่ายบริการหลังการขายครอบคลุมเมืองใหญ่ๆ วงจรการจัดหาอะไหล่ค่อนข้างสมเหตุสมผล และต้นทุนการใช้งานในระยะยาวสามารถควบคุมได้
Q
เครื่องยนต์ใน BMW M3 ปี 2024 คืออะไร?
BMW M3 ปี 2024 ติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ รหัส S58 เครื่องยนต์สมรรถนะสูงนี้ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ทำให้มีกำลังสูงสุด 473 แรงม้าในรุ่นมาตรฐาน และ 503 แรงม้าในรุ่น Competition จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ M Steptronic 8 สปีด หรือเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (ขึ้นอยู่กับการกำหนดค่า) สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.9 วินาที (รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังเกียร์ธรรมดา) ถึง 3.5 วินาที (รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ Competition) เครื่องยนต์ใช้เทคโนโลยีลดน้ำหนัก เช่น เพลาข้อเหวี่ยงแบบตีขึ้นรูป และฝาสูบพิมพ์ 3 มิติ และติดตั้งระบบระบายความร้อนระดับสนามแข่ง ทำให้เหมาะสำหรับการขับขี่ที่มีความเข้มข้นสูงในสภาพอากาศร้อน เป็นที่น่าสังเกตว่าเครื่องยนต์ 558 นั้นยังใช้ในรุ่นต่างๆ เช่น X3M/X4M ด้วย แต่การปรับแต่งของ M3 เน้นการส่งกำลังที่ราบรื่นและการตอบสนองของรอบเครื่องยนต์ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับถนนบนภูเขาที่คดเคี้ยวและการขับขี่ในสนามแข่งระยะสั้นซึ่งพบได้ทั่วไปในประเทศไทย สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เราขอแนะนำรุ่น M xDrive ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อรับมือกับถนนที่ลื่นในช่วงฤดูฝน ศูนย์บริการ BMW กรุงเทพฯ ยังมีแพ็คเกจการบำรุงรักษารถยนต์สมรรถนะสูงแบบพิเศษ รวมถึงน้ำมันเครื่องและน้ำยาหล่อเย็นเกรดพิเศษสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงอีกด้วย
Q
"ราคา 2024 M3 เท่าไหร่?"
ราคาของ BMW M3 ปี 2024 แตกต่างกันไปตามรุ่นย่อย รุ่นพื้นฐานมีราคาประมาณ 4.5 ล้านบาท ในขณะที่รุ่นสมรรถนะสูง Competition xDrive อาจมีราคาสูงกว่า 5 ล้านบาท ราคาที่แน่นอนขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เสริมและส่วนลดจากดีลเลอร์ รถคันนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลัง 480 แรงม้าในรุ่นมาตรฐาน และ 510 แรงม้าในรุ่น Competition จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ในตลาดท้องถิ่น คู่แข่งหลัก ได้แก่ Mercedes-AMG C63 และ Audi RS5 แต่ M3 มีชื่อเสียงในด้านระบบขับเคลื่อนล้อหลังและการควบคุมที่แม่นยำ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบความสนุกสนานในการขับขี่ สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ นอกเหนือจากราคารถแล้ว ควรพิจารณาภาษีจดทะเบียนเริ่มต้น ประกันภัย และค่าบำรุงรักษาด้วย เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ หากงบประมาณจำกัด ตลาดรถยนต์มือสองก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากมูลค่าการขายต่อของ M3 ค่อนข้างคงที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดี
Q
2024 M3 CS มีกำลังม้ากี่ตัว?
รถ BMW M3 CS รุ่นปี 2024 นี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียง เทอร์โบชาร์จคู่ ที่ได้รับการอัพเกรดแล้ว สามารถทำกำลังสูงสุดได้ถึง 550 แรงม้า และแรงบิดพีค 650 นิวตันเมตร ซึ่งเพิ่มขึ้น 40 แรงม้าเมื่อเทียบกับรุ่นมาตรฐาน M3 เมื่อทำงานคู่กับเกียร์ 8 สปีด M Steptronic และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive ทำให้เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้เร็วเพียง 3.4 วินาที แสดงศักยภาพที่ดุดันมากๆ รุ่นนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบรถสปอร์ตสมรรถนะสูง โดยเฉพาะเวลาขับบนทางด่วนหรือสนามแข่งแถวกรุงเทพฯ จะรู้สึกถึงความแรงเต็มๆ นอกจากนี้ M3 CS ยังมีส่วนประกอบลดน้ำหนักพิเศษ เช่น หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์และระบบไอเสีย ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่อีกด้วย ถ้าสนใจรถสปอร์ตแรงๆ แบบนี้ ลองไปดูรุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกันอย่าง AMG C 63 S หรือ Audi RS 5 ก็ได้ แต่ถ้าพูดถึงสมรรถนะบนสนามแข่งและความสนุกในการขับแล้ว M3 CS นี่ถือว่ามีจุดเด่นที่แตกต่างชัดเจนเลยล่ะ
Q
ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสำหรับ M3 ปี 2024 คืออะไร?
สำหรับการดูแลรักษารถรุ่น M3 ปี 2024 ตามประสบการณ์จากรถสมรรถนะสูงระดับเดียวกัน ค่าใช้จ่ายพื้นฐานเช่นเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่อง ทุก 10,000 กิโลเมตรหรือทุก 12 เดือน จะอยู่ที่ประมาณ 8,000-12,000 บาท แต่ถ้าต้องเปลี่ยนของใช้อย่างน้ำมันเบรกหรือกรองอากาศ ค่าใช้จ่ายต่อครั้งอาจสูงถึง 15,000-20,000 บาท ควรระวังเรื่องการสึกหรอของยางและระบบเบรกที่มักเกิดกับรถสมรรถนะสูง แนะนำให้ตรวจสอบผ้าเบรกทุก 20,000-30,000 กิโลเมตร ส่วนยางประสิทธิภาพสูงของทางโรงงาน ราคาเริ่มที่เส้นละ 15,000 บาทขึ้นไป ถ้าใช้รถในไทยต้องใส่ใจเป็นพิเศษกับสภาพอากาศร้อนชื้นที่อาจกระทบระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ อาจต้องเปลี่ยนน้ำมันหล่อเย็นบ่อยขึ้นทุก 2 ปี และควรเลือกศูนย์บริการที่ได้รับการรับรองจากผู้ผลิตเพราะพวกเขารู้จักข้อกำหนดเฉพาะของรถรุ่นนี้ดี เช่น สเปคน้ำมันเกียร์และน้ำมันดิฟเฟอเรนเชียล ถ้าต้องขับบ่อยในสภาพรถติด อาจต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเร็วขึ้นทุก 8,000 กิโลเมตรเพื่อยืดอายุเครื่องยนต์เทอร์โบให้ใช้งานได้นานขึ้น
ดูเพิ่มเติม