Q&A ล่าสุด

Q
ยางของ Neta X มีขนาดและสเปกยังไงบ้าง?
รถ Neta X มีขนาดยางหน้าขนาด 225/60 R18 และยางหลังก็ขนาด 225/60 R18 เหมือนกัน โดยเลข "225" หมายถึงความกว้างของหน้ายางที่ 225 มิลลิเมตร ยิ่งตัวเลขมากแรงยึดเกาะก็จะดีขึ้น แต่ก็อาจทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น ส่วน "60" คืออัตราส่วนความสูงของแก้มยางต่อความกว้างหน้ายางในหน่วยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลขนี้ให้ความนุ่มสบายขณะขับขี่ดี ส่วนตัวอักษร "R" หมายถึงยางเรเดียล และเลข "18" คือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อที่ 18 นิ้ว สเปคยางเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาให้เหมาะกับรถอย่างดี เพื่อให้มั่นใจในเรื่องความมั่นคงในการขับขี่ การควบคุม และความสบาย รวมถึงประสิทธิภาพอื่นๆ หากต้องการเปลี่ยนยางในภายหลัง ต้องเลือกขนาดยางตามสเปคนี้เท่านั้น ห้ามเปลี่ยนเองเพราะอาจทำให้ตรวจสภาพรถไม่ผ่านหรือเกิดอันตรายได้
Q
พื้นที่เก็บของหรือขนาดห้องเก็บสัมภาระของ Neta X มีเท่าไหร่?
Neta X มีความจุห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายอยู่ที่ 508 ลิตร ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงการเดินทางระยะสั้นของครอบครัว เช่น สามารถใส่ถุงช้อปปิ้งได้หลายใบ หรือจัดเก็บกระเป๋าเดินทางใบเล็ก กระเป๋าเป้ และของใช้จำเป็นในการท่องเที่ยวได้อย่างสะดวก การออกแบบห้องเก็บของยังมีความเป็นระเบียบ ทำให้จัดวางสัมภาระได้ง่ายและใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า ความจุระดับนี้นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกัน และช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานทั้งในชีวิตประจำวันและการเดินทางของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี
Q
ขนาดตัวถังของ Neta X เท่าไหร่?
Neta X เป็นรถ SUV ไฟฟ้าขนาดคอมแพกต์ โดยมีขนาดตัวถังยาว 4,619 มิลลิเมตร กว้าง 1,860 มิลลิเมตร และสูง 1,628 มิลลิเมตร พร้อมระยะฐานล้อ 2,770 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ขับขี่ได้คล่องตัวบนถนนในเมืองของไทย ขณะเดียวกันก็ยังมอบพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง เหมาะสำหรับการเดินทางทั้งในชีวิตประจำวันและการใช้งานในครอบครัว ระยะความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) ของ Neta X อยู่ที่ 170 มิลลิเมตร ช่วยให้รองรับถนนที่ไม่ได้ลาดยางหรือถนนขรุขระในบางพื้นที่ของไทยได้ดี พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังสามารถขยายได้ถึง 1,388 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลง รองรับการใช้งานทั้งการซื้อของหรือเดินทางระยะสั้นได้อย่างสะดวก ในสภาพอากาศร้อนของประเทศไทย ระบบควบคุมอุณหภูมิของแบตเตอรี่ใน Neta X มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของแบตเตอรี่ ช่วยให้ใช้งานได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เมื่อรวมกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จไฟฟ้าที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน สำหรับการใช้งานในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรติดขัดอย่างกรุงเทพฯ ขนาดตัวรถที่กะทัดรัดของ Neta X ประกอบกับแรงบิดที่ตอบสนองทันใจของรถยนต์ไฟฟ้า ช่วยให้การขับขี่ในสภาพจราจรที่ต้องหยุดและเคลื่อนตัวบ่อยครั้งเป็นไปอย่างคล่องตัว นอกจากนี้ ระบบชาร์จพลังงานกลับ (Regenerative Braking) ยังช่วยเพิ่มระยะทางวิ่งต่อการชาร์จอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ Neta X เป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทย
Q
ค่าเบี้ยประกันของ Neta X ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่?
ค่าเบี้ยประกันสำหรับรถ Neta X ในประเทศไทยจะแตกต่างกันไปตามรุ่นรถ ราคาซื้อ แผนประกันที่เลือก และนโยบายของบริษัทประกัน โดยทั่วไปประกันรถในไทยแบ่งเป็นประกันชั้น 1 (ประกันเต็ม) และประกันชั้น 2 (ประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอก) สำหรับประกันเต็มจะมีค่าเบี้ยประมาณ 3%-5% ของราคารถใหม่ สมมติว่ารุ่นเริ่มต้นของ Neta X ราคาประมาณ 1 ล้านบาท ค่าเบี้ยประกันเต็มอาจอยู่ที่ 30,000-50,000 บาทต่อปี ส่วนประกันชั้น 2 จะถูกกว่า แนะนำให้ตรวจสอบราคาที่แน่นอนผ่านเว็บไซต์บริษัทประกันชั้นนำในไทยเช่น วิริยะ ธรรมภรณ์ หรือ MSIG โดยกรอกข้อมูลรถของคุณเพื่อขอใบเสนอราคา ปัจจุบันประกันรถไฟฟ้าในไทยมีความคุ้มครองเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า บางบริษัทอาจมีประกันกรณีเกิดเหตุระหว่างชาร์จไฟด้วย ควรตรวจสอบเงื่อนไขว่าครอบคลุมเรื่องเหล่านี้หรือไม่ นอกจากนี้กฎหมายไทยบังคับให้รถทุกคันต้องมีประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (ป.ร.บ.) เป็นอย่างน้อย ซึ่งมีความคุ้มครองขั้นต่ำ 100,000 บาทต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต่อครั้ง เจ้าของรถยังสามารถเพิ่มความคุ้มครองการโจรกรรมหรือภัยธรรมชาติได้ตามต้องการ ค่าเบี้ยประกันยังได้รับผลจากอายุผู้ขับขี่ ประวัติการขับขี่ และสถานที่จอดรถ หากจอดในพื้นที่เสี่ยงเช่นกรุงเทพฯ อาจมีค่าเบี้ยเพิ่มขึ้น 10%-15%
Q
Neta X หนักเท่าไหร่?
รถ Neta X มีหลายรุ่นด้วยกัน โดยรุ่น Neta X Comfort 2024 มีน้ำหนักรถอยู่ที่ 1,745 กิโลกรัม ส่วนรุ่น Neta X Smart 2024 น้ำหนักจะมากกว่าคือ 1,815 กิโลกรัม น้ำหนักรถนี่แหละที่มีผลต่อประสิทธิภาพการขับขี่หลายด้านเลย เช่นเรื่องความเร็วในการเร่ง ยิ่งรถหนักการเร่งก็จะช้าลง หรืออย่างการเบรกรถ ยิ่งรถหนักแรงเฉื่อยก็มากขึ้น ทำให้ต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถมากขึ้นกว่าเดิม แถมน้ำหนักรถยังส่งผลต่อการกินพลังงานด้วย รถที่หนักกว่าย่อมต้องการพลังงานมากขึ้นในการขับเคลื่อน ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าเป็นธรรมดา
ดูเพิ่มเติม