GAC AION Hyptec HT Premium 2024

สำหรับ Kia EV5 รถอีวีเอสยูวีที่ออกแบบมาสำหรับตลาดโลก เมื่อนำมาใช้ในประเทศไทยอาจมีบางจุดที่ควรให้ความสนใจ โดยเฉพาะสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยที่อาจส่งผลให้ระยะทางขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งลดลงเล็กน้อยจากค่ามาตรฐาน แนะนำให้เลือกรุ่นที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิแบตเตอรี่เพื่อประสิทธิภาพที่เสถียรกว่า ส่วนการชาร์จเร็วในไทยอาจทำความเร็วได้ไม่เต็มที่ในบางจุดชาร์จเก่า ซึ่งเป็นเรื่องปกติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่โครงสร้างพื้นฐานอาจยังไม่รองรับเต็มที่ ไม่ใช่ปัญหาของตัวรถ ส่วนระบบสั่งการด้วยเสียงในภาษาไทยอาจทำงานได้ไม่ละเอียดเท่าภาษาอังกฤษ แต่สามารถปรับปรุงได้ผ่านการอัปเดตระบบแบบ OTA แม้ระยะห่างจากพื้นดินจะเหมาะกับถนนในเมือง แต่หากต้องขับบนถนนลูกรังในชนบทควรเพิ่มความระมัดระวัง นี่เป็นเรื่องปกติของรถอีวีในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ดี Kia EV5 ให้บริการรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปีในตลาดไทย ซึ่งช่วยลดความกังวลในการใช้งานระยะยาว ก่อนตัดสินใจซื้อแนะนำให้ทดสอบระบบแอร์ในสภาพอากาศร้อนจัดและความลื่นไหลของการเปลี่ยนภาษาบนหน้าจอระบบ เพราะรายละเอียดเหล่านี้สำคัญมากต่อประสบการณ์การใช้งานจริงของคนไทย

เวลาชาร์จรถ NETA V ในประเทศไทยเมื่อใช้ไฟฟ้าที่บ้านจะขึ้นอยู่กับความจุแบตเตอรี่และกำลังไฟเป็นหลัก แบตเตอรี่ของ NETA V มีความจุประมาณ 38.54kWh หากใช้เครื่องชาร์จที่บ้านแบบเฟสเดียว 220V/32A ซึ่งพบได้ทั่วไปในประเทศไทย (กำลังไฟประมาณ 7kW) โดยทฤษฎีแล้วการชาร์จจาก 0% ถึง 100% จะใช้เวลาประมาณ 5.5 ถึง 6 ชั่วโมง เวลาจริงอาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับสภาพแบตเตอรี่ อุณหภูมิแวดล้อมและประสิทธิภาพการชาร์จ แม้ว่าแรงดันไฟฟ้าในบ้านที่ไทยจะค่อนข้างเสถียร แต่แนะนำให้ติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จเฉพาะเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ นอกจากนี้สภาพอากาศร้อนในประเทศไทยอาจส่งผลต่อความเร็วการชาร์จเล็กน้อย จึงแนะนำให้ชาร์จในช่วงเช้าหรือเย็นที่อุณหภูมิต่ำเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด NETA V รองรับการชาร์จหลายรูปแบบ นอกจากการชาร์จที่บ้านแล้ว ประเทศไทยยังกำลังพัฒนาระบบชาร์จเร็วสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ในโหมดชาร์จเร็วสามารถชาร์จได้ถึง 80% ในเวลาประมาณ 30 นาที เหมาะสำหรับการเดินทางไกล เจ้าของรถสามารถเลือกวิธีการชาร์จตามความสะดวกของการใช้งานประจำวัน การชาร์จที่บ้านเหมาะสำหรับการชาร์จตอนกลางคืนขณะจอดรถ เพราะประหยัดค่าใช้จ่ายและเป็นมิตรกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่มากกว่า

รถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เป็น SUV ขนาดกลางที่พัฒนามาจากแพลตฟอร์มของรถกระบะโตโยต้า ฮิลักซ์ โดยใช้โครงสร้างตัวถังแบบแยกช่วงช่าง (Body-on-Frame) รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2004 ส่วนรุ่นที่สองออกมาในปี 2015 และมีการรีเฟรชในปี 2020 รุ่นแรกนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยวิศวกรไทยและญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยเน้นขายในกลุ่มตลาดอาเซียนเป็นหลัก แต่ก็วางจำหน่ายในอเมริกาใต้และแอฟริกาด้วย สำหรับตลาดไทย ฟอร์จูนเนอร์มีให้เลือก 3 รุ่นหลักคือ ฟอร์จูนเนอร์ ลีดเดอร์, ฟอร์จูนเนอร์ เลเจ็นเดอร์ และฟอร์จูนเนอร์ จีอาร์ สปอร์ต รุ่นปี 2024 นี้มีราคาอยู่ระหว่าง 1,375,000 ถึง 1,939,000 บาท ด้านดีไซน์ออกแนวโมเดิร์นแต่ยังคงความแข็งแรง ทุกรุ่นมาพร้อมกับอุปกรณ์ครบครัน ทั้งระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย ระบบตรวจสอบความดันลมยาง จอแสดงผลมัลติมีเดียขนาดใหญ่ บางรุ่นยังมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อีกด้วย ในส่วนของเครื่องยนต์ มีทั้งแบบ 2.4L และ 2.8L เทอร์โบดีเซล (ให้เลือกทั้งแบบกำลังสูงและกำลังต่ำ) เป็นรถที่ออฟโรดได้ดี มีพื้นที่ใช้งานสะดวกสบาย เหมาะกับทุกความต้องการ ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและการเดินทางผจญภัย

ความจุถังน้ำมันของ BMW X5 จะแตกต่างกันไปตามรุ่นและปีที่ผลิต สำหรับรุ่นปัจจุบันที่วางขายในประเทศไทยซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 (G05) จะมีความจุถังน้ำมันประมาณ 80 ลิตร (ประมาณ 21.1 แกลลอนสหรัฐ) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานทั่วไปในกลุ่มรถ SUV หรูระดับเดียวกัน ทำให้เหมาะสำหรับการเดินทางไกล เช่น การขับจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ที่ระยะทางประมาณ 700 กิโลเมตร โดยไม่ต้องเติมน้ำมันบ่อยๆ สำหรับเจ้าของรถในประเทศไทยควรทราบว่า BMW X5 ที่จำหน่ายในไทยมีทั้งแบบเบนซิน (เช่น xDrive40i) และแบบดีเซล (เช่น xDrive30d) ซึ่งรุ่นดีเซลจะประหยัดน้ำมันมากกว่าและวิ่งได้ไกลกว่าในถังเดียว ในสภาพอากาศร้อนของประเทศไทย แนะนำให้ตรวจสอบความแน่นหนาของถังน้ำมันและระบบเชื้อเพลิงเป็นประจำ เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำมันหรือการเสื่อมสภาพของยางเนื่องจากความร้อน ส่วนน้ำมันที่ปั๊มในประเทศไทยจะมีทั้งเบนซิน 91/95 และดีเซล B7/B20 การเลือกใช้เบนซิน 95 ขึ้นไปตามที่ BMW แนะนำจะช่วยให้เครื่องยนต์ TwinPower Turbo ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับคนไทยที่กำลังคิดจะซื้อ X5 นอกจากความจุถังน้ำมันแล้ว ยังควรสนใจเรื่องสัดส่วนน้ำหนัก 50:50 และระบบช่วงล่างปรับได้ซึ่งเป็นมาตรฐานของรถรุ่นนี้ เพราะจะช่วยให้การขับขี่บนเส้นทางภูเขาอย่างเส้นทางเชียงใหม่-ปายมีความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น

รถฮอนด้า CR-V รุ่นปี 2020 ใช้ระบบไทม์มิ่งแบบโซ่แทนที่จะเป็นสายพาน ซึ่งการออกแบบนี้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนและมีฝุ่นของประเทศไทยเพราะทนทานกว่า โซ่ไทม์มิ่งโดยทั่วไปสามารถใช้งานไปพร้อมกับเครื่องยนต์ได้ตลอดอายุการใช้งาน ไม่เหมือนสายพานที่ต้องเปลี่ยนตามระยะ ทำให้สะดวกกว่า แต่แนะนำให้เจ้าของรถในไทยตรวจสอบความตึงของโซ่เป็นประจำและปฏิบัติตามระยะตรวจเช็คที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ที่ประมาณ 100,000 กิโลเมตร ข้อควรระวังคือแม้โซ่จะมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า แต่หากมีเสียงผิดปกติหรือไฟเตือนเครื่องยนต์ขึ้นให้รีบนำไปตรวจเช็คทันที สำหรับการใช้รถในไทยประจำวัน การรักษาความสะอาดของน้ำมันเครื่องและความดันน้ำมันที่เสถียรสำคัญมากต่ออายุการใช้งานของโซ่ เนื่องจากไทยร้อนตลอดปี แนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์เต็มสูตรที่ได้มาตรฐานฮอนด้าและเปลี่ยนตามคู่มือการดูแลรักษาอย่างเคร่งครัด ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันระบบไทม์มิ่งแต่ยังยืดอายุเครื่องยนต์โดยรวมด้วย สำหรับเจ้าของรถที่ขับในเส้นทางติดขัดเช่นในกรุงเทพฯบ่อยๆ ควรระวังปัญหาน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพจากการใช้งานรอบต่ำเป็นเวลานานซึ่งอาจทำให้เกิดสเลิปสะสมได้

หากเปรียบเทียบขนาดตัวถังของ Mercedes-Benz CLE กับ E-Class รุ่นฐานล้อปกติ จะพบว่า CLE มีขนาดเล็กกว่าในทุกมิติ โดย CLE มีความยาว 4,850 มม. ขณะที่ E-Class ฐานล้อปกติยาว 4,949 มม. ความกว้างของ CLE อยู่ที่ 1,860 มม. เทียบกับ 1,880 มม. ของ E-Class ส่วนความสูง 1,428 มม. ของ CLE ก็ต่ำกว่า 1,468 มม. ของ E-Class เช่นเดียวกับระยะฐานล้อ 2,865 มม. ซึ่งสั้นกว่า E-Class ที่ยาว 2,961 มม. และเมื่อเทียบกับ E-Class รุ่นฐานล้อยาว CLE ก็ยิ่งเล็กลงในทุกด้านอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม หากนำไปเปรียบเทียบกับ E-Class Coupe จะเห็นภาพที่ต่างออกไป CLE มีความยาว 4,850 มม. ซึ่งยาวกว่า E-Class Coupe ที่ 4,846 มม. ส่วนความกว้างเท่ากันที่ 1,860 มม. ความสูงของ CLE อยู่ที่ 1,428 มม. ต่ำกว่า E-Class Coupe ที่ 1,434 มม. และระยะฐานล้อของ CLE (2,865 มม.) ก็สั้นกว่า E-Class Coupe (2,873 มม.) เล็กน้อย ดังนั้น จึงไม่สามารถสรุปได้แบบชัดเจนว่า CLE มีขนาด “เล็กกว่า” E-Class เสมอไป เพราะผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับว่าเปรียบเทียบกับรุ่นใดของ E-Class

รถยนต์ไฟฟ้า Xpeng X9 ในรุ่น MPV ไฟฟ้าเต็มรูปแบบนี้ถูกตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 170 กม./ชม. ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยและระยะทางสำหรับครอบครัว โดยเฉพาะในสภาพการจราจรของประเทศไทยที่ส่วนใหญ่ใช้เดินทางในเมืองและมีจำกัดความเร็วบนทางหลวงไม่เกิน 120 กม./ชม. การจำกัดความเร็วของรถไฟฟ้ามักคำนึงถึงประสิทธิภาพของแบตเตอรี่และการจัดการความร้อนของมอเตอร์ โดยเทคโนโลยีแท่น 800V ของ X9 ช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ซึ่งสำคัญมากสำหรับความเสถียรของแบตเตอรี่ในสภาพอากาศร้อนของไทย ที่น่าสนใจคือประเทศไทยกำลังส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้าอย่างจริงจัง พร้อมกับเครือข่ายสถานีชาร์จที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รถอย่าง X9 ที่มีระยะทางสูงสุดถึง 702 กม. (ตามมาตรฐาน CLTC) สามารถตอบสนองการเดินทางแบบไป-กลับบนเส้นทางยอดนิยมอย่างกรุงเทพฯ-พัทยาได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้การออกแบบห้องโดยสารแบบปรับเปลี่ยนได้ของ MPV ยังเหมาะกับไลฟ์สไตล์การเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ของครอบครัวไทย สำหรับใครที่ต้องการความแรงกว่านี้ สามารถเลือกรุ่น Twin Motor 4WD ที่เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.4 วินาที แต่ควรระวังในช่วงหน้าฝนของไทย แนะนำให้เลือกรุ่นที่มีระบบกระจายแรงบิดอัจฉริยะเพื่อความปลอดภัยบนถนนที่ลื่นไถลได้ง่าย

รถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตหรู Porsche Taycan นั้นมาพร้อมกับตัวเลือกสีที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้าแต่ละคน โดยสีมาตรฐานจะมีโทนคลาสสิกอย่างสีดำ, ขาว, Carrara White, สีเทา Volcano Grey และสีเทาเมททัล ส่วนใครที่อยากได้สีสันโดดเด่นกว่านั้นก็มีตัวเลือกอย่างสีฟ้า Ice Blue, สีเขียว Mamba Green หรือสีแดง Carmine Red แถมยังสามารถสั่งทำสีพิเศษตามต้องการได้อีกด้วย ซึ่งตรงกับสไตล์คนไทยที่ชอบความแตกต่างเป็นทุนเดิม สำหรับสภาพอากาศร้อนๆ แบบประเทศไทย แนะนำให้เลือกสีอ่อนอย่างขาวหรือเทาเมททัลที่จะช่วยสะท้อนแสงแดดและลดความร้อนภายในรถได้ดี ส่วนใครที่อยากโชว์ความสดใสเป็นเอกลักษณ์ก็อาจเลือกสีสันจัดจ้านอย่างเขียว Mamba หรือฟ้า Ice Blue ที่สำคัญ Porsche ยังมีบริการ Paint to Sample ที่ให้คุณเลือกสีจากคลังสีคลาสสิกกว่า 100 เฉด หรือจะออกแบบสีใหม่เฉพาะตัวก็ได้ ซึ่งบริการนี้ก็ฮิตในไทยเหมือนกัน โดยหลายคนมักเลือกสีที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยอย่างสีทองหรือสีน้ำเงินราชวงศ์ นอกจากความหลากหลายของสีแล้ว กระบวนการพ่นสีของ Taycan ก็ทำได้อย่างประณีต ด้วยเทคโนโลยีการพ่นสีหลายชั้นที่ช่วยให้สีทนทานและเงางามแม้ในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบไทยๆ เพราะฉะนั้นเวลาจะเลือกสี Taycan ในไทยนอกจากเรื่องความชอบส่วนตัวแล้ว ก็ควรคำนึงถึงสภาพอากาศและการดูแลรักษาด้วย สีอ่อนๆ จะดูแลง่ายกว่าและไม่ค่อยเห็นคราบสกปรกเวลาสัมผัสกับถนนไทยในชีวิตประจำวัน

รถ Nissan March ในตลาดไทยมีหลายรุ่นให้เลือกตามความต้องการ เริ่มจากรุ่นพื้นฐาน S ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.2L แบบธรรมชาติและให้เลือกเกียร์ธรรมดาหรือออโต้ รุ่นกลาง SV ที่เพิ่มความสะดวกด้วยกุญแจอัจฉริยะ และรุ่นสูงสุด VL ที่ติดตั้งล้อ 15 นิ้วพร้อมกล้องถอยหลัง รถคันนี้ขึ้นชื่อเรื่องประหยัดน้ำมัน เหมาะกับสภาพการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ ด้วยขนาดตัวที่กะทัดรัดทำให้ขับเคลื่อนในซอยแคบๆ ได้ง่าย แถมยังมีเครือข่ายบริการหลังการขายของ Nissan ที่ครอบคลุมทั่วทุกจังหวัดในไทย เครื่องยนต์ HR12DE ที่ใช้ใน March เป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการทดสอบมาแล้วและค่าบำรุงรักษาไม่สูง แถมยังผลิตในไทยทำให้หาอะไหล่ได้ง่าย เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Honda Brio และ Suzuki Swift ที่เน้นความประหยัดเหมือนกัน แต่ March โดดเด่นด้วยดีไซน์กลมกลึงและการขับเคลื่อนที่คล่องตัว จึงได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นไทย รวมถึงนักเล่นรถที่ชอบแต่ง March มักจะนำรถมาอวดในงานวัฒนธรรมเกี่ยวกับรถยนต์ตามท้องถิ่นบ่อยๆ

ในตลาดประเทศไทย Lexus ES และ LS ถือเป็นรถซีดานหรูที่ยอดเยี่ยม แต่มีการวางตำแหน่งต่างกัน โดย Lexus ES จัดอยู่ในกลุ่มซีดานหรูขนาดกลางถึงใหญ่ ราคาประมาณ 3.5–5 ล้านบาท ขนาดตัวรถเหมาะกับการใช้งานในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ให้ทั้งความหรูหราและความคล่องตัว มาพร้อมระบบไฮบริดที่ช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีแม้ในสภาพอากาศร้อน ส่วน Lexus LS ถือเป็นรุ่นเรือธง ราคาประมาณ 11–15 ล้านบาท โดดเด่นด้วยพื้นที่เบาะหลังที่กว้างขวางและออปชันขั้นสูง เช่น เบาะผู้บริหารแบบ Ottoman พร้อมระบบนวด และการเก็บเสียงที่เหนือกว่า เหมาะสำหรับนักธุรกิจหรือการเดินทางไกลที่ต้องการความสะดวกสบายเป็นพิเศษ ดังนั้นผู้บริโภคไทยสามารถเลือกตามความต้องการ หากใช้งานในเมือง ES จะตอบโจทย์ แต่ถ้าต้องการความหรูหราสูงสุด LS คือคำตอบ ทั้งสองรุ่นยังได้รับการดูแลจากศูนย์บริการ Lexus ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ