Q

Honda Civic hatchback มีทอร์โบหรือไม่?

ใช่ Honda Civic Hatchback มาพร้อมระบบเทอร์โบชาร์จ โดยในรุ่น Honda Civic Hatchback 1.5 VTEC Turbo ปี 2022 ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1,498 ซีซี (1.5T) ซึ่งสามารถให้พละกำลังได้อย่างโดดเด่นในช่วงรอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสม โดยมีแรงบิดสูงสุดในช่วงรอบประมาณ 2,500 รอบต่อนาที และกำลังสูงสุดที่รอบ 6,500 รอบต่อนาที เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จช่วยเพิ่มปริมาณอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ทำให้เครื่องยนต์สามารถสร้างกำลังได้มากขึ้นแม้มีขนาดความจุไม่สูง เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์แบบไม่มีเทอร์โบ (NA) เทอร์โบสามารถตอบสนองการเร่งได้ไวกว่า ให้แรงดึงที่ชัดเจนกว่า และช่วยเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ โดยเฉพาะในสถานการณ์เร่งแซงหรือขับทางไกลด้วยความเร็วสูง จะเห็นข้อได้เปรียบได้ชัดเจน
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
Honda Civic Hatchback ใช้น้ำมันอย่างไรต่อกิโลเมตรหลอดน้ำ?
Honda Civic Hatchback 1.5 VTEC Turbo ปี 2022 มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยตามข้อมูลจากผู้ผลิตอยู่ที่ 5.8 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร ซึ่งสามารถคำนวณเป็นอัตราสิ้นเปลืองต่อกิโลเมตรได้ โดยนำ 5.8 ÷ 100 = 0.058 ลิตร หมายความว่ารถคันนี้จะใช้น้ำมันประมาณ 0.058 ลิตรต่อการวิ่ง 1 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม อัตราสิ้นเปลืองจริงอาจมีความผันแปรตามพฤติกรรมการขับขี่ สภาพถนน และน้ำหนักบรรทุกของรถ เช่น หากมีการเร่งเครื่องกะทันหัน เบรกบ่อย หรือจอดติดเครื่องยนต์นาน ๆ อาจทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น แต่ถ้าขับขี่ในสภาพถนนที่ดี และมีพฤติกรรมการขับขี่ที่นุ่มนวล อัตราสิ้นเปลืองจริงก็อาจเข้าใกล้ตัวเลขจากผู้ผลิต
Q
Honda Civic hatchback ใช้แก๊สธรรมดาได้หรือไม่?
Honda Civic Hatchback 1.5 VTEC Turbo ปี 2022 ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงประเภทเบนซิน ซึ่งตามทฤษฎีสามารถใช้น้ำมันเบนซินทั่วไปได้ อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบคู่มือผู้ใช้หรือข้อมูลที่ระบุบนฝาถังน้ำมันเพื่อทราบค่าความเหมาะสมของน้ำมันที่แนะนำสำหรับรถรุ่นนี้ เนื่องจากน้ำมันแต่ละชนิดมีค่าออกเทนหรือความทนทานต่อการจุดระเบิดที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วเครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนกำลังอัดสูงหรือมีระบบเทอร์โบชาร์จมักต้องใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงกว่าเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หากใช้ค่าน้ำมันที่ไม่เหมาะสมติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เครื่องยนต์สั่น เร่งไม่ขึ้น หรือสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น โดยทั่วไปเครื่องยนต์เทอร์โบจะมีความไวต่อคุณภาพและค่าของน้ำมันมากกว่าเครื่องยนต์ทั่วไป ดังนั้นเพื่อรักษาสมรรถนะและความทนทานของเครื่องยนต์ การเลือกใช้น้ำมันตามที่ผู้ผลิตแนะนำถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด
Q
Honda Civic hatchback มีประสิทธิภาพการใช้น้ำมันอย่างไร?
Honda Civic Hatchback 1.5 VTEC Turbo 2022 มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยตามข้อมูลจากโรงงานอยู่ที่ 5.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร โดยใช้เชื้อเพลิงเบนซิน ตัวเลขนี้ได้จากการทดสอบในสภาพแวดล้อมมาตรฐาน ซึ่งในการใช้งานจริงอัตราสิ้นเปลืองอาจมีความแตกต่างขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะการขับขี่ สภาพถนน น้ำหนักบรรทุก และการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ หากมีการเร่งหรือเบรกอย่างรุนแรงบ่อยครั้ง หรือปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบานานเกินไป อัตราสิ้นเปลืองก็จะสูงกว่าค่าที่ระบุไว้ ขณะที่การขับขี่อย่างนุ่มนวล รักษาความเร็วให้เหมาะสม และใช้ระบบต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น เครื่องยนต์ที่จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ของรุ่นนี้ยังช่วยให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงให้กับผู้ใช้
Q
ฮอนด้าซิวิคแฮทช์แบ็กที่มีซันรูฟคือรุ่นไหน?
ในไลน์อัปของ Honda Civic Hatchback ที่จำหน่ายในประเทศไทย รุ่นที่มาพร้อมหลังคาซันรูฟคือ Civic Hatchback RS ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดของซีรีส์นี้ รุ่น RS มาพร้อมหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามาเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความโปร่งสบายและแสงธรรมชาติเข้าสู่ห้องโดยสาร เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสภาพอากาศร้อนของไทยที่ต้องการการระบายอากาศที่ดี นอกจากซันรูฟแล้ว Civic RS ยังมีชุดแต่งภายนอกแบบสปอร์ต ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว เบาะหนัง ระบบกุญแจอัจฉริยะ และระบบความปลอดภัย Honda Sensing เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนรุ่นย่อยอื่น เช่น รุ่น E และ EL จะไม่มีซันรูฟติดตั้งมา หากคุณให้ความสำคัญกับฟังก์ชันนี้ แนะนำให้เลือกตรงไปที่รุ่น RS โดยปกติแล้วดีลเลอร์ Honda ในไทยจะมีสีตัวถังให้เลือกหลากหลายสำหรับรุ่น RS โดยเฉพาะสีขาวมุก (Platinum White) และสีเงินเมทัลลิก (Lunar Silver) ซึ่งเป็นสองสีที่ได้รับความนิยมสูงสุด และเข้ากันได้ดีกับดีไซน์ของหลังคาซันรูฟ
Q
Honda Civic hatchbacks ใช้งานได้นานแค่ไหน?
อายุการใช้งานของ Honda Civic Hatchback ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น วิธีการใช้งาน สภาพการดูแลรักษา และคุณภาพของอะไหล่โดยรวม โดยทั่วไป หากมีการใช้งานและดูแลอย่างเหมาะสม รถรุ่นนี้สามารถใช้งานได้นานกว่า 10 ปี หากเจ้าของรถปฏิบัติตามคู่มือการบำรุงรักษา เปลี่ยนอะไหล่ที่สึกหรอ และซ่อมแซมเมื่อเกิดปัญหา ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้มากขึ้น เช่น การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศตามระยะ จะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตรวจสอบและเปลี่ยนยางที่สึกหรอก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีผลต่ออายุการใช้งานของรถ นอกจากนี้ พฤติกรรมการขับขี่ก็มีผลเช่นกัน การขับขี่อย่างนุ่มนวล หลีกเลี่ยงการเร่งหรือเบรกกระทันหัน จะช่วยลดการสึกหรอของชิ้นส่วนของรถได้
Q
Honda Civic Hatchback มี CVT หรือไม่?
Honda Civic Hatchback มาพร้อมเกียร์ CVT (Continuously Variable Transmission) โดยรุ่น 1.5 VTEC Turbo ปี 2022 ใช้ระบบเกียร์ประเภทนี้ เกียร์ CVT สามารถเปลี่ยนอัตราทดได้อย่างต่อเนื่องขณะขับขี่ ให้ความรู้สึกเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล ช่วยเพิ่มความเรียบลื่นในการขับขี่ และมีส่วนช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยสามารถควบคุมให้เครื่องยนต์ทำงานอยู่ในช่วงรอบที่เหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างกำลังขับเคลื่อนและการใช้พลังงาน เมื่อจับคู่กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ระบบเกียร์ CVT สามารถตอบสนองการขับขี่ได้ดีทั้งในเมืองและบนทางหลวง มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทั้งนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างลงตัว
Q
Honda Civic Hatchback มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อหรือไม่?
ปัจจุบัน Honda Civic Hatchback ทุกรุ่นใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FF: Front-Engine, Front-Wheel Drive) ทั้งหมด โดยไม่มีเวอร์ชันขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD หรือ AWD) ให้เลือก Honda มักนำระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไปใช้กับรถยนต์ประเภท SUV อย่าง CR-V หรือ HR-V มากกว่า ขณะที่ตระกูล Civic นั้นเน้นแพลตฟอร์มขับเคลื่อนล้อหน้าที่เน้นความสปอร์ต และระบบกันสะเทือนรวมถึงช่วงล่างก็ได้รับการปรับจูนอย่างพิถีพิถันเพื่อรองรับการควบคุมที่แม่นยำ
Q
คือประเภทต่าง ๆ ของฮอนด้าซีวิคแฮชแบ็คคืออะไร?
Honda Civic Hatchback มีให้เลือกหลายรุ่นย่อย โดยแบ่งตามระบบขับเคลื่อนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนี้ ในด้านขุมพลัง มีทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินล้วน เช่น Honda Civic Hatchback 1.5 VTEC Turbo ปี 2022 ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 6,500 รอบต่อนาที และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยตามข้อมูลโรงงานที่ 5.8 ลิตร/100 กิโลเมตร รวมถึงยังมีรุ่นไฮบริด ที่ให้ทั้งความประหยัดเชื้อเพลิงและการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ดี ในส่วนของระบบเกียร์ มีทั้งเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างลื่นไหล และยังมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ (6MT) สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการควบคุมรถด้วยตนเอง ให้ความรู้สึกเปลี่ยนเกียร์ที่แม่นยำและดิบมากขึ้น ด้านอุปกรณ์ แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกัน เช่น บางรุ่นมาพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย (Paddle Shift) หน้าจอกลางระบบสัมผัส ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง และระบบความปลอดภัยต่าง ๆ โดยรุ่นที่เน้นความสนุกในการขับขี่แบบเกียร์ธรรมดา หากเพิ่มงบเล็กน้อย อาจได้อุปกรณ์ความปลอดภัยเชิงรุกที่ครบถ้วนยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นที่เน้นสไตล์ภายนอกหรือออปชันเบื้องต้น
Q
Honda Civic hatchback สามารถวิ่งได้กี่ไมล์เมื่อเติมถังเต็ม?
Honda Civic Hatchback 1.5 VTEC Turbo ปี 2022 มีความจุถังน้ำมันอยู่ที่ 47 ลิตร โดยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยตามข้อมูลจากโรงงานอยู่ที่ 5.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หากคำนวณตามตัวเลขนี้ รถจะสามารถวิ่งได้ประมาณ 810.34 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมันเต็มถัง อย่างไรก็ตาม ระยะทางดังกล่าวเป็นค่าทางทฤษฎีเท่านั้น ในการใช้งานจริง ระยะทางที่วิ่งได้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมการขับขี่ สภาพการจราจร สภาพถนน และน้ำหนักบรรทุก ตัวอย่างเช่น หากมีการเร่งหรือเบรกอย่างรุนแรงบ่อยครั้ง หรือขับในสภาพการจราจรติดขัด อัตราสิ้นเปลืองจะเพิ่มขึ้น ทำให้ระยะทางลดลง แต่หากขับขี่อย่างนุ่มนวล และอยู่บนถนนที่มีสภาพดี ระยะทางที่วิ่งได้จริงอาจใกล้เคียงกับค่าที่คำนวณไว้มากขึ้น
Q
ฉันสามารถทำให้ Honda Civic Hatchback ของฉันวิ่งเร็วขึ้นได้อย่างไร
หากต้องการให้ Honda Civic Hatchback วิ่งได้เร็วขึ้น สามารถเริ่มได้จากหลายด้าน ขั้นแรกคือการปรับปรุงฮาร์ดแวร์ เช่น เปลี่ยนมาใช้ยางที่มีค่าความฝืดสูง จะช่วยลดการลื่นไถลของยาง ทำให้การเร่งความเร็วมีเสถียรมากขึ้น และเพิ่มแรงยึดเกาะถนนให้กับรถ อีกทั้งควรตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบเชื้อเพลิงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้หัวฉีด ท่อน้ำมัน ปั๊มน้ำมัน และกรองน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานได้ตามปกติ ช่วยให้เครื่องยนต์ได้รับเชื้อเพลิงเพียงพอและเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ นอกจากนี้ ระบบไอดีก็มีความสำคัญ ควรหมั่นทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศ เพื่อให้เครื่องยนต์ดูดอากาศได้เพียงพอ และผสมกับเชื้อเพลิงได้อย่างเหมาะสมเพื่อการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพ อีกจุดที่ควรให้ความสำคัญคือคุณภาพของการจุดระเบิด โดยการเปลี่ยนหัวเทียนและคอยล์จุดระเบิดที่เสื่อมหรือทำงานผิดปกติ จะช่วยให้เครื่องยนต์เดินเรียบและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ในด้านซอฟต์แวร์ การรีแมพกล่อง ECU จะช่วยเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์และปรับปรุงสมรรถนะในการเร่งความเร็วของรถได้

ข้อดี

1. ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมพร้อมเครื่องยนต์ L15B7 Turbo 1.5 ลิตร ที่สอดคล้องกับระบบเปลี่ยนระดับอัตโนมัติ CVT ที่ฉลาด
2. มาพร้อมระบบท่อไอเสียคู่ตรงกลางที่ติดตั้งโรงงาน ช่วยประหยัดค่าแต่งตั้งให้กับลูกค้า
3. ติดตั้งระบบ Honda Sensing แสดงความสามารถในการขับขี่บนถนนที่ดี
4. ความเรียบง่ายของความปลอดภัยมีถุงลมนิรภัย 6 ถุง, กล้องตรวจสอบจุดบอด, และระบบช่วยสนับสนุนการขับขี่หลายระบบ
5. สไตล์ที่สตรีทไฟนิคร, แม้จะลงตลาดมาเรียบร้อยแล้วก็ยังเด่นซ้อน, มีลูกค้าชอบฉันโฉมแฮทช์แบคแนวนอน
6. ตกแต่งภายในแนวสปอรตสบาย ๆ, วัสดุที่ทันสมัย, พื้นที่ขาที่กว้างขวาง, มากมายและสนุก
7. มีภาพลักษณ์ที่น่ารัก, เครือข่ายบริการที่กว้างขวาง

ข้อเสีย

1. ราคาสูงที่สุดในระดับเดียวกัน ราคาใหม่ 122.9 ล้านบาท สูงกว่าคู่แข่งที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา
2. มีเพียงหนึ่งรุ่น ลูกค้ามีตัวเลือกน้อย
3. ในด้านความสบายของรถ ชุดล่างต้องปรับ มั่นใจไม่เต็มที่

Q&A ล่าสุด

Q
สีของ Ford Everest 2020 มีอะไรบ้าง
รถ福特 Everest รุ่นปี 2020 ในตลาดไทยมีตัวเลือกสีให้เลือกหลากหลาย ทั้งโทนคลาสสิกยอดนิยมอย่างสีขาว สีดำ สีเงิน รวมไปถึงโทนสีน่าสนใจอย่างสีน้ำเงินเข้มและสีทองแดงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม สีรถไม่เพียงแต่เหมาะกับการใช้งานประจำวัน แต่ยังออกแบบมาเพื่อทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีสีรถที่ทนความร้อนสูงและป้องกันการกัดกร่อน ทำให้รถยังดูใหม่แม้ใช้งานมานาน ในไทยรถ SUV อย่าง Everest ได้รับความนิยมจากครอบครัวไทยเพราะตัวรถสูงและพื้นที่กว้างขวาง ส่วนเรื่องสีคนไทยมักชอบโทนสว่างๆ เพราะช่วยสะท้อนแสงแดดลดความร้อนในรถ และยังเข้ากับสไตล์การแต่งตัวที่สดใสของคนไทย นอกจากนี้ Ford Everest ยังเป็นรถที่เน้นประโยชน์ใช้สอยและความแข็งแกร่งในการขับออฟโรด สีรถจึงถูกออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง เช่น สีเข้มๆ ที่ช่วยกลบรอยสกปรกสำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยว road trip เวลาซื้อรถนอกจากเรื่องสีแล้ว ลูกค้าควรสนใจบริการหลังการขายด้วย โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบไทยที่ควรดูแลสีรถและภายในรถเป็นประจำเพื่อยืดอายุการใช้งาน
Q
Ford Everest 2020 ราคาเท่าไหร่?
รถยนต์ฟอร์ด Everest รุ่นปี 2020 ในตลาดไทยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1.4 ถึง 1.8 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและอุปกรณ์เสริมที่เลือก เช่น รุ่น Trend, Titanium+ หรือ Wildtrak แนะนำให้ติดต่อตัวแทนจำหน่ายฟอร์ดในไทยเพื่อสอบถามราคาปัจจุบันและโปรโมชั่นล่าสุด Everest เป็น SUV ระดับกลางที่ได้รับความนิยมในไทย ด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร ที่ให้กำลัง 213 แรงม้าและแรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ทนทาน เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายแบบในไทย ทั้งในเมืองและเส้นทางลุยๆ ที่สำคัญรถรุ่นนี้ประกอบในประเทศไทย ทำให้มีเครือข่ายบริการหลังการขายและอะไหล่ที่พร้อม แถมยังมาพร้อมระบบความบันเทิง SYNC 3 และระบบความปลอดภัยครบครัน เช่น 7 ถุงลมนิรภัยและระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ จุดแข็งเหล่านี้ทำให้ Everest แข่งขันกับคู่แข่งในระดับเดียวกันได้อย่างมั่นคง ถ้าจะเปรียบเทียบกับ SUV รุ่นอื่นในราคาใกล้เคียง เช่น โตโยต้า Fortuner หรือ ISUZU MU-X ก็ต้องบอกว่า Everest มีจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีและสมรรถนะการขับขี่ออฟโรด แนะนำให้ลองทดลองขับและเปรียบเทียบตามความต้องการใช้งานส่วนตัวก่อนตัดสินใจซื้อจะดีที่สุด
Q
Huracán STO เป็นคาร์บอนเต็มตัวหรือไม่?
แลมโบร์กินี ฮูราเคน STO อาจไม่ได้ใช้คาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมดสำหรับตัวถัง แต่ก็ใช้วัสดุนี้ในหลายส่วนเพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างเช่น หลังคา ฝากระโปรงหน้า กันชนหน้า และดิฟฟิวเซอร์หลัง ล้วนทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้น้ำหนักแห้งของรถอยู่ที่เพียง 1,339 กิโลกรัม การออกแบบนี้ช่วยลดปัญหาความร้อนสะสมและเพิ่มการระบายความร้อนได้ดีในสภาพอากาศร้อนของไทย สำหรับแฟนรถไทยแล้ว การออกแบบที่เน้นน้ำหนักเบาของ STO นี่เหมาะมากกับถนนภูเขาคดเคี้ยวและสนามแข่งในประเทศ อย่างสนามแม่โอนในเชียงใหม่หรือสนามบีร่าที่ระยอง อีกจุดที่น่าสนใจคือแม้คาร์บอนไฟเบอร์จะมีราคาสูง แต่ระบบแอโรไดนามิกส์ที่ปรับได้และเทคโนโลยีพวงมาลัยหลังของ STO ก็ถือว่าคุ้มค่า โดยเฉพาะเวลาขับบนถนนลื่นช่วงฤดูฝนของไทยที่ระบบเหล่านี้ช่วยให้ควบคุมรถได้มั่นคงกว่า แต่ถ้าพูดถึงการใช้ประจำวัน สปริงและโช้คที่ตั้งมาแบบสปอร์ตของ STO อาจทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายนักบนถนนในกรุงเทพฯที่ขรุขระ แต่นี่ก็เป็นลักษณะเฉพาะของซูเปอร์คาร์ที่ออกแบบมาสำหรับสนามแข่งนั่นแหละ
Q
ลัมโบ STO เป็นเกียร์มือหรือเปล่า?
兰博基尼 STO ไม่ใช่รุ่นเกียร์ธรรมดานะครับ มันใช้เกียร์อัตโนมัติ 7 ความเร็ว ISR (Independent Shifting Rods) ซึ่งเป็นเกียร์ที่โด่งดังเรื่องการเปลี่ยนเกียร์ที่เร็วฉับไวและการส่งผ่านพลังที่เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเหมาะกับรถซูเปอร์คาร์แนวสปอร์ตอย่าง STO ที่ออกแบบมาสำหรับการขับบนสนามแข่ง แถมในสภาพอากาศร้อนๆ แบบประเทศไทย เกียร์อัตโนมัติยังช่วยให้การขับขี่มั่นคงขึ้น ลดความเมื่อยล้าจากการเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ อีกต่างหาก สำหรับแฟนๆ รถไทย แม้ว่ารถเกียร์ธรรมดาจะให้ความสนุกในการขับที่เฉพาะตัว แต่ซูเปอร์คาร์ระดับนี้อย่าง STO เน้นทั้งประสิทธิภาพบนสนามแข่งและความสะดวกในชีวิตประจำวัน เกียร์อัตโนมัติจึงตอบโจทย์ได้ดีกว่าครับ ที่น่าสนใจคือ ตลาดรถซูเปอร์คาร์ในไทยโตขึ้นทุกปี จะเห็นได้จากรถแบรนด์หรูอย่างลัมโบร์กีนี่ที่เริ่มมีให้เห็นบ่อยขึ้นทั้งในสนามแข่งและย่านช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์ของกรุงเทพฯ การออกแบบเกียร์อัตโนมัติของ STO ยังเหมาะกับสภาพการจราจรติดขัดในเมืองไทย ช่วยให้เจ้าของรถได้ทั้งความสนุกสุดเหวี่ยงและความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันครับ
Q
Huracán STO มีอะไรพิเศษ
แลมโบร์กินี ฮูราเคน STO คือซูเปอร์คาร์ที่ออกแบบมาสำหรับการขับขี่บนสนามแข่งโดยเฉพาะ สิ่งที่ทำให้มันพิเศษคือการนำเทคโนโลยีจากแผนกแข่งสควาดรา คอร์เซ่ของแลมโบร์กินีโดยตรง มาใช้กับการออกแบบที่เน้นน้ำหนักเบาและอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง STO ย่อมาจาก "Super Trofeo Omologata" ซึ่งหมายความว่านอกจากจะสามารถใช้งานบนถนนทั่วไปได้ตามกฎหมายแล้ว ยังสืบทอด DNA จากรถแข่ง Super Trofeo ของแลมโบร์กินีอีกด้วย ตัวรถใช้คาร์บอนไฟเบอร์อย่างกว้างขวาง ทำให้น้ำหนักลดลงถึง 43 กิโลกรัมเมื่อเทียบกับฮูราเคนรุ่นมาตรฐาน พร้อมทั้งชุดอากาศพลศาสตร์ใหม่ที่รวมถึงสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่และสปลิтเตอร์หน้าสามารถสร้างแรงกดลงได้สูงเมื่อขับด้วยความเร็วสูง ส่วนด้านสมรรถนะ STO ใช้เครื่องยนต์ V10 5.2 ลิตร แบบแอสพิเรชั่นธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุด 640 แรงม้า คู่กับระบบขับเคลื่อนล้อหลังและระบบช่วงล่างที่ปรับแต่งพิเศษสำหรับการแข่ง ทำให้มันแสดงศักยภาพได้อย่างยอดเยี่ยมบนสนามแข่ง สำหรับแฟนๆรถไทย STO ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์สุดแรง แต่ยังสามารถโชว์ความสามารถเต็มที่บนสนามแข่งระดับสูงในไทยอย่างบุรีรัมย์อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิตได้อีกด้วย นอกจากนี้ STO ยังมีระบบเลือกโหมดขับขี่ที่ออกแบบมาสำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะ ทั้งโหมด STO, Trofeo และ Pioggia ที่ปรับแต่งสำหรับสนามแห้ง สนามแข่งสุดโหด และถนนเปียกตามลำดับ การออกแบบนี้ทำให้แม้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยของไทย ผู้ขับก็ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดูเพิ่มเติม