Q

Huracan จะอยู่นานแค่ไหน?

Lamborghini Huracán มีหลายรุ่นย่อย เช่น Huracán Sterrato V10 5.2L NA ปี 2023 ราคา 26,690,000 บาท ความเร็วสูงสุด 260 กม./ชม. อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ภายใน 3.4 วินาที, Huracán Tecnica V10 5.2 NA ปี 2022 ราคา 22,980,000 บาท เร่ง 0–100 กม./ชม. ได้ใน 3.2 วินาที, และ Huracán STO ปี 2021 ราคา 29,990,000 บาท ความเร็วสูงสุด 310 กม./ชม. อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ภายใน 3.0 วินาที ทั้งหมดใช้เชื้อเพลิงเบนซินและระบบขับเคลื่อนล้อหลัง มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยและความสะดวกครบถ้วน มอบประสบการณ์การขับขี่ที่โดดเด่นและสมรรถนะระดับสูงให้แก่ผู้ขับขี่
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
Lamborghini Huracan คือ Lamborghini ที่เร็วที่สุดหรือไม่
Lamborghini Huracán ไม่ใช่รุ่นที่เร็วที่สุดในบรรดารถยนต์ของแบรนด์ Lamborghini โดยความเร็วสูงสุดของ Huracán แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกัน เช่นรุ่น Huracán Performante ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 331 กม./ชม. ขณะที่บางรุ่นอื่น ๆ อยู่ที่ประมาณ 325 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม Lamborghini ยังมีรุ่นที่ทำความเร็วได้สูงกว่านี้ เช่น Lamborghini Sián ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 360 กม./ชม. Aventador SVJ และ Aventador LP700-4 ทำความเร็วได้สูงสุดที่ 350 กม./ชม. ความเร็วสูงสุดของแต่ละรุ่นขึ้นอยู่กับแนวคิดการออกแบบและระบบขับเคลื่อนที่แตกต่างกัน Huracán แม้จะไม่ใช่รุ่นที่เร็วที่สุด แต่ก็มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ผสมผสานความเร็วและการควบคุมได้อย่างลงตัว มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและแม่นยำ จึงยังคงเป็นหนึ่งในรุ่นที่โดดเด่นในตระกูล Lamborghini
Q
Lamborghini Huracan มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน?
Lamborghini Huracán มีความน่าเชื่อถือในระดับสูง โดยติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินแบบ V10 ขนาด 5.2 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศ ให้พละกำลังที่แรงและมีความเสถียร โดยมีการปรับจูนที่หลากหลายตามแต่ละรุ่นย่อยเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน ในด้านระบบเบรก Huracán มาพร้อมจานเบรกเซรามิกคาร์บอนทั้งหน้าและหลัง ให้สมรรถนะการเบรกที่ยอดเยี่ยมและทนทาน รองรับการขับขี่ในหลากหลายสภาพการใช้งาน ส่วนระบบกันสะเทือนเป็นแบบอิสระ ช่วยให้การควบคุมรถมีความแม่นยำ พร้อมมอบเสถียรภาพและความนุ่มนวลขณะขับขี่ ในด้านระบบอิเล็กทรอนิกส์และความปลอดภัย Huracán มาพร้อมระบบมาตรฐาน เช่น ABS ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก, ระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ และระบบความปลอดภัยอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มทั้งความปลอดภัยและความมั่นใจในการขับขี่ ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ Lamborghini ในฐานะผู้ผลิตรถซูเปอร์คาร์ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านกระบวนการผลิตและคุณภาพชิ้นส่วน Huracán จึงถือเป็นรถสมรรถนะสูงที่ยังคงมีความน่าเชื่อถือในระดับที่ดี และสามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทั้งเร้าใจและมั่นคงให้แก่เจ้าของรถ
Q
Lamborghini Huracan เหมาะสำหรับใช้ประจำวันไหม?
Lamborghini Huracán ถือว่าเป็นซูเปอร์คาร์ที่มีความเหมาะสมในระดับหนึ่งสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน รถรุ่นนี้มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่แบบ 7 สปีด ที่เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนุ่มนวลและแทบไม่มีอาการกระตุกในสภาพการจราจรที่ต้องหยุด-เคลื่อนบ่อยครั้ง จึงให้ประสบการณ์ขับขี่ที่ต่อเนื่องและสบาย รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังให้พละกำลังจากโรงงานในระดับดี และหากต้องการเพิ่มสมรรถนะ ยังสามารถติดตั้งชุดเทอร์โบคู่เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มแรงม้าได้ตามต้องการ ระบบกันสะเทือนแบบปีกนกคู่ ทั้งหน้าและหลัง ช่วยให้รถมีการทรงตัวที่ดีและรองรับแรงได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงหรือเปลี่ยนเลนกะทันหัน ก็ยังควบคุมได้อย่างมั่นใจ รูปลักษณ์ภายนอกมีความล้ำสมัย ดึงดูดสายตาได้ดี ส่วนภายในหรูหราและออกแบบให้ปุ่มควบคุมหลักต่าง ๆ อยู่บนพวงมาลัยเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ขณะที่ระบบกล้องมองหลังและฟังก์ชันช่วยจอดต่าง ๆ ก็ช่วยให้การจอดรถในชีวิตประจำวันง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Huracán มีพื้นที่ภายในค่อนข้างจำกัด หากผู้ขับหรือผู้โดยสารมีรูปร่างใหญ่อาจรู้สึกอึดอัด และแม้จะใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน แต่การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงค่อนข้างสูง รวมถึงค่าบำรุงรักษาและดูแลรักษาก็อยู่ในระดับที่สูงเช่นกัน
Q
Huracan ทำที่ไหน
Lamborghini Huracán ในปัจจุบันผลิตขึ้นทั้งหมดที่โรงงานสำนักงานใหญ่ของ Lamborghini ในเมือง Sant'Agata Bolognese ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นฐานการผลิตเพียงแห่งเดียวของรถซูเปอร์คาร์ทุกรุ่นของแบรนด์นี้ทั่วโลก Huracán ทุกคันถูกประกอบตามมาตรฐานงานฝีมือแบบอิตาเลียน ตั้งแต่กระบวนการผลิตตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ไปจนถึงการปรับจูนระบบขับเคลื่อน โดยช่างเทคนิคผู้มีประสบการณ์สูง แม้ว่าในตลาดประเทศไทย Huracán จะต้องนำเข้าแบบครบคัน (CBU) แต่ Lamborghini มีผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในกรุงเทพฯ ซึ่งให้บริการด้านการขายและบริการหลังการขายอย่างครบวงจร รวมถึงการสนับสนุนทางเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญและการจัดหาอะไหล่แท้จากโรงงาน ที่สำคัญ สภาพอากาศแบบร้อนชื้นของไทยมีผลต่อการดูแลรักษารถซูเปอร์คาร์ Lamborghini จึงมีการออกแบบเฉพาะด้าน เช่น ระบบระบายความร้อนและการเคลือบสีตัวถัง เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศในเขตร้อนโดยเฉพาะ
Q
Huracan หรือ Aventador ไหนเร็วกว่า?
โดยทั่วไปแล้ว Lamborghini Aventador มีความเร็วสูงกว่า Aventador ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศ ให้กำลังสูงสุดประมาณ 700 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดประมาณ 690 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ตามข้อมูลทางการอยู่ที่ประมาณ 2.9 วินาที ในขณะที่ Huracán ใช้เครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุดประมาณ 610 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดประมาณ 560 นิวตันเมตร โดยเร่งจาก 0–100 กม./ชม. ได้ภายในประมาณ 3.2 วินาที จากข้อมูลด้านสมรรถนะจะเห็นว่า Aventador มีพละกำลังและอัตราเร่งเหนือกว่า Huracán และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 350 กม./ชม. ส่วน Huracán ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ประมาณ 325 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการขับขี่จริงยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น สภาพถนน สภาพอากาศ และทักษะการขับขี่ของผู้ขับรถด้วย
Q
Lamborghini Huracan น่าจะหายากไหม?
การมองหา Lamborghini Huracán ไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากมีหลายรุ่นที่ยังคงวางจำหน่ายอยู่ในขณะนี้ เช่น Huracán Sterrato V10 5.2L NA 2023, Huracán Tecnica V10 5.2 NA 2022 และ Lamborghini Huracán STO ปี 2021 ซึ่งทั้งหมดอยู่ในสถานะพร้อมจำหน่าย ในประเทศไทย Lamborghini มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการกระจายอยู่ในเมืองหลัก ผู้สนใจสามารถติดต่อหรือเดินทางไปยังโชว์รูมเหล่านี้เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรุ่น Huracán ทั้งในเรื่องของรถที่มีในสต็อก ออปชันที่เลือกได้ และราคา นอกจากนี้ เว็บไซต์ทางการของ Lamborghini ยังแสดงข้อมูลรุ่น Huracán อย่างครบถ้วน ทั้งรายละเอียดทางเทคนิค อุปกรณ์มาตรฐาน รวมถึงช่องทางติดต่อกับดีลเลอร์ในพื้นที่ ช่วยให้คุณสามารถวางแผนและสอบถามเพิ่มเติมได้สะดวกยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีของรุ่นพิเศษหรือรุ่นลิมิเต็ดที่มีจำนวนผลิตจำกัด อาจต้องใช้เวลาในการค้นหา แต่หากมีการติดตามและพูดคุยกับผู้จำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ ก็ยังมีโอกาสที่จะได้รับรถรุ่นที่ต้องการเช่นกัน
Q
รอคอย Lamborghini Huracan นานเท่าไหร่?
ระยะเวลารอรับรถ Lamborghini Huracán ไม่ได้กำหนดตายตัวและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หากโชว์รูมมีรถพร้อมส่งมอบ ผู้ซื้ออาจได้รับรถภายใน ประมาณ 1–2 สัปดาห์ แต่โดยทั่วไปแล้ว Lamborghini ในฐานะซูเปอร์คาร์แบรนด์ มักต้องใช้วิธี สั่งผลิตตามคำสั่งจอง ในกรณีที่ต้องสั่งผลิต ระยะเวลารอโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3–6 เดือน หรืออาจนานกว่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการผลิตของ Lamborghini มีความซับซ้อน และรถทุกคันต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด หากมีการเลือก ออปชันพิเศษหรือการตกแต่งแบบเฉพาะบุคคล เช่น สีตัวถังแบบพิเศษ วัสดุตกแต่งภายในแบบเฉพาะ หรือการติดตั้งอุปกรณ์เฉพาะทาง จะทำให้ระยะเวลาการผลิตยืดออกไปอีก นอกจากนี้ ภาวะอุปสงค์และอุปทานของตลาด ก็มีผล หากช่วงใดมีความต้องการ Huracán สูง ระยะเวลารอรับรถอาจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
Q
Tesla รวดเร็วกว่า Lamborghini Huracan หรือไม่?
Tesla จะเร็วกว่า Lamborghini Huracán หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ รุ่นที่นำมาเปรียบเทียบ และ เกณฑ์ที่ใช้วัดความเร็ว Tesla มีหลายรุ่น เช่น Model S Plaid ซึ่งมีกำลังสูงสุดถึง 1,020 แรงม้า และสามารถเร่งจาก 0–100 กม./ชม. ได้ภายในประมาณ 2 วินาที ในขณะที่ Lamborghini Huracán ก็มีหลายเวอร์ชันเช่นกัน เช่น Huracán STO ที่ทางการระบุว่าเร่งจาก 0–100 กม./ชม. ได้ใน ประมาณ 3 วินาที หากพิจารณาเฉพาะอัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. จะพบว่า Tesla บางรุ่นสามารถทำความเร็วได้ดีกว่า Huracán บางรุ่น แต่หากดูในด้าน ความเร็วสูงสุด เช่น Huracán Sterrato V10 สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 260 กม./ชม. ในขณะที่รถ Tesla หลายรุ่นมีความเร็วสูงสุดต่ำกว่านั้น สรุปคือ ไม่สามารถตัดสินได้อย่างชัดเจนว่า Tesla เร็วกว่าหรือช้ากว่า Lamborghini Huracán ทั้งนี้ต้องพิจารณาแต่ละรุ่นที่เปรียบเทียบ รวมถึงปัจจัยด้านสมรรถนะ เช่น อัตราเร่ง ความเร็วสูงสุด และลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันของทั้งสองแบรนด์
Q
Lamborghini Huracan ที่ช้าที่สุดคืออะไร?
ในบรรดารถตระกูล Lamborghini Huracán รุ่นที่มีความเร็วต่ำที่สุดเมื่อเทียบกันภายในซีรีส์คือ Lamborghini Huracán Sterrato V10 5.2L NA 2023 โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 260 กม./ชม. และอัตราเร่งจาก 0–100 กม./ชม. ตามข้อมูลทางการอยู่ที่ 3.4 วินาที รถรุ่นนี้มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 26,690,000 บาท จัดอยู่ในประเภทสปอร์ตคาร์ ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) ติดตั้งเครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศ ให้กำลังสูงสุด 449 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 560 นิวตันเมตร แม้ Huracán Sterrato จะไม่ใช่รุ่นที่เร็วที่สุดในซีรีส์ แต่ยังคงถ่ายทอด ดีเอ็นเอด้านสมรรถนะของ Lamborghini ได้อย่างครบถ้วน โดยรถตระกูล Huracán มีรุ่นย่อยหลายแบบ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ขับในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งด้านความเร็ว ความสนุกในการขับขี่ และเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแต่ละรุ่น
Q
Urus หรือ Huracan ไหนเร็วกว่า?
Urus และ Huracán มีสมรรถนะที่แตกต่างกันในด้านอัตราเร่งและความเร็วสูงสุด จึงไม่สามารถตัดสินได้อย่างชัดเจนว่ารุ่นใดเร็วกว่า ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้เปรียบเทียบ โดย Lamborghini Urus ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบวางหน้า ให้กำลังสูงสุด 650 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. อยู่ที่ 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. ส่วน Huracán มีหลายรุ่นย่อยที่สมรรถนะต่างกัน เช่น Huracán STO ใช้เครื่องยนต์ V10 ไร้อัดอากาศ 640 แรงม้า อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. อยู่ที่ 3.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 310 กม./ชม. ขณะที่ Huracán Tecnica รุ่นพิเศษฉลอง 60 ปี เร่งจาก 0–100 กม./ชม. ได้ใน 3.2 วินาที โดยรวมแล้ว Huracán บางรุ่นเร่งได้เร็วกว่า Urus แต่ในด้านความเร็วสูงสุด Urus ทำได้ดีกว่า ทั้งสองรุ่นต่างสะท้อนศักยภาพทางเทคนิคและสมรรถนะระดับสูงของ Lamborghini ในแบบที่แตกต่างกัน

ข้อดี

การออกแบบที่สดใสและแตกต่าง ทำให้มีความทันสมัย
ภายในรถกว้างขวางและสบาย พร้อมจอ TFT ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ภายในรถมีรายละเอียดด้วยหนัง Nappa และ Alcantara การออกแบบคอนโซลทำให้ดูบางและเบา
ง่ายต่อการขับขี่ประจำวัน และการทำงานสะดวกสบาย
มีพลังงานที่แรงกล้า V10 สูบสิบ ปริมาตร 5.2 ลิตร 610 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 3.2 วินาที มี 3 โหมดการขับขี่ให้เลือก
ระบบชานเสียงดี ซันรูฟเป็ฯแบบสองส่วนทำจากโลหะอัลลอยด์ โฟร์ลิงค์ อาร์มแบบอิสระ ทำให้การขับขี่มั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น

ข้อเสีย

ศูนย์บริการหลังการขายน้อยลงที่กรุงเทพฯ
ค่าบำรุงรักษาสูง
การใช้น้ำมันเป็นมาก การขับขี่ปกติประมาณ 8 กิโลเมตร/ลิตร เมื่อเร่งแซงโดยประมาณ 4-5 กิโลเมตร/ลิตร
ขาดทุนเมื่อขายรถมือสอง 40 - 50%

Q&A ล่าสุด

Q
2025 Mitsubishi XForce มีแรงม้าเท่าไหร่
รถยนต์รุ่น Mitsubishi XForce รุ่นปี 2025 มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ แบบธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร คู่กับเกียร์ CVT ที่ให้การตอบสนองเรียบเนียน เหมาะกับการใช้งานในเมืองไทยทั้งการเดินทางในเมืองและการขับเคลื่อนแบบออฟโรดระดับเบา ทาง Mitsubishi ได้ใช้เทคโนโลยี MMC (Mitsubishi Motors Corporation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันและแรงบิดในรอบต่ำ ทำให้เหมาะกับสภาพถนนลื่นช่วงฤดูฝนหรือเส้นทางคดเคี้ยวในภาคเหนือของไทย สำหรับตลาดไทย XForce ถูกวางตำแหน่งอยู่ระหว่าง XPander และ Outlander โดยเน้นกลุ่มลูกค้าวัยหนุ่มสาวที่เริ่มมีครอบครัว ด้วยระยะความสูงจากพื้น 222 มม. พร้อมระบบ AYC (Active Yaw Control) ที่เป็นจุดเด่นของ Mitsubishi ทำให้สามารถรับมือกับถนนลูกรังหรือเส้นทางก่อสร้างที่พบได้บ่อยในไทย แม้ว่ากำลังเครื่อง 105 แรงม้าจะไม่ได้สูงมาก แต่ Mitsubishi ได้ปรับระบบระบายความร้อนให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น แม้จะติดรถนานหรือขึ้นเขาก็ยังคงประสิทธิภาพได้ดี โดยเฉพาะในสภาพการจราจรติดขัดของกรุงเทพฯ เมื่อเทียบกับรถ SUV เมืองรุ่นอื่น XForce มีมุมเข้า (21 องศา) และมุมออก (32 องศา) ที่ดีกว่า ทำให้เวลาไปเที่ยวพักผ่อนที่ชลบุรีหรือหัวหิน สามารถขับบนถนนทางดินได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
Q
"มูลค่าขายต่อมือสองของ Mitsubishi XForce ปี 2025 คือเท่าไร?"
คาดว่ามูลค่าการขายต่อของ Mitsubishi XForce ปี 2025 ในประเทศไทยจะยังคงอยู่ในระดับที่มั่นคง สาเหตุหลักมาจากภาพลักษณ์แบรนด์มิตซูบิชิที่แข็งแกร่งในตลาดไทย รวมถึงความประหยัดและความทนทานของรถรุ่น XForce ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยได้ดี โดยเฉพาะเทรนด์รถ SUV ที่ยังคงมาแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะรุ่นที่มีระยะยกตัวสูงและความสามารถออฟโรดดี ซึ่ง XForce ถือว่าเข้าเกณฑ์นี้พอดี ทำให้คาดการณ์ว่าราคาตลาดมือสองน่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี ปัจจัยที่ส่งผลต่อมูลค่าการขายต่อได้แก่ สภาพการดูแลรักษารถ ระยะทางที่ใช้งาน รุ่นย่อยและอุปกรณ์เสริม รวมถึงความต้องการในตลาดช่วงนั้น แนะนำให้เจ้าของรถเข้าศูนย์บริการตามกำหนดและเก็บหลักฐานการซ่อมบำรุงไว้ให้ครบ จะช่วยเพิ่มมูลค่ารถตอนขายต่อได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ตลาดไทยยังให้ความสำคัญกับรถที่ประหยัดน้ำมันและค่าดูแลรักษาต่ำ ถ้า XForce ทำได้ดีในจุดนี้ก็จะส่งผลบวกต่อราคามือสองเช่นกัน สำหรับคนที่กำลังจะซื้อรถใหม่ แนะนำให้เลือกรุ่นย่อยและสีที่กำลังเป็นที่นิยมในตลาด เพราะจะช่วยให้ขายต่อได้ราคาดีขึ้นในอนาคต ส่วนนโยบายลดภาษีรถมือสองจากรัฐบาลถ้ามี ก็อาจส่งผลต่อมูลค่าการขายต่อของ XForce ได้เช่นกัน แนะนำให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายคอยติดตามข่าวสารตลาดรถในไทยอย่างใกล้ชิดจะดีที่สุด
Q
ห้องโดยสารของ Mitsubishi XForce ปี 2025 เงียบแค่ไหน?
รุ่นปี 2025 ของ Mitsubishi XForce นั้นน่าจับตามากเรื่องความเงียบภายในห้องโดยสาร เพราะมาพร้อมเทคโนโลยีลดเสียงรบกวนหลายอย่าง ทั้งกระจกหนาเพิ่มขึ้น ซีลประตูที่ออกแบบมาเฉพาะ และวัสดุกันเสียงใต้ท้องรถ ช่วยลดเสียงลมและเสียงถนนได้ดี โดยเฉพาะบนถนนในเมืองที่รถติดบ่อยหรือทางด่วนในไทย ที่สำคัญสภาพอากาศเมืองไทยร้อนแค่ไหน ระบบแอร์ของ XForce ก็ทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ส่งเสียงมารบกวนความเงียบในรถ จริงๆแล้วความเงียบในรถเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความสบายสำคัญ นอกจากวัสดุกันเสียงแล้ว ยางรถก็มีผลเหมือนกัน XForce ติดตั้งยางคุณภาพดีที่ทั้งเกาะถนนได้มั่นใจในฤดูฝน และยังลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ได้อีกด้วย Mitsubishi ทำตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานาน เลยเข้าใจทั้งสภาพถนนและความต้องการของคนไทยเป็นอย่างดี ระบบกันเสียงของ XForce ออกแบบมาเพื่อสภาพอากาศร้อนชื้นโดยเฉพาะ วัสดุทุกชิ้นทนทานไม่เสื่อมสภาพง่าย แม้ต้องขับรถในเมืองอย่างกรุงเทพฯที่เสียงรบกวนเยอะ XForce ก็ช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายแม้ต้องเจอรถติดนาน ๆ
Q
การจอดรถ Mitsubishi XForce ปี 2025 ง่ายแค่ไหน?
รถยนต์ Mitsubishi XForce รุ่นปี 2025 จอดในเมืองไทยได้ง่ายมาก เพราะตัวรถขนาดกะทัดรัดและระบบพวงมาลัยที่ออกแบบมาอย่างดี ช่วยให้จอดในที่แคบๆ ตามถนนหนาแน่นอย่างกรุงเทพฯ ได้สะดวก แถมยังดีไซน์ห้องขับสูง ทำให้มองเห็นสิ่งกีดขวางรอบๆ ได้ชัดเจนขึ้น รุ่นนี้ติดตั้งกล้องหลังและเซนเซอร์ช่วยจอด บางรุ่นอาจมีระบบกล้องรอบทิศทาง 360 องศา ทำให้การจอดรถง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนเพิ่งหัดขับ ในตลาดไทย XForce มีขนาดอยู่ระหว่าง SUV ขนาดเล็กกับครอสโอเวอร์ ให้ทั้งพื้นที่ภายในกว้างขวางและความคล่องตัว เวลาจอดข้างทางหรือในลานจอดห้างแบบหลายชั้นก็สะดวก แถมยังเหมาะกับสภาพอากาศไทยที่ทั้งร้อนและฝนชุก รุ่นที่มีกระจกมองหลังพับอัตโนมัติก็ใช้งานได้ดี ส่วนความสูงของตัวรถที่มากกว่ารถเก๋งแต่ก็ไม่สูงจนขึ้นลงลำบาก และถ้าต้องจอดข้างทางบ่อยๆ แนะนำให้เลือกระบบเตือนจุดบอด จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในถนนไทยที่มีมอเตอร์ไซค์เยอะ สรุปแล้ว XForce จอดง่ายระดับเดียวกับรถในกลุ่มเดียวกัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมืองแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดี
Q
Mitsubishi XForce 2025 เป็นรถไฟฟ้าหรือไม่?
Mitsubishi XForce ปี 2025 ไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้าล้วน แต่เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเดิมที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินไร้ระบบอัดอากาศขนาด 1.5 ลิตร และระบบเกียร์ CVT โดยมุ่งเน้นตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งถือเป็นรถ SUV ขนาดกะทัดรัดที่เหมาะสำหรับการขับขี่ทั้งในเมืองและชานเมือง แม้ว่า XForce ในปัจจุบันยังไม่มีรุ่นไฟฟ้า แต่ Mitsubishi ก็ได้นำเสนอรถยนต์พลังงานใหม่รุ่นอื่นๆ ในประเทศไทยแล้ว เช่น Outlander ปลั๊กอินไฮบริด และอาจพิจารณาเพิ่มตัวเลือกไฟฟ้าให้กับ XForce ในอนาคตตามความต้องการของตลาด รัฐบาลไทยกำลังส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า โดยให้เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์ หลายแบรนด์ เช่น BYD และ Great Wall Motors ได้เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทย และผู้บริโภคที่สนใจรถยนต์ SUV ไฟฟ้าควรพิจารณาแบรนด์เหล่านี้ ข้อได้เปรียบของ XForce ได้แก่ การประหยัดน้ำมันและระยะห่างจากพื้นสูง ทำให้เหมาะกับฤดูฝนของประเทศไทย ระบบเสียงที่ปรับแต่งโดย Yamaha และการออกแบบภายในที่ใช้งานได้จริงยังดึงดูดใจผู้บริโภครุ่นใหม่ในประเทศไทยอีกด้วย เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยได้รับการปรับปรุง ในอนาคตอาจมีการเปิดตัวรถยนต์ SUV ไฟฟ้าที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นมากขึ้น
ดูเพิ่มเติม