Q

ขนาดของ Honda Civic มีกี่รุ่น

Honda Civic มี 3 รุ่น ได้แก่ 1.5 Turbo EL+ , e:HEV EL+ และ e:HEV RS
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
ข้อเสียของ Honda City คืออะไร
Honda City แม้จะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง ผู้ใช้บางส่วนให้ความเห็นว่าการออกแบบภายในดูธรรมดา ขาดความแปลกใหม่และความหรูหราในด้านวัสดุและรายละเอียดการผลิต ระบบเครื่องเสียงและเชื่อมต่อต่าง ๆ ยังขาดความเสถียร โดยในบางครั้งเกิดปัญหาสัญญาณหลุดหรือค้าง โดยเฉพาะเมื่อชาร์จมือถือในช่วงฤดูร้อนที่มีความร้อนสูง ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อการเล่นเพลงและฟังก์ชันอื่น ๆ ระบบช่วงล่างทำงานได้ตามมาตรฐานทั่วไป เมื่อผ่านถนนขรุขระหรือทางลดความเร็ว รถจะมีอาการโยกคลอนชัดเจน ส่งผลต่อความสบายในการขับขี่และโดยสาร อย่างไรก็ตาม ข้อด้อยเหล่านี้ขึ้นอยู่กับมุมมองและความต้องการของแต่ละบุคคล ผู้ซื้อควรพิจารณาตามความชอบและความสำคัญส่วนตัวในการตัดสินใจเลือกซื้อรถ
Q
ฮอนด้า ซิตี้ อยู่ในเซกเมนต์ไหน
Honda City จัดอยู่ในกลุ่มตลาด C-Segment รุ่นนี้มีขนาดตัวถังค่อนข้างกะทัดรัดโดยมีความยาว 4580 หรือ 4589 มิลลิเมตร ความกว้าง 1748 มิลลิเมตร ความสูง 1467 หรือ 1480 มิลลิเมตร และฐานล้อยาว 2589 มิลลิเมตร ออกแบบเพื่อเน้นความคุ้มค่าในการใช้พื้นที่และความสะดวกสบายในการขับขี่ในชีวิตประจำวัน มีตัวเลือกขุมพลังหลายแบบทั้งเครื่องยนต์เบนซินและไฮบริดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ด้านอุปกรณ์มาตรฐานมีระบบความปลอดภัยอย่าง ABS และระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ บางรุ่นยังติดตั้งระบบความปลอดภัยและความสะดวกสบายระดับสูง ราคาจำหน่ายอยู่ระหว่าง 599000 ถึง 799000 บาท โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าครอบครัวทั่วไปและผู้ที่ต้องการรถใช้งานประจำวันในเมืองอย่างคุ้มค่า
Q
มูลค่าการขายต่อของ Honda City คืออะไร
Honda City ในฐานะรถยนต์ขนาดกะทัดรัดที่ได้รับความนิยมสูง มักมีอัตราการรักษามูลค่ารถมือสองที่ดี ตัวอย่างเช่น รุ่นปี 2020 Honda City RS เมื่อใช้งานปกติและระยะทางไม่เกิน 5 หมื่นกิโลเมตร หลังผ่านไป 3 ปี มีอัตรามูลค่าคงเหลือประมาณ 65 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่ารถที่มีราคาต้นทางราว 8 แสนบาท ยังสามารถขายต่อได้ในราคา 5 ถึง 5.6 แสนบาท มูลค่าคงเหลือขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ ระยะทางการใช้งาน ประวัติการดูแลรักษา และสภาพรถ รุ่นไฮบริด (e HEV) มักรักษามูลค่าได้ดีกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซินประมาณ 3 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ข้อมูลจากสมาคมประเมินราคายานยนต์ไทยหรือ TAVA ระบุว่า รถ Honda City ที่มีอายุ 5 ปี ยังรักษามูลค่าได้ประมาณ 50 ถึง 55 เปอร์เซ็นต์ ดีกว่ารถในกลุ่มเดียวกันรุ่นอื่น ๆ
Q
Honda City มีกี่ซีซี
Honda City รุ่นต่างๆ มีขนาดความจุกระบอกสูบแตกต่างกันไปบางรุ่นเครื่องยนต์เบนซินมีความจุ 988 มิลลิลิตร และบางรุ่นไฮบริด eHEV มีความจุ 1498 มิลลิลิตรโดยทั่วไปขนาดความจุกระบอกสูบจะส่งผลต่อสมรรถนะและอัตราการใช้น้ำมันเครื่องยนต์ขนาดเล็กกว่าเช่น 988 มิลลิลิตรจะเน้นความประหยัดน้ำมันเหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงขณะที่เครื่องยนต์ขนาด 1498 มิลลิลิตรให้กำลังที่มากกว่าเหมาะกับการขับขี่ที่ต้องการแรงบิดสูงเช่นการเร่งแซงหรือขึ้นทางชันผู้บริโภคจึงควรเลือกขนาดเครื่องยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการและรูปแบบการใช้งานในชีวิตประจำวันของตน
Q
เครื่องยนต์ของ Honda City คืออะไร
Honda City มีเครื่องยนต์ให้เลือกหลากหลายรุ่นบางรุ่นมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 10 ลิตร VTEC Turbo แบบ 3 สูบพร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า กำลังสูงสุด 90 กิโลวัตต์ที่ 5500 รอบต่อนาทีแรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตรที่ 4500 รอบต่อนาทีอีกรุ่นคือ eHEV ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 15 ลิตรแบบไม่มีระบบอัดอากาศหรือเครื่องอัดอากาศแบบตามธรรมชาติให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้ากำลังสูงสุด 72 กิโลวัตต์ที่ 6400 รอบต่อนาทีแรงบิดสูงสุด 127 นิวตันเมตรที่ 5000 รอบต่อนาทีเมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้สมรรถนะโดยรวมที่ทรงพลังยิ่งขึ้นเครื่องยนต์เหล่านี้มีเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ตอบสนองการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีโดยบางรุ่นยังผสานนวัตกรรมที่เน้นทั้งสมรรถนะและการประหยัดพลังงานควบคู่กับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Q
เกียร์ของ Honda City เป็นแบบไหน
Honda City ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยปัจจุบันมีระบบเกียร์ให้เลือก 2 แบบตามประเภทของขุมพลังรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 15 ลิตรเช่นรุ่น SV และ RS มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่พัฒนาโดย Honda ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มนวลในการเร่งความเร็วและประหยัดน้ำมันเหมาะอย่างยิ่งกับการใช้งานในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นอย่างกรุงเทพฯส่วนรุ่นไฮบริด eHEV ใช้ระบบเกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติแบบ ECVT ที่ทำงานต่างจาก CVT ทั่วไปโดยอาศัยการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวและเครื่องยนต์เพื่อควบคุมการจ่ายกำลังซึ่งเป็นจุดแข็งของเทคโนโลยีไฮบริดจาก Honda ผู้บริโภคในไทยควรทราบว่าไม่ว่าจะเป็นเกียร์ CVT หรือ ECVT ทาง Honda แนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก 40000 กิโลเมตรหรือทุก 2 ปีตามสภาพอากาศร้อนในไทยและในช่วงฤดูฝนควรตรวจสอบการซีลของระบบเกียร์เป็นพิเศษเพราะจะส่งผลต่ออายุการใช้งานของเกียร์และมูลค่าขายต่อของรถในอนาคตโดยตรง
Q
PCD Size ของ Honda City คืออะไร
Honda City ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและรุ่นไฮบริดใช้ล้อแม็กที่มีค่า PCD หรือระยะรูน็อตเป็น 4x1143 หมายถึงมีรูน็อต 4 รูเรียงบนวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1143 มิลลิเมตรซึ่งเป็นสเปกเดียวกับรถญี่ปุ่นรุ่นนิยมในไทยอย่าง Nissan Almera และ Mitsubishi Attrage ทำให้สะดวกในการเลือกเปลี่ยนล้อหรือยางอะไหล่สำหรับเจ้าของรถในประเทศไทยนอกจากค่า PCD แล้วควรตรวจสอบค่าหลักอื่นๆ ได้แก่รูดุมล้อหรือ Center Bore ขนาด 641 มิลลิเมตรเกลียวน็อตขนาด M12x15 และค่า Offset ที่แนะนำให้อยู่ในช่วงบวก 40 ถึง 50 เนื่องจากถนนในหลายจังหวัดของไทยมีสภาพไม่ราบเรียบแนะนำให้เลือกล้อแม็กขนาด 15 ถึง 16 นิ้ว J6 ถึง J7 แบบน้ำหนักเบาหรือฟอร์จเพื่อให้เหมาะสมกับระบบช่วงล่างและรองรับถนนในฤดูฝนได้ดียิ่งขึ้นหากต้องการเปลี่ยนแม็กในไทยควรซื้อจากร้านค้าที่จำหน่ายล้อที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือ TISI เช่นแบรนด์ Racing Star หรือ RS Wheels เพื่อไม่ให้มีปัญหาในการตรวจสภาพรถประจำปี
Q
รถ Honda City มี Apple Carplay ไหม
Honda City ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและรุ่นไฮบริด eHEV ในรุ่นกลางถึงรุ่นท็อปเช่นรุ่น RS มาพร้อมฟังก์ชัน Apple CarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐานโดยสามารถเชื่อมต่อ iPhone แบบไร้สายผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วช่วยให้ผู้ขับขี่ใช้งานแผนที่เพลงและโทรศัพท์ได้สะดวกมากขึ้นในสภาพการจราจรที่หนาแน่นของประเทศไทยCarPlay ต้องใช้ iPhone ที่มีระบบปฏิบัติการ iOS 90 ขึ้นไประบบรถยนต์ในเวอร์ชันไทยยังรองรับเมนูภาษาไทยและมีตัวเลือกแผนที่ที่ปรับให้เหมาะกับการใช้งานในประเทศสำหรับรุ่นล่างอย่าง SV ที่ไม่มี CarPlay จากโรงงานสามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้ที่ร้านอัปเกรดรถยนต์เฉพาะทางในเมืองใหญ่เช่นศูนย์เครื่องเสียงใน Fortune Town กรุงเทพหรือร้านประดับยนต์ในเชียงใหม่เนื่องจากอากาศร้อนในไทยอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แนะนำให้ใช้ที่ยึดโทรศัพท์กับช่องแอร์เพื่อช่วยระบายความร้อนและตรวจสอบความเสถียรของพอร์ต USB ที่ศูนย์บริการฮอนด้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ใช้งาน CarPlay ได้อย่างราบรื่นหากต้องขับในพื้นที่ห่างไกลเป็นเวลานานควรดาวน์โหลดแผนที่แบบออฟไลน์ล่วงหน้าเนื่องจากบางพื้นที่ชนบทอาจไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต 4G ครอบคลุมเพียงพอ
Q
รถ Honda City เป็นรถที่ดีหรือไม่ เรียนรู้ข้อดีและข้อเสียที่นี่
Honda City เป็นรถที่น่าสนใจและมีจุดเด่นหลายด้านด้านดีไซน์ภายนอกเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้นโดยเฉพาะรุ่น City Hatchback ที่มาพร้อมกระจังหน้าแบบ Honey Comb กันชนหน้าใหม่และแถบตกแต่ง Honda Solid Wing สีดำแบบใหม่ที่มีขนาดเล็กลงไฟท้ายแบบสามมิติรมดำพร้อมสปอยเลอร์ดีไซน์สปอร์ตและล้อสีดำทั้งชุดให้ความรู้สึกดุดันภายในห้องโดยสารมีการเพิ่มรายละเอียดการตัดเย็บบริเวณแผงประตูพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วรุ่นย่อยบางรุ่นรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สายพร้อมแท่นชาร์จไร้สายอุปกรณ์ความปลอดภัยจัดเต็มทุกรุ่นด้วยระบบ Honda Sensing ที่มีฟังก์ชันช่วยขับขี่เช่นกล้องมองหลังและระบบเตือนรถออกนอกเลนช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานแต่อาจมีข้อจำกัดบางประการเช่นพื้นที่ภายในไม่ได้กว้างขวางเท่ารุ่นที่เน้นเรื่องความจุเป็นหลักและระบบเกียร์ CVT บางรุ่นอาจตอบสนองได้ไม่ทันใจในจังหวะขับขี่แบบเร่งเร้าโดยรวมแล้ว Honda City เป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันและเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าน่าพิจารณา
Q
ราคาภาษีรถยนต์ของ Honda City คือเท่าไหร่ วิธีการคำนวณอย่างไร
การคำนวณภาษีรถยนต์สำหรับ Honda City ในประเทศไทยขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบและอายุการใช้งานตามหลักเกณฑ์ของกรมการขนส่งทางบกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินจะคิดภาษีโดย 1000cc แรกคิดที่ 2 บาทต่อ cc และส่วนที่เกิน 1000cc ถึง 1500cc คิดที่ 3 บาทต่อ cc ดังนั้นรุ่นเครื่องยนต์ 15 ลิตรหรือ 1497cc จะเสียภาษีปีละ 1000 คูณ 2 เท่ากับ 2000 บวก 497 คูณ 3 เท่ากับ 1491 รวมเป็น 3491 บาทสำหรับรุ่นไฮบริด eHEV ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 15 ลิตรเช่นกันจะได้รับส่วนลดภาษี 20 เปอร์เซ็นต์ตามนโยบายส่งเสริมรถพลังงานใหม่ทำให้จ่ายจริงเพียง 2792 บาทภาษีรถยนต์ต้องชำระก่อนวันครบอายุทะเบียนในแต่ละปีที่สำนักงานขนส่งจังหวัดหรือผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หากล่าช้าจะมีค่าปรับวันละ 1 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมาไทยมีนโยบายเพิ่มภาษีตามอายุรถกรณีรถมีอายุมากกว่า 10 ปีอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได 5 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ผู้ใช้รถในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM25 สูงเช่นกรุงเทพฯควรเก็บเอกสารผลตรวจไอเสียผ่านมาตรฐานไว้เพื่อแสดงเมื่อมีการตรวจสอบแม้อัตราภาษีจะเท่ากันทั่วประเทศแต่การจดทะเบียนในชื่อบริษัทสามารถใช้เป็นเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มได้บางส่วน

ข้อดี

พื้นที่ภายในรถกว้างขวางและสบาย
ระบบดีเซลที่มีประสิทธิภาพและเต็มไปด้วยเทคโนโลยี รุ่น RS ยอดนิยมมีชุดสไตล์กีฬารอบคัน RS ซึ่งประกอบด้วยกริดหน้าของรถสีดำและกระจกข้าง กันชนหน้าสไตล์กีฬา ไฟหน้า LED ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด พร้อมกับไฟวิ่งกลางวันและไฟหมอก LED
ภายในรถเรือนสวยงามและมีอุปกรณ์ครบครัน มีบรรยากาศกีฬาในรถ มีหน้าจอวิทยุชั้นสูงที่สามารถสัมผัสได้ 8 นิ้ว สนับสนุน Apple CarPlay และมีระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT
เครื่องยนต์ที่แข็งแรง DOHC VTEC TURBO ขนาด 1.0 ลิตรแบบ 3 ลูกสูบ 12 วาล์ว ที่ 5500 รอบ/นาทีมีกำลังสูงสุดถึง 122 ม้า ซึ่งเป็นค่าที่สุดในหมวดเดียวกัน

ข้อเสีย

ความสบายและความสะดวกสบายมีข้อจำกัด
ประสิทธิภาพที่ความเร็วต่ำน้อย
ราคาสูงถึง 739000 บาท ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน และคู่แข่งมีระบบที่ไม่เยี่ยมเท่า City
ระบบความปลอดภัยไม่พอ ในด้านความปลอดภัย City แย่กว่าคู่แข่ง รุ่นใหม่ของ City ไม่มีชุด Honda Sensing เท่าที่มีเพียงระบบความปลอดภัยพื้นฐาน

Q&A ล่าสุด

Q
วันที่วางจำหน่ายของ Ford Everest คือเมื่อไร?
Ford Everest ที่จำหน่ายในประเทศไทยมักมีการเปลี่ยนโฉมและอัปเดตรุ่นพร้อมกับตลาดโลก โดยรุ่นใหม่ล่าสุดได้เปิดตัวในปี 2022 และวางขายอย่างเป็นทางการในไทยแล้ว สำหรับรุ่นที่มีขายอยู่ในปัจจุบันอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อยตามปีผลิต (Year Model) ทาง Ford Thailand ยังมีการปรับแต่งรุ่นย่อยหรือออกเวอร์ชันพิเศษตามความนิยมของผู้บริโภคในไทย เช่น รุ่นตกแต่งพิเศษ หรือปรับออปชันประจำปีให้ตอบโจทย์มากขึ้น หากใครสนใจซื้อ แนะนำให้เข้าไปที่โชว์รูม Ford ที่ได้รับอนุญาต เพื่อสอบถามข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับรุ่นและโปรโมชั่น หรือสามารถติดตามข่าวสารผ่านเว็บไซต์ทางการของ Ford Thailand และโซเชียลมีเดียของแบรนด์ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อนชื้น ผู้ผลิตรถยนต์จึงมักมีการปรับแต่งระบบระบายความร้อน ระบบแอร์ และการเคลือบกันสนิมเพิ่มเติม เพื่อให้ตัวรถทนทานต่อสภาพอากาศร้อนและชื้นได้ดียิ่งขึ้น.
Q
วันที่เปิดตัวของ Ford Everest คือเมื่อไร?
Ford Everest ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยจะมีการอัปเดตและเปลี่ยนโฉมใกล้เคียงกับตลาดโลก โดยรุ่นใหม่ล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2022 และเข้ามาขายในไทยเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม รุ่นที่ขายในปัจจุบันอาจมีการปรับรายละเอียดตามปีผลิต (Year Model) ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ทาง Ford ประเทศไทยมักจะมีการปรับแต่งรุ่นย่อยหรือเพิ่มรุ่นพิเศษเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย เช่น การตกแต่งภายในเฉพาะรุ่น สีพิเศษ หรือชุดแต่งเพิ่มเติม ผู้ที่สนใจซื้อควรติดต่อศูนย์จำหน่ายที่ได้รับอนุญาตของ Ford เพื่อสอบถามข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับรุ่น ปี และราคา หรือสามารถติดตามข่าวสารผ่านเว็บไซต์ทางการของ Ford Thailand และช่องทางโซเชียลมีเดียของบริษัท เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อนชื้น รถที่ขายในไทยจึงมักมีการปรับปรุงระบบระบายความร้อน ระบบแอร์ และการป้องกันสนิมเพิ่มเติม เพื่อให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนและความชื้นสูงของบ้านเรา ทำให้ใช้งานได้ทนทานยิ่งขึ้น.
Q
Ford Everest คุ้มค่าจะซื้อไหม?
Ford Everest ถือเป็นรถ SUV ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานทั้งทางออฟโรดและครอบครัว ซึ่งเหมาะกับสภาพถนนในประเทศไทยอย่างมาก ด้วยโครงสร้างตัวถังแบบแชสซีส์ (ไม่ใช่แบบโมโนค็อก) และระบบ Terrain Management ที่ช่วยให้ขับผ่านถนนลูกรังหรือในฤดูฝนได้อย่างมั่นใจ ระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,923 มม. ทำให้มีที่นั่งแบบ 3 แถว รองรับการใช้งานของครอบครัวใหญ่ได้สบาย โดยเฉพาะในการเดินทางไกลหรือท่องเที่ยวในต่างจังหวัด ด้านเครื่องยนต์ Ford Everest ใช้เครื่องดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบคู่ ให้กำลัง 180 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ช่วยให้ประหยัดน้ำมันและมีพละกำลังเพียงพอในการลากจูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ในไทยให้ความสำคัญ ระบบความบันเทิง SYNC 4 ยังรองรับคำสั่งเสียงภาษาไทย และแผนที่นำทางที่อัปเดตสำหรับการใช้งานในประเทศ โดยรวมถือว่าใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ในกลุ่มรถระดับเดียวกัน Everest มีจุดเด่นตรงความสามารถในการลุยน้ำลึกถึง 800 มม. ซึ่งเหนือกว่าคู่แข่งหลายรุ่น อีกทั้งศูนย์บริการของ Ford ก็ครอบคลุมแทบทุกจังหวัด ทำให้เรื่องการซ่อมบำรุงไม่ใช่ปัญหา สำหรับผู้ที่สนใจ แนะนำให้ลองขับจริง โดยเฉพาะบนเส้นทางภูเขาอย่างที่เชียงใหม่ เพื่อดูประสิทธิภาพของระบบช่วยควบคุมการไต่เขา และอย่าลืมตรวจสอบข้อกำหนดด้านการตรวจสภาพรถดีเซลตามกฎหมายไทย โดยรวมแล้ว Ford Everest เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า เหมาะกับคนที่ต้องการรถใช้งานอเนกประสงค์แบบลุยได้ และยังมีราคาขายต่อที่ดีเมื่อเทียบกับรถแนวเมืองทั่วไป แต่ก็ควรดูแลระบบขับเคลื่อน 4 ล้อให้พร้อมใช้งานเสมอ.
Q
Ford Everest กินน้ำมันเท่าไหร่?
ประสิทธิภาพการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของ Ford Everest ในประเทศไทยจะแตกต่างกันไปตามรุ่นและสภาพการขับขี่ โดยทั่วไปรุ่นที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร จะสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 9-10 ลิตร/100 กม. ในสภาพการขับขี่ในเมือง และอาจลดลงเหลือ 7-8 ลิตร/100 กม. เมื่อขับบนทางหลวง ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตรจะสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าเล็กน้อย ข้อมูลที่แน่นอนสามารถตรวจสอบได้จากข้อมูลรับรองอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยมีอากาศร้อนและมีการจราจรติดขัดบ่อยครั้ง แนะนำให้เจ้าของรถบำรุงรักษารถอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำความสะอาดไส้กรองอากาศและรักษาความดันลมยางให้เหมาะสม ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการสิ้นเปลืองน้ำมันได้ นอกจากนี้ ในประเทศไทยมีสถานีบริการบางแห่งที่จำหน่ายเชื้อเพลิงไบโอดีเซล B7 หรือ B20 ซึ่งเครื่องยนต์ดีเซลของ Ford Everest สามารถใช้เชื้อเพลิงประเภทนี้ได้ แต่ควรเลือกใช้ตามคำแนะนำของผู้ผลิตเพื่อรักษาสมรรถนะของเครื่องยนต์ หากต้องการลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น ลองขับด้วยความเร็วคงที่และคาดการณ์สถานการณ์การจราจรเพื่อหลีกเลี่ยงการเบรกกระทันหัน ซึ่งเทคนิคการขับขี่เหล่านี้จะมีประโยชน์อย่างยิ่งในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นเช่นกรุงเทพฯ
Q
ขนาดล้อของ Ford Everest คือเท่าไหร่?
Ford Everest ที่จำหน่ายในตลาดประเทศไทยมีขนาดล้อที่แตกต่างกันตามรุ่นและออปชัน โดยทั่วไปจะมีขนาด 17 นิ้ว และ 18 นิ้ว ซึ่งบางรุ่นที่เป็นตัวท็อปอาจมาพร้อมล้อที่ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานในสภาพถนนที่หลากหลาย ในบริบทของประเทศไทยที่มีทั้งภูเขาและถนนในชนบท ล้อขนาดใหญ่จะช่วยเพิ่มระยะห่างจากพื้นถึงตัวรถ (ground clearance) ทำให้ขับผ่านทางขรุขระได้ดีขึ้น แต่ก็อาจส่งผลให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลงเล็กน้อย ดังนั้นควรเลือกขนาดล้อให้เหมาะกับการใช้งานจริง หากขับขี่ในเมืองเป็นหลัก ล้อขนาด 17 นิ้ว จะให้ความสบายในการขับขี่และประหยัดน้ำมันมากกว่า ส่วนล้อขนาด 18 นิ้ว จะเหมาะกับคนที่ชอบรูปลักษณ์สปอร์ตและอาจขับรถลุยเป็นครั้งคราว ในช่วงฤดูฝนของไทย ควรให้ความสำคัญกับดัชนีความทนทานของยาง (treadwear rating) และประสิทธิภาพการรีดน้ำของดอกยาง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่บนถนนเปียก ผู้แทนจำหน่าย Ford ที่ได้รับอนุญาตมักจะมีบริการอัปเกรดล้อแท้จากโรงงาน ซึ่งรับประกันความเข้ากันได้และความปลอดภัย นอกจากนี้ควรตรวจเช็คลดการสึกของยาง และทำการตั้งศูนย์ล้ออย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานและรักษาความปลอดภัยในการขับขี่.
ดูเพิ่มเติม