Q

Chery Tiggo 7 Pro เป็นรถยนต์ SUV หรือไม่?

ใช่ Chery Tiggo 7 Pro เป็นรถยนต์ประเภท SUV โดยจัดอยู่ในกลุ่มคอมแพกต์ SUV ที่มาพร้อมดีไซน์ทันสมัย เช่น กระจังหน้าทรงหลายเหลี่ยมขนาดใหญ่ จับคู่กับไฟหน้า LED แบบมัลติรีเฟลกเตอร์ ให้ความรู้สึกล้ำสมัย ด้านข้างตัวถังออกแบบด้วยหลังคาแบบลอยตัว ช่วยให้เส้นสายด้านข้างดูยาวและสปอร์ตมากขึ้น ส่วนไฟท้ายแบบ LED พาดยาวแนวขอบฝากระโปรงหลังเพิ่มความโดดเด่นและจดจำได้ง่าย ภายในห้องโดยสารมาในสไตล์ค็อกพิทแบบล้อมรอบ เน้นความล้ำด้วยดีไซน์จอแสดงผล 3 หน้าจอแบบอินเทอร์แอคทีฟ เสริมบรรยากาศไฮเทค ด้านขุมพลังมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Tiggo 7 Pro จึงเป็นตัวเลือกที่มีความสามารถในการแข่งขันในตลาด SUV และมอบทางเลือกที่น่าสนใจให้กับผู้บริโภค
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
ถังน้ำมันใน tiggo 7 มีขนาดเท่าไหร่
ความจุถังน้ำมันของ Chery Tiggo 7 โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 57 ลิตร อย่างไรก็ตาม ในการเติมน้ำมันจริงอาจเติมได้ไม่เต็มตามตัวเลขนี้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ความจุของถังน้ำมันมีผลโดยตรงต่อระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ต่อการเติมหนึ่งครั้ง ถังขนาด 57 ลิตรช่วยให้ Tiggo 7 สามารถวิ่งได้ไกลเมื่อเติมเต็มถัง ลดความถี่ในการเติมน้ำมัน อย่างไรก็ดี ระยะทางที่วิ่งได้จริงยังขึ้นอยู่กับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมการขับขี่และสภาพถนน เช่น หากขับแบบเร่งเครื่องหรือเบรกกระทันหันบ่อย ๆ หรือขับในสภาพรถติด อัตราสิ้นเปลืองจะสูงขึ้น ส่งผลให้วิ่งได้น้อยลง หากขับอย่างนุ่มนวล รักษาความเร็วให้เหมาะสม ก็จะช่วยลดการสิ้นเปลืองและเพิ่มระยะทางการวิ่งของรถได้
Q
"Chery Tiggo 7 มีแรงม้าเท่าไหร่"
Chery Tiggo 7 มีตัวเลือกขุมพลังหลากหลาย โดยแต่ละรุ่นมาพร้อมกำลังเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน เครื่องยนต์เบนซิน 1.5T เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร รอบกำลังสูงสุดอยู่ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดอยู่ในช่วง 1,750–4,000 รอบ/นาที โดยใช้ระบบหัวฉีดมัลติพอยต์ ฝาสูบทำจากอะลูมิเนียม และเสื้อสูบทำจากเหล็กหล่อ ให้ความทนทานที่ดี ส่วนเครื่องยนต์ 1.6T เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์ หรือประมาณ 197 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 290 นิวตันเมตร สามารถให้กำลังขับเคลื่อนที่มากกว่า รองรับการใช้งานของผู้ขับขี่ที่ต้องการสมรรถนะด้านกำลังที่สูงขึ้น ผู้บริโภคสามารถเลือกตามลักษณะการขับขี่และความต้องการ เช่น หากต้องการความคุ้มค่าและใช้งานทั่วไป อาจเลือกเครื่องยนต์ 1.5T แต่หากต้องการกำลังเครื่องยนต์ที่มากขึ้น อาจพิจารณาเครื่องยนต์ 1.6T แทน
Q
Chery Tiggo เป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่?
Chery Tiggo ไม่ใช่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบทั้งหมด ยกตัวอย่างรุ่น Tiggo Cross ที่วางจำหน่ายในบางประเทศ จะมีเวอร์ชันที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ แบบไม่มีเทอร์โบ จับคู่กับเกียร์ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า และยังมีรุ่นเทอร์โบให้เลือกด้วย แต่ในประเทศไทย Chery มุ่งเน้นกลยุทธ์ด้านรถพลังงานใหม่ โดยในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2025 ได้มีการนำ Tiggo Cross รุ่นไฮบริดเวอร์ชันก่อนวางจำหน่ายจริงมาโชว์ ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยช่วงปลายปี รุ่นไฮบริดนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนที่ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พลังรวมสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. อยู่ที่ 10.8 วินาที นอกจากนี้ Chery ยังมีรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในไทยอย่าง OMODA C5 EV และ JAECOO 6 EV แต่สำหรับตระกูล Tiggo ยังไม่สามารถถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เนื่องจากมีทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและไฮบริด เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
Q
รถประเภทใดคือ Chery Tiggo 7 Pro?
Chery Tiggo 7 Pro จัดอยู่ในกลุ่มรถ SUV ขนาดคอมแพกต์ มาพร้อมดีไซน์ที่ทันสมัยและให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง ด้านหน้าติดตั้งกระจังหน้าขนาดใหญ่จับคู่กับไฟหน้าแบบเมทริกซ์ โดยในบางรุ่นกระจังหน้าจะเป็นลวดลายจุด พร้อมตกแต่งด้วยกรอบโครเมียมเพิ่มความหรูหรา ด้านข้างมีเส้นสันข้างตัวถังที่คมชัดต่อเนื่องถึงท้ายรถ เสา D ตกแต่งด้วยสีดำให้ลุคหลังคาลอย พร้อมราวหลังคาสีเงินเสริมความอเนกประสงค์ ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้ายแบบพาดยาวเชื่อมทั้งสองฝั่ง ส่วนท่อไอเสียออกแบบเป็นแบบออกคู่ด้านเดียวทั้งซ้ายและขวา ภายในห้องโดยสารได้แรงบันดาลใจจากการออกแบบของ Range Rover และ Jaguar ใช้วัสดุแบบซอฟต์ทัชและกระบวนการผลิตแบบ TPO เพิ่มความพรีเมียม บางรุ่นมาพร้อมหน้าจอแสดงผลดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอกลางขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจอควบคุมแอร์แบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับการทำงานแบบ 3 หน้าจอเชื่อมต่อ เพิ่มความล้ำสมัยให้กับห้องโดยสาร ด้านขุมพลัง มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.6TGDI เทคโนโลยี ACTECO เจเนอเรชันที่ 3 ของ Chery จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด และรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 1.5T จับคู่กับเกียร์ CVT เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หลากหลาย
Q
Tiggo 7 เป็นรถ hybrid หรือไม่
ว่า Tiggo 7 เป็นรถยนต์ไฮบริดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยและอุปกรณ์ที่ติดตั้งในแต่ละรุ่น รถยนต์ไฮบริดคือรถยนต์ที่ผสานข้อดีของเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งสามารถเปลี่ยนแหล่งพลังงานได้อัตโนมัติตามสภาพการขับขี่ต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษ Tiggo 7 มีหลายรุ่น หากเป็นรุ่นที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป จะใช้เพียงเครื่องยนต์เบนซินแบบดั้งเดิมในการขับเคลื่อน จึงไม่ใช่รถยนต์ไฮบริด แต่หากมีรุ่นไฮบริดพิเศษที่ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและระบบแบตเตอรี่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทำงานร่วมกันระหว่างระบบน้ำมันและไฟฟ้าได้ ก็ถือเป็นรถยนต์ไฮบริด ควรตรวจสอบคู่มือรถหรือสอบถามตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้แน่ใจว่า Tiggo 7 รุ่นใดเป็นรถยนต์ไฮบริด
Q
Tiggo 7 Pro เป็นรถที่นั่ง 7 ที่นั่งหรือไม่?
ไม่ใช่ครับ ไทโก 7 โปร ไม่ใช่รถยนต์เจ็ดที่นั่ง โดยทั่วไปแล้วจะมีรูปแบบการจัดวางที่นั่งห้าที่นั่ง การจัดวางแบบนี้เป็นที่พบได้บ่อยในรถยนต์รุ่น SUV หลายรุ่น และให้ความสะดวกสบายในการรองรับครอบครัวขนาดเล็กหรือกลุ่มผู้โดยสาร การจัดวางที่นั่งห้าที่นั่งช่วยให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับผู้โดยสาร ในขณะที่ยังคงรักษาความสมดุลในด้านขนาดรถและการขับขี่ ด้วยการจัดวางแบบนี้ ไทโก 7 โปรสามารถตอบสนองความต้องการในการเดินทางประจำวันและการเดินทางทั่วไปของผู้ใช้ส่วนใหญ่ได้ การเข้าใจความจุของผู้โดยสารเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเลือกรถยนต์ เนื่องจากจะกำหนดจำนวนผู้โดยสารที่สามารถขนส่งได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาความต้องการในการใช้งานเฉพาะของคุณ เช่น จำนวนผู้โดยสารปกติ เมื่อประเมินว่าไทโก 7 โปรเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณหรือไม่
Q
Tiggo 7 Pro มีความเร็วสูงสุดเท่าไหร่
ความเร็วสูงสุดของ Chery Tiggo 7 Pro จะแตกต่างกันเล็กน้อยตามตลาดและชุดขุมพลังที่ติดตั้ง สำหรับเวอร์ชันที่จำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5T เทอร์โบ (156 แรงม้า) โดยทั่วไปมีการจำกัดความเร็วด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่ที่ประมาณ 185–190 กม./ชม. (ไม่มีข้อมูลตัวเลขอย่างเป็นทางการจากผู้ผลิต) ทั้งนี้ ความเร็วจริงอาจมีความคลาดเคลื่อนขึ้นอยู่กับน้ำหนักบรรทุก สภาพถนน และอุณหภูมิแวดล้อม รุ่นนี้ใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ซึ่งออกแบบมาเพื่อความนุ่มนวลในการขับขี่มากกว่าการเร่งในความเร็วสูง ดังนั้นเมื่อใช้ความเร็วสูง การเร่งแซงอาจไม่ได้ตอบสนองฉับไวเท่าระบบเกียร์แบบสปอร์ต สิ่งที่ควรระวังคือ กฎหมายจราจรของประเทศไทยกำหนดความเร็วสูงสุดบนทางหลวงไว้ที่ 120 กม./ชม. ดังนั้นในการขับขี่จริงควรยึดตามกฎหมายและคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก จุดเด่นของรถรุ่นนี้อยู่ที่ความคล่องตัวในการขับขี่ในเมือง และความประหยัดน้ำมันจากการจับคู่ระหว่างเครื่องยนต์ 1.5T กับเกียร์ CVT ซึ่งมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6.5–7.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หากต้องการสมรรถนะที่มากกว่า อาจพิจารณารุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรที่วางจำหน่ายในบางประเทศ แต่สำหรับตลาดไทย ขณะนี้มีเพียงรุ่น 1.5T เท่านั้น นอกจากนี้ เนื่องจากสภาพอากาศร้อนของประเทศไทย อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของเครื่องยนต์เมื่อใช้งานต่อเนื่องในรอบสูง จึงไม่แนะนำให้ขับที่ความเร็วสูงสุดเป็นเวลานาน
Q
Chery Tiggo 7 Pro วิ่งกี่กิโลเมตรต่อลิตรหนึ่ง?
ความประหยัดน้ำมันของ Chery Tiggo 7 Pro อาจแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย เช่น ลักษณะการขับขี่ สภาพถนน และน้ำหนักบรรทุกของรถ จึงเป็นเรื่องยากที่จะระบุระยะทางที่วิ่งได้ต่อเชื้อเพลิง 1 ลิตรอย่างแม่นยำ โดยทั่วไปแล้ว ข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ผู้ผลิตระบุไว้จะได้จากการทดสอบภายใต้มาตรฐานเฉพาะ เช่น NEDC (New European Driving Cycle) ซึ่งเป็นการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ สำหรับรุ่น Tiggo 7 Plus บางรุ่น มีอัตราสิ้นเปลืองที่ระบุไว้ประมาณ 9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือเฉลี่ยประมาณ 11 กิโลเมตรต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานจริง อัตราสิ้นเปลืองมักจะสูงกว่าค่าที่ได้จากการทดสอบ หากต้องการทราบข้อมูลที่ใกล้เคียงกับการใช้งานจริงมากขึ้น แนะนำให้ตรวจสอบจากคู่มือผู้ใช้ของรถ หรือสอบถามข้อมูลจากตัวแทนจำหน่าย Chery ในพื้นที่ของคุณ ซึ่งอาจให้ข้อมูลตามประสบการณ์จริงได้แม่นยำยิ่งขึ้น
Q
ความแตกต่างระหว่าง Tiggo 7 และ 8 คืออะไร?
Tiggo 8 จัดอยู่ในกลุ่มรถ SUV ขนาดกลาง ส่วน Tiggo 7 เป็น SUV ขนาดคอมแพกต์ โดย Tiggo 8 มีขนาดตัวถังใหญ่กว่า โดยมีความยาว x กว้าง x สูง เท่ากับ 4700 x 1860 x 1746 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2710 มิลลิเมตร ส่วน Tiggo 7 มีขนาด 4500 x 1842 x 1746 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2670 มิลลิเมตร ในด้านดีไซน์ภายนอก Tiggo 7 มาพร้อมกระจังหน้าลายจุด เส้นสายเรียบลื่นในสไตล์คูเป้ ดูทันสมัยและมีความสปอร์ต ส่วน Tiggo 8 ใช้กระจังหน้ารูปแบบฝังในแบบเมทริกซ์ พร้อมดีไซน์ด้านหน้าทรงเตี้ยรับกับกระจังสีดำและแถบโครเมียม เสริมความหรูหรา โดยด้านข้างมีแถบโครเมียมบนหลังคาที่ต่อเนื่องถึงเสา D ภายในห้องโดยสาร Tiggo 8 เน้นความหรูหรายิ่งขึ้น ด้วยแผงหน้าปัดแบบลอยตัวทรงโอบล้อม เบาะนั่งใช้วัสดุนุ่มสบาย ส่วน Tiggo 7 มีดีไซน์ที่เรียบง่ายและดูเป็นระเบียบ ในด้านขุมพลัง Tiggo 7 PRO รุ่นใหม่เพิ่มตัวเลือกเครื่องยนต์ 1.6T จับคู่กับเกียร์ DCT ขณะที่รุ่น 1.5 ลิตรปรับจากเกียร์ DCT เป็นเกียร์ CVT ส่วน Tiggo 8 บางรุ่นใช้เครื่องยนต์ 1.6T ที่มีสมรรถนะดี พร้อมอุปกรณ์อัจฉริยะ เช่น ระบบควบคุมเสถียรภาพ Bosch ESP9.3 รุ่นใหม่ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่
Q
อะไรคือแผนบำรุงรักษาสำหรับ Chery Tiggo 7?
แผนการบำรุงรักษารถ Chery Tiggo 7 ดังนี้: กำหนดให้เช็คระยะแรกเมื่อใช้งานครบ 5000 กิโลเมตร จากนั้นเข้ารับบริการทุก ๆ 5000 กิโลเมตร โดยทางผู้ผลิตมีบริการตรวจเช็คฟรี 1 ครั้ง ซึ่งรวมค่าน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเครื่อง และค่าแรง สำหรับรายการบำรุงรักษา น้ำมันเครื่องแนะนำให้เปลี่ยนทุก 8000 กิโลเมตรหรือทุก 6 เดือน พร้อมตรวจสอบการรั่วซึมและเติมระดับหากจำเป็น น้ำมันเบรกควรเปลี่ยนทุก 20000–40000 กิโลเมตรหรือทุก 2 ปี น้ำยาหล่อเย็นควรเปลี่ยนทุก 10000 กิโลเมตรหรือทุก 1–2 ปี และน้ำมันไฮดรอลิกแนะนำให้เปลี่ยนปีละครั้งหรือทุก 10000 กิโลเมตร สำหรับแบตเตอรี่ควรใช้หลอดทดลองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5N6 มิลลิเมตร ตรวจสอบระดับน้ำโดยนำขึ้นจากช่องเติมในแนวดิ่ง ปิดปลายด้านบนด้วยนิ้วโป้ง แล้ววัดระดับของเหลวให้อยู่ระหว่าง 10N15 มิลลิเมตร การบำรุงรักษาตามระยะเหล่านี้จะช่วยให้รถคงประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน

ข้อดี

ผลการทดสอบการชนที่ดี ดูแลความปลอดภัยให้ดี
ตัวรถที่ดี ให้การควบคุมและความสบายที่ดี
มีคุณสมบัติบันเทิงและความสะดวกในการขับขี่มากมาย
ลักษณะดี ดูสไตล์และทนทาน

ข้อเสีย

รุ่นแรกมีความจำกัดในการเลือกระบบขับเคลื่อน
ไม่มีคุณสมบัติที่โดดเด่น
บางส่วนของส่วนภายในใช้พลาสติกแข็ง

Q&A ล่าสุด

Q
แรงม้าของรถ Ferrari 812 Superfast มีเท่าใด
Ferrari 812 Superfast คือซูเปอร์คาร์สุดแรงที่มาพร้อมสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ขุมพลังใต้กระโปรงเป็นเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอทโมสเฟียร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดเกิน 340 กม./ชม. รุ่นนี้เป็นที่นิยมมากในตลาดรถซูเปอร์คาร์ของไทย โดยเฉพาะสำหรับการขับขี่บนทางด่วนรอบกรุงเทพฯ หรือสนามแข่ง สำหรับแฟนๆรถไทยแล้ว 812 Superfast ไม่เพียงเป็นตัวแทนของความปรารถนาในพลังอันสุดขั้วของเฟอร์รารี่เท่านั้น แต่ยังแสดงถึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของซูเปอร์คาร์อิตาลีผ่านการออกแบบเลย์เอาต์เครื่องยนต์ V12 หน้าและรูปทรงตัวรถที่ลื่นไหล แม้ในสภาพอากาศร้อนจัดของไทย ระบบระบายความร้อนและระบบช่วงล่างของรถคันนี้ก็ยังทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม มั่นใจได้ถึงความมั่นคงแม้ขับแบบสุดเหวี่ยง นอกจากนี้ Ferrari ยังมีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย พร้อมบริการหลังการขายที่ครบวงจร ทั้งการบริการประจำปีและการสนับสนุนทางเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เจ้าของรถสามารถสนุกไปกับการขับขี่ได้แบบไม่ต้องกังวล ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในรถซูเปอร์คาร์ 812 Superfast ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ไม่เพียงเพราะพลังที่เหนือชั้น แต่ยังรวมถึงการควบคุมที่แม่นยำและความหรูหราที่มาพร้อมกันในระดับสุดยอด
Q
Ferrari 812 Superfast มีความเร็วเท่าไหร่
Ferrari 812 Superfast คือซูเปอร์คาร์ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอสไพรัลธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. รุ่นนี้เป็นที่จับตามองในตลาดรถหรูของไทย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบความมันส์แบบสุดๆ แม้ว่าบนถนนทั่วไปในไทยอาจไม่สามารถดึงความเร็วสุดขีดของมันออกมาได้เต็มที่ แต่ถ้าได้ลงสนามแข่งอย่างบูรีรัมย์อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต 812 Superfast จะโชว์ฟอร์มได้อย่างเต็มสูบ แถมยังมาพร้อมดีไซน์แอโรไดนามิกและเทคโนโลยีพวงมาลัยหลังที่ช่วยให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงมีความมั่นคงและแม่นยำ ทำให้มันเป็นหนึ่งในรถระดับตำนานที่ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ สำหรับคนไทยการได้เป็นเจ้าของรถคันนี้ไม่ใช่แค่ได้ใช้พลังของซูเปอร์คาร์ระดับเทพ แต่ยังได้สัมผัสความหรูและความเร่าร้อนแบบฉบับเฟอร์รารี่ เพียงแต่เวลาขับบนถนนจริงต้องระวังกฎจราจรและสภาพถนนในไทยให้ดี จะได้ขับได้อย่างปลอดภัยและสนุกสุดเหวี่ยง
Q
เครื่องยนต์ Ferrari 812 Superfast มีอะไร
Ferrari 812 Superfast ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอสพีเรต ที่ออกแบบด้วยมุมระนาบ 65 องศา ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดพีค 718 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์ 7 ความเร็วแบบ DUAL-CLUTCH เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 340 กม./ชม. แสดงถึงสุดยอดเทคโนโลยีเครื่องยนต์แอสพีเรตของ Ferrari เครื่องยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมระบบปรับเปลี่ยนรูปทรงท่อไอดีและระบบจัดการแรงบิดแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยให้การขับขี่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพการขับขี่ สำหรับแฟนๆรถไทย แม้ 812 Superfast อาจจะยากที่จะดึงประสิทธิภาพออกมาได้เต็มที่บนถนนเมืองไทย แต่เสียงเครื่องที่ดุดันและประสบการณ์การขับที่สมบูรณ์แบบก็ยังเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เครื่องยนต์แอสพีเรตให้ความรู้สึกการเร่งแบบลื่นไหลและเสียงเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ในรอบสูง ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ Ferrari ยังคงยึดมั่นกับเครื่องยนต์แอสพีเรตขนาดใหญ่ นอกจากนี้ เทคโนโลยีเครื่องยนต์ของ 812 Superfast ยังแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Ferrari ที่มีต่อระบบขับเคลื่อนแบบดั้งเดิม แม้ในยุคที่รถไฟฟ้ากำลังมาแรง แต่เครื่องยนต์แบบนี้ก็ยังคงเป็นสุดยอดแห่งเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน
Q
Ferrari 812 Superfast เปิดตัวเมื่อไหร่
Ferrari 812 ซูเปอร์ฟาสต์ เปิดตัวครั้งแรกในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ปี 2017 และวางจำหน่ายในปีเดียวกัน รุ่นนี้ถือเป็นรถยนต์ที่มาทดแทน F12berlinetta โดยติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบสูบธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. ซึ่งแสดงถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของ Ferrari ในด้านเครื่องยนต์แบบสูบธรรมชาติดั้งเดิม สำหรับตลาดไทย 812 Superfast ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักขับระดับสูงด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นและการออกแบบสไตล์อิตาเลียนที่โดดเด่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการขับขี่ในสนามแข่งมาตรฐานสูงรอบๆ กรุงเทพฯ หรือการสะสมเป็นรถส่วนตัว สำหรับคนไทยแล้ว รุ่นนี้ไม่เพียงเป็นตัวแทนของประสบการณ์การขับที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Ferrari ที่ยังคงพัฒนารถซูเปอร์คาร์ด้วยเครื่องยนต์ V12 แบบคลาสสิก แม้ว่าปัจจุบันเทรนด์รถไฟฟ้าจะมาแรง แต่ 812 Superfast ยังคงเป็นสุดยอดรถสปอร์ตเครื่องยนต์สันดาปที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ
Q
ความแตกต่างระหว่าง Ferrari 812 Superfast และ GTS คืออะไร
ความแตกต่างหลักระหว่าง Ferrari 812 Superfast กับรุ่น GTS อยู่ที่การออกแบบหลังคา โดย 812 Superfast เป็นคูเป้หลังคาคงที่ ส่วนรุ่น GTS เป็นเวอร์ชันเปิดประทุนที่มีระบบหลังคาแบบพับได้ที่สามารถเปิด-ปิดได้ภายใน 14 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 45 กม./ชม. ทำให้ผู้ขับขี่ในสภาพอากาศร้อนของไทยสามารถเลือกที่จะรับแสงแดดหรือหาที่ร่มได้ตามใจชอบ ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์เบนซิน V12 6.5 ลิตรเท่ากัน ให้กำลังสูงถึง 800 แรงม้า แต่รุ่น GTS มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 75 กิโลกรัมจากโครงสร้างเสริมสำหรับระบบเปิดประทุน ทำให้ความเร็วสูงสุดลดลงเล็กน้อยเหลือ 340 กม./ชม. ซึ่งไม่ส่งผลมากนักกับการขับขี่ปกติในชีวิตประจำวัน สำหรับประเทศไทยแล้ว รุ่น GTS น่าจะได้รับความนิยมมากกว่าเพราะเหมาะทั้งกับการขับในเมืองที่การจราจรหนาแน่นและการขับเลียบชายทะเลเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาหรือหัวหิน ที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ได้มากกว่า ส่วนการตกแต่งภายในและเทคโนโลยีต่างๆในทั้งสองรุ่นแทบไม่ต่างกัน ล้วนใช้ระบบช่วยขับขี่สมัยใหม่และวัสดุหรูหราเหมือนกัน เพียงแต่รุ่น GTS มีการปรับปรุงระบบกันเสียงเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะกับการเป็นรถเปิดประทุน สำหรับคนไทยแล้ว การเลือกระหว่างสองรุ่นนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและสถานการณ์ใช้งานเป็นหลัก เพราะต้องยอมรับว่าการขับรถเปิดประทุนรับลมร้อนชื้นแบบไทยๆนั้นเป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน
ดูเพิ่มเติม