Q
“ราคา Aston Martin DB12 Convertible ปี 2025 เท่าไหร่?”
ตอนนี้ทาง Aston Martin ยังไม่ได้ประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการสำหรับรุ่น DB12 Volante ปี 2025 แต่ถ้าดูจากราคาเริ่มต้นของรุ่น DB12 คูเป้ปี 2024 ที่ประมาณ 24.5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.7 ล้านบาท) คาดว่ารุ่นเปิดประทุนน่าจะมีราคาสูงกว่า อยู่ที่ประมาณ 28-30 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 10-11 ล้านบาท) รุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังสูงสุด 680 แรงม้า เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในประมาณ 3.6 วินาที เป็นรุ่นแรกของแบรนด์ที่ติดตั้งระบบดิฟเฟอเรนเชียลหลังแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบช่วงล่างปรับอัตโนมัติ พร้อมฟีเจอร์เทคโนโลยีเช่นหน้าจอกลางขนาด 10.25 นิ้วและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ ในตลาดไทย รถหรูระดับนี้มักจะมีค่าภาษีนำเข้าและภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มเติม แนะนำให้ยืนยันราคาที่ดินสุดท้ายผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่าง Ferrari Roma Spider หรือ McLaren 765LT Spider แล้ว DB12 Volante ให้ความรู้สึกแบบ Grand Touring ที่เน้นความสบายและการตกแต่งภายในแบบหรูหราสไตล์อังกฤษ ผ้าใบหลังคาแบบอ่อนสามารถเปิด-ปิดได้ภายใน 14 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. เหมาะสมกับการใช้งานในสภาพอากาศร้อนแบบบ้านเราเป็นอย่างดี
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto
Q&A เกี่ยวข้อง
Q
DB12 เป็นซูเปอร์คาร์หรือไม่?
Aston Martin DB12 นี่คือซูเปอร์คาร์ตัวจริง เครื่องยนต์ 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.5 วินาที เผยประสิทธิภาพระดับสปอร์ตที่ทรงพลังสมคำร่ำลือ แถมยังมาพร้อมกับโครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบาและเทคโนโลยีแอโรไดนามิกขั้นสูง ทำให้การขับขี่ตอบสนองทุกการบังคับแบบเป๊ะๆ โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนแบบไทย ระบบระบายความร้อนของ DB12 ออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม รองรับการขับขี่แบบสปอร์ตแม้ในอุณหภูมิสูงก็ยังคงความเสถียรได้เต็มที่
ช่วงหลังมานี้ซูเปอร์คาร์เริ่มเป็นที่นิยมในไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และภูเก็ต สำหรับ DB12 แล้วไม่ใช่แค่เรื่องสปีดแต่ดีไซน์ระดับพรีเมียมและความหรูหราก็เป็นจุดขายที่ดึงดูดสายลุยจริงๆ ถ้าคุณเป็นคนนึงที่หลงใหลในความเร็วและเทคโนโลยี ขอบอกว่า DB12 คือตัวเลือกที่คุ้มค่ามาก เพราะรวมทุกอย่างทั้งสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และความอินเทรนด์ไว้ในคันเดียว
Q
ความแตกต่างระหว่าง Aston Martin DB12 และ Lamborghini Urus คืออะไร?
Aston Martin DB12 กับ Lamborghini Urus เป็นรถสองรุ่นที่มีตำแหน่งทางการตลาดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง DB12 เป็นรถ GT คูเป้หรูระดับสูง ส่วนอูรัสเป็น SUV ประสิทธิภาพสูง จุดต่างหลักๆ อยู่ที่ประเภทรถ ระบบขับเคลื่อนและประสบการณ์การขับขี่ DB12 ใช้เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังสูงสุด 680 แรงม้า เน้นความสบายในการเดินทางไกลและการออกแบบที่หรูหรา เหมาะกับการขับท่องเที่ยวบนทางหลวงหรือเส้นทางชายทะเลของไทย ส่วน Urus ใช้เครื่องยนต์เดียวกันแต่ให้กำลัง 641 แรงม้า ด้วยความสูงของตัวรถและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้เหมาะกับสภาพถนนซับซ้อนของไทยหรือการขับออฟโรด เช่น ถนนเขาที่เชียงใหม่หรือถนนลื่นในช่วงฤดูฝน นอกจากนี้ DB12 มีการจัดวางเบาะนั่งแบบ 2+2 และอินทีเรียร์ที่เน้นความคลาสสิก ในขณะที่ Urus เป็น SUV 5 ที่นั่งที่มีพื้นที่กว้างขวางกว่าและดีไซน์อินทีเรียร์ที่ทันสมัยกว่า สำหรับผู้บริโภคไทย ถ้าชอบความสนุกในการขับและความประหยัดพื้นที่ในชีวิตประจำวัน Urus น่าจะเหมาะกว่า แต่ถ้าชอบสไตล์อังกฤษคลาสสิกและการเดินทางไกล DB12 ก็เป็นตัวเลือกที่ดี สิ่งที่จำเป็นบอกว่า ตลาดรถหรูในไทยโตเร็วมากในปีที่ผ่านมา แบรนด์สุด Exclusive ทั้ง Aston และ Lamborghini ต่างก็มีบริการปรับแต่งให้เหมาะกับสภาพอากาศและถนนไทย เช่น ระบบแอร์ที่แรงขึ้นหรือการป้องกันตัวถัง นี่ก็เป็นปัจจัยที่ผู้ซื้อควรพิจารณา
Q
“DB12 มีระบบ Launch Control ไหม?”
Aston Martin DB12 นั้นมาพร้อมกับระบบ Launch Control ที่ทันสมัย ระบบนี้จะควบคุมรอบเครื่องยนต์และจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำ แม้ในสภาพอากาศร้อนของไทยก็ยังช่วยให้การยึดเกาะดีที่สุด โดยเฉพาะเหมาะกับการขับบนสนามแข่งรอบกรุงเทพฯ หรือเส้นทางบนดอยในเชียงใหม่ เมื่อระบบทำงานจะประสานกับระบบควบคุมเสถียรภาพและระบบกระจายแรงบิด เพื่อแปลงพลัง 671 แรงม้าจากเครื่อง V8 เทอร์โบคู่ 4.0 ลิตร ให้เป็นความเร่งอย่างมีประสิทธิภาพ ตามข้อมูลทางการสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที สำหรับคนรักรถในไทยที่อยากใช้ระบบนี้ ควรระวังเรื่องอุณหภูมิดอกยาง แนะนำให้ปิดแอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ก่อนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งควรตรวจสอบสภาพน้ำมันเกียร์แบบคลัตช์คู่เป็นประจำ ระบบประสิทธิภาพสูงแบบนี้มักมีกลไกป้องกันหลายชั้น หากเซ็นเซอร์ตรวจพบว่าชุดขับเคลื่อนร้อนเกินไป ระบบจะลดกำลังลงอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย
Q
ราคา DB12 Volante เท่าไหร่?
Aston Martin DB12 Volante เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนหรูระดับไฮเอนด์ ราคาในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 25-30 ล้านบาท โดยราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เสริมที่เลือก อัตราแลกเปลี่ยน และภาษีนำเข้า แนะนำให้สอบถามราคาล่าสุดจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยรถคันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ส่วนหลังคาแบบนิ่มใบสามารถเปิด-ปิดได้ภายใน 14 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. เหมาะอย่างยิ่งกับสภาพอากาศอบอุ่นและการขับขี่ตามถนนชายฝั่งของไทย ในตลาดไทย DB12 Volante มีคู่แข่งอย่าง Ferrari Roma Spider และ Bentley Continental GT Convertible แต่ Aston Martin ยังคงดึงดูดผู้บริโภคระดับสูงด้วยสไตล์อังกฤษอันเป็นเอกลักษณ์และบริการปรับแต่งด้วยตนเองแบบมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ควรระวังเรื่องภาษีนำเข้ารถหรูในไทยที่ค่อนข้างสูง ทำให้ราคาสุดท้ายอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวรถ แนะนำให้ศึกษานโยบายภาษีให้ละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ และควรซื้อผ่านช่องทางทางการเพื่อรับบริการหลังการขายและประกันที่ครอบคลุม
Q
คู่แข่งของ Aston Martin DB12 คือใคร?
Aston Martin DB12 ในฐานะรถ GT คูเป้หรูระดับไฮเอนด์ ในตลาดประเทศไทยมีคู่แข่งสำคัญอย่าง Ferrari Roma Bentley Continental GT และ Mercedes AMG GT รุ่นเหล่านี้ต่างโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่หรูหรา ประสิทธิภาพสูง และห้องโดยสารอันเลิศหรู เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ในไทยที่ต้องการทั้งความสนุกในการขับขี่และความประหยัดในชีวิตประจำวัน Ferrari Roma ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่หลงใหลในความสปอร์ตและพันธุกรรมอิตาเลียน ขณะที่ Bentley Continental GT ให้ความสำคัญกับความหรูหราสไตล์อังกฤษและความสะดวกสบาย ส่วน AMG GT นั้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีเยอรมันที่ลงตัวระหว่างสมรรถนะและความใช้งานได้จริง
ในประเทศไทย สภาพอากาศร้อนและถนนที่หลากหลายสร้างความท้าทายให้กับระบบระบายความร้อนและระบบช่วงล่าง รถทุกรุ่นจึงถูกออกแบบมาเพื่อรองรับอุณหภูมิสูง พร้อมทั้งมีตัวเลือกยางและระบบกันสะเทือนที่เหมาะกับสภาพถนนไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีอากรขาเข้าสำหรับรถหรูในอัตราที่ค่อนข้างสูง ทำให้ราคาของรถเหล่านี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ลูกค้าจึงให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ชอบ บริการปรับแต่งเฉพาะบุคคล รวมถึงเครือข่ายบริการหลังการขาย
จุดที่น่าสนใจคือ คนไทยกลุ่มไฮโซมักมองว่ารถเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคม Aston Martin DB12 และคู่แข่งจึงถูกออกแบบมาให้มีความเอกลักษณ์และความพิเศษเฉพาะตัว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนรวยที่ต้องการแสดงออกถึงรสนิยมอันแตกต่าง
Q
"กลุ่มเจ้าของรถ Aston Martin DB12 มีอะไรบ้าง"
เจ้าของรถ Aston Martin DB12 ส่วนใหญ่เป็นคอรถหรูระดับสูงที่ไล่ล่าความสมบูรณ์แบบทั้งในด้านความสะดวกสบายและสมรรถนะ ด้วยความเป็นตัวแทนของรถ GT คูเป้อังกฤษสุดหรู รุ่นนี้มักเป็นที่นิยมในกลุ่มนักธุรกิจมืออาชีพ นักสะสมรถ และผู้ที่คลั่งไคล้รถสปอร์ตสมรรถนะสูง สำหรับตลาดไทย DB12 ก็เป็นที่ชื่นชอบของชนชั้นสูงในท้องถิ่นเช่นเดียวกับนักเลงรถยนต์ โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบดีไซน์อังกฤษคลาสสิกแต่ยังคงให้ความสำคัญกับประสบการณ์การขับขี่ Aston Martin DB12 มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 671 แรงม้า แสดงสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ขณะที่ภายในห้องโดยสารใช้วัสดุหนังคุณภาพสูงและการตกแต่งอย่างประณีต ผสมผสานระหว่างความหรูหราและสปิริตรักความเร็วได้อย่างลงตัว ในไทย รถ GT สุดหรูแบบนี้มักปรากฏตัวในงานสังคมระดับสูงของกรุงเทพฯ หรือตามสถานที่รีสอร์ทหรูอย่างถนนเลียบชายทะเลภูเก็ตหรือหัวหิน กลายเป็นจุดดึงดูดสายตาไม่น้อย สิ่งที่น่าสังเกตว่า ตลาดไทยมีความต้องการรถยนต์นำเข้าหรูระหงอยู่มาก แบรนด์อย่าง Aston Martin เองก็มีเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายและบริการหลังการขายที่ครบครัน เพื่อให้เจ้าของรถได้รับประสบการณ์การใช้งานและการดูแลที่ได้มาตรฐานสากล สำหรับผู้บริโภคไทย การเลือก DB12 ไม่ใช่แค่การเป็นเจ้าของรถสปอร์ตสมรรถนะสูง แต่ยังเป็นการแสดงถึงรสนิยมและสถานะทางสังคมอีกด้วย
Q
DB12 เป็นรถ GT ใช่ไหม?
Aston Martin DB12 คือหนึ่งในรถ GT (Grand Tourer) ระดับหรูที่ผสมผสานระหว่างดีไซน์คลาสสิกของแบรนด์กับเทคโนโลยีสมัยใหม่และสมรรถนะสูง เหมาะมากสำหรับการขับขี่ระยะไกลในไทย เช่น การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปหัวหินหรือเชียงใหม่อย่างสบายๆ ด้วยระบบขับเคลื่อนอันทรงพลัง ภายในห้องโดยสารที่ออกแบบมาอย่างประณีต และระบบกันเสียงที่ยอดเยี่ยม ทำให้ DB12 เป็น GT ในอุดมคติที่ทั้งให้ความสนุกในการขับและความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสาร
ในประเทศไทย รถ GT ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะความหลากหลายในการใช้งาน ทั้งการขับขี่ในเมืองและการท่องเที่ยวในวันหยุด รถ GT มักเน้นที่ความหรูหราและประสบการณ์การขับขี่ ซึ่ง DB12 ทำได้ดีเยี่ยมด้วยดีไซน์ที่รวมเอาสมรรถนะการขับขี่และความสบายสำหรับการเดินทางไกลไว้ด้วยกัน ทำให้เหมาะกับสภาพถนนและสถานการณ์การขับขี่ที่หลากหลายของไทย
ถ้าคุณสนใจรถ GT แบบนี้ ลองมองหาโมเดลอื่นๆ ที่คล้ายกันดูก็ได้ เพราะมีหลายรุ่นในหลายราคาและสไตล์ให้เลือกตามความต้องการของผู้ขับขี่ที่แตกต่างกันไป
Q
DB12 หรือ Vantage อันไหนเร็วกว่า?
ในสภาพอากาศร้อนและถนนที่ซับซ้อนของประเทศไทย ประสิทธิภาพของ Aston Martin DB12 และ Vantage น่าจับตามอง DB12 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร Twin-Turbo ให้กำลังสูงสุด 680 แรงม้า เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.5 วินาที ส่วน Vantage ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตรเดียวกัน แต่ปรับกำลังมาที่ 535 แรงม้า เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.6 วินาที ดังนั้น DB12 จะเหนือกว่าเล็กน้อยในด้านความเร็วเชิงเส้น อย่างไรก็ตาม Vantage ที่มีน้ำหนักเบากว่าและการตั้งค่าแบบขับเคลื่อนล้อหลังอาจให้ความสนุกในการขับขี่มากกว่าในเส้นทางคดเคี้ยวอย่าง Mae Hong Son Loop ที่เชียงใหม่ สิ่งที่น่าสนใจคือทั้งสองรุ่นก็ติดตั้งระบบระบายความร้อนที่ทันสมัย สามารถรับมือกับอุณหภูมิสูงของไทยได้ดี แนะนำให้เจ้าของรถในไทยพิจารณานอกเหนือจากความเร็วแล้ว ควรดูการใช้ชีวิตประจำวันด้วย DB12 เหมาะกับการขับทางไกลเพื่อแสวงหาประสบการณ์ GT ที่หรูหรามากกว่า ขณะที่ Vantage เน้นความสนุกสนานในการขับขี่ที่บริสุทธิ์มากกว่า
Q
DB12 มีกำลังเท่าไหร่?
Aston Martin DB12 มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า แรงบิดพีค 800 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.5 วินาที แสดงศักยภาพที่ยอดเยี่ยม ในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบไทย ระบบระบายความร้อนและการตั้งค่าเครื่องยนต์ของ DB12 ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในสภาพถนนที่ทั้งร้อนและชื้น แถมยังมีอินทีเรียร์สุดหรูและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะที่เหมาะกับการใช้งานในเมืองติดขัดอย่างกรุงเทพฯ สำหรับคนไทยแล้ว DB12 ไม่ใช่เพียงรถ GT สปอร์ตสมรรถนะสูง แต่ยังตอบโจทย์การขับขี่ในชีวิตประจำวันได้ดี แถมดีไซน์คลาสสิกและแบรนด์มูลค่าสูงยังเป็นจุดขายที่ดึงดูดตลาดไฮเอนด์ในไทย อย่างไรก็ตาม ไทยมีการเก็บภาษีนำเข้ารถหรูในอัตราที่ค่อนข้างสูง ทำให้ราคา DB12 ในไทยจะสูงกว่าตลาดอื่น แต่ก็ยังเป็นที่นิยมในหมู่คนรักรถที่ไล่ล่าสไตล์อังกฤษสุดเอกลักษณ์และสมรรถนะอันยอดเยี่ยม
Q
ราคา Aston Martin DB12 Volante ปี 2025 อยู่ที่เท่าไร?
สำหรับรถยนต์รุ่น Aston Martin DB12 Volante รุ่นปี 2025 ที่จะวางจำหน่ายในตลาดไทย คาดว่ามีราคาอยู่ที่ประมาณ 25-28 ล้านบาท (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เสริม อัตราแลกเปลี่ยน และภาษี) รุ่นคันทุปิดเปิดหลังคาชนิดสปอร์ต GT คันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที โดยระบบหลังคาแบบผ้าใบสามารถเปิดปิดได้ในเวลา 14 วินาที ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศร้อนของไทย เบาะหนังหรูจาก Bridge of Weir และระบบความบันเทิงล่าสุด พร้อมระบบปรับอากาศและระบายอากาศเบาะที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสภาพอากาศร้อน อย่างไรก็ตาม รถยนต์นำเข้าประเภทซูเปอร์คาร์ในไทยต้องเสียภาษีรวมประมาณ 300% (รวมภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต และ VAT) และการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ อาจส่งผลต่อประสบการณ์การขับขี่แบบเปิดหลังคา แนะนำให้ผู้สนใจตรวจสอบราคาสุดท้ายและอุปกรณ์เสริมผ่านช่องทางทางการ พร้อมคำนึงถึงสภาพการเก็บรักษาในช่วงฤดูฝน ในราคาใกล้เคียงกันยังมีตัวเลือกอื่นๆ เช่น Ferrari Roma Spider หรือ McLaren GT รุ่นเปิดหลังคา แต่ DB12 Volante ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายในการเดินทางระยะยาวและสไตล์ความคลาสสิกแบบอังกฤษมากกว่า
Q&A ล่าสุด
Q
รถยนต์ Ford Mustang Convertible ปี 2025 มีราคาเท่าไหร่?
Ford Mustang รุ่นปี 2025 แบบเปิดประทุนในตลาดสหรัฐฯ มีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 42,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.5 ล้านบาท) แต่ราคาสุดท้ายในตลาดประเทศไทยอาจสูงกว่านี้อย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากต้องรวมค่าภาษีนำเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าขนส่ง และค่าบริการของตัวแทนจำหน่าย โดยเฉพาะรุ่นเปิดประทุนที่มีโครงสร้างเสริมความแข็งแรงและระบบผ้าใบเปิด-ปิดอัตโนมัติ มักจะมีราคาสูงกว่ารุ่นปกติประมาณ 10-15%
Mustang รุ่นนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2.3T EcoBoost หรือ 5.0L V8 เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมอุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น หน้าจอแสดงผลดิจิทัลและระบบสารสนเทศบันเทิง SYNC 4 สำหรับคนที่ชอบรถ Muscle Car แบบอเมริกันแต่มีงบจำกัด อาจลองพิจารณาช่องทางนำเข้าแบบคู่ขนานหรือรอโปรโมชั่นจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และควรเปรียบเทียบความคุ้มค่ากับรถสปอร์ตญี่ปุ่นในราคาใกล้เคียงอย่างโตโยต้า Supra
ส่วนค่าดูแลรักษา Mustang จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารถเก๋งทั่วไปเล็กน้อย โดยเฉพาะรุ่น V8 ที่ต้องใช้เชื้อเพลิงระดับสูงและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องบ่อยครั้งกว่า
Q
รถ Mercedes-Benz CLE Cabriolet ปี 2025 มีราคาเท่าไหร่?
รถเปิดประทุน Mercedes-Benz CLE Cabriolet รุ่นปี 2025 คาดว่าจะมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 4.5 ล้านบาท โดยราคาสุดท้ายอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เสริมที่เลือกและนโยบายของตัวแทนจำหน่าย รุ่นใหม่ล่าสุดนี้มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 258 แรงม้า คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6 วินาที พิเศษสำหรับสภาพอากาศร้อนในไทยด้วยระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูงและผ้าใบกันรังสียูวี ที่นั่งมารองรับอย่างดีจาก CLK และ E-Class Cabriolet พร้อมระบบความบันเทิง MBUX รุ่นล่าสุดที่รองรับการควบคุมด้วยเสียงภาษาไทย และปรับตั้งช่วงล่างให้เหมาะกับสภาพถนนในประเทศ คู่แข่งหลักในตลาดได้แก่ BMW 4 Series Cabriolet และ Audi A5 Cabriolet แต่ CLE Cabriolet เอาชนะด้วยระยะฐานล้อที่ยาวกว่าให้พื้นที่เบาะหลังกว้างขวางขึ้น สำหรับการใช้รถเปิดประทุนในเมืองร้อน แนะนำให้เลือกเพิ่มระบบเป่าคอร้อนและผ้าใบคุณภาพสูงทนทาน ปัจจุบัน Mercedes-Benz มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ พร้อมให้บริการทดลองขับและเสนอโปรแกรมจัดไฟแนนซ์แบบครบวงจร
Q
“รถ Audi A5 Convertible ปี 2025 ราคาเท่าไหร่?”
ราคาของ Audi A5 Cabriolet รุ่นปี 2025 ในประเทศไทยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.5 - 4.5 ล้านบาท โดยราคาสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เสริมที่เลือก สเปคเครื่อง และโปรโมชั่นจากตัวแทนจำหน่าย รุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0 TFSI เทอร์โบชาร์จ ที่มีให้เลือกสองแบบคือแบบ 190 แรงม้าและ 245 แรงม้า ทำงานคู่กับเกียร์ 7 จังหวะ S tronic และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ที่ช่วยให้การขับขี่สมรรถนะสูงและการควบคุมที่น่าประทับใจ ส่วนหลังคาสามารถเปิด-ปิดได้ภายใน 15 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในสภาพอากาศร้อนของไทยเป็นอย่างดี ด้านในตกแต่งด้วยระบบ Virtual Cockpit แบบใหม่ของ Audi พร้อมหน้าจอแสดงผลดิจิตอล 12.3 นิ้วและหน้าจอสัมผัส 10.1 นิ้ว ที่รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ้าของรถคันนี้ในช่วงฤดูฝนควรระวังเรื่องการอุดตันของท่อระบายน้ำ และควรบำรุงรักษาระบบหลังคาเป็นประจำเพื่อความทนทาน ส่วนคู่แข่งในตลาดได้แก่ BMW 4 Series Cabriolet และ Mercedes-Benz C-Class Cabriolet แต่ Audi A5 ยังคงมีความได้เปรียบในเรื่องเทคโนโลยีและราคาที่คุ้มค่ากว่า
Q
รถ Porsche รุ่นไหนที่เป็นแบบเปิดประทุน?
ปัจจุบันรถเปิดประทุนของ Porsche ที่วางขายในตลาดหลักๆ ก็จะมีรุ่น 718 Boxster และ 911 Cabriolet ที่มาพร้อมกับหลังคาแบบผ้าใบคลาสสิก สามารถเปิด-ปิดได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที เหมาะมากสำหรับขับลมร้อนในเมืองไทย รุ่น 718 Boxster นี่จัดเป็นสปอร์ตคาร์ขนาดกลาง มาพร้อมเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ 4 หรือ 6 สูบ ให้ความรู้สึกการขับที่คล่องตัว ราคาก็เข้าถึงง่ายกว่า เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคนที่อยากเริ่มใช้รถเปิดประทุนสปอร์ต ส่วน 911 Cabriolet นี่จัดหนักกว่าเป็นสปอร์ตคาร์สมรรถนะสูง ติดตั้งเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ 6 สูบ ให้พลังทำเนียบขาวและความหรูหราระดับพรีเมียม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความมันส์ขั้นสุดในการขับขี่ นอกจากนี้รถเปิดประทุนของ Porsche ทุกรุ่นยังมาพร้อมเทคโนโลยีช่วงล่างอันล้ำสมัยและระบบช่วยขับขี่ที่ช่วยให้มั่นใจในความปลอดภัยและความสบายแม้จะเปิดประทุนอยู่ สำหรับการดูแลรักษา แนะนำให้ตรวจสอบกลไกหลังคาผ้าใบเป็นประจำและทำความสะอาดบ่อยๆ จะช่วยยืดอายุการใช้งาน ส่วนใครที่ชอบความเฉพาะตัว Porsche ก็มีตัวเลือกออปชั่นเสริมมากมาย ทั้งสีหลังคาและวัสดุภายในรถ สามารถปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์ส่วนตัวได้แบบไม่มีใครเหมือน
Q
Subaru Forester 2020 เป็นรถที่ดีหรือไม่?"
Subaru Forester 2020 เป็น SUV ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานบนหลากหลายเส้นทาง ด้วยเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ฮอไรซอนทัลและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อฟูลไทม์ที่โดดเด่น ช่วยให้การควบคุมมีความมั่นคงและออฟโรดได้อย่างเหนือชั้น โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนหรือถนนลูกรังจะรู้สึกถึงความแตกต่างชัดเจน ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สามารถพับเบาะหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของสูงสุดถึง 1,776 ลิตร เหมาะสำหรับครอบครัวหรือขนของชิ้นใหญ่ ระบบช่วยขับขี่ EyeSight มาพร้อมฟังก์ชันครุยส์คอนโทรลและเบรกอัตโนมัติเมื่อเจอวัตถุข้างหน้า เพิ่มความปลอดภัยให้การเดินทาง แต่ต้องยอมรับว่าเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร แบบแอทโมสเฟียร์ให้ความรู้สึกเรียบๆ เหมาะกับการใช้งานประจำวันมากกว่าการขับสปอร์ต ในตลาดมือสอง ค่าซื้อขายอยู่ในระดับปานกลาง ค่าบำรุงรักษาสูงกว่ารถญี่ปุ่นรุ่นเดียวกันเล็กน้อย แต่หาอะไหล่ไม่ยาก ถ้าเทียบกับฮอนด้า CR-V หรือโตโยต้า RAV4 แล้ว Forester จะเหมาะกับคนที่เน้นความรู้สึกในการขับและความสามารถออฟโรดมากกว่า ถ้าคุณเป็นคนชอบทริปยาวหรือกิจกรรมกลางแจ้ง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและความประหยัดพื้นที่ของรุ่นนี้น่าคิด แต่ก่อนตัดสินใจแนะนำให้ลองขับดูก่อนเพื่อเช็คความรู้สึกของช่วงล่างว่าเข้ากับสไตล์คุณหรือเปล่า
ดูเพิ่มเติม


ข้อดี
ข้อเสีย