Q

Dodge RAM 2500 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล กินน้ำมันมากแค่ไหน?

การบริโภคน้ำมันของรุ่น Dodge RAM 2500 รุ่นดีเซลได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เช่น แบบการขับขี่ สภาพถนน น้ำหนักบรรทุกของรถ เป็นต้น โดยทั่วไป เมื่อขับในสภาพถนนเมือง จะใช้น้ำมันประมาณ 17 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หากขับด้วยความเร็วคงที่ อัตราการใช้น้ำมันจะลดลงเหลือประมาณ 14 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร บนทางหลวง หากรักษาความเร็วที่ประมาณ 100 กม./ชม. จะใช้น้ำมันประมาณ 13 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร แต่หากความเร็วถึง 120 กม./ชม. และรอบเครื่องต่ำกว่า 2,000 รอบ/นาที อัตราการใช้น้ำมันจะลดลงเหลือประมาณ 12 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร นอกจากนี้ มีเจ้าของรถบางรายที่ขับด้วยวิธีประหยัดและสภาพถนนดี สามารถใช้น้ำมันเฉลี่ยบนทางหลวงเพียง 11 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร สรุปแล้ว อัตราการใช้น้ำมันของ RAM 2500 ดีเซลจะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ การใช้น้ำมันจริงขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
Ram 2500 6.4 Hemi เป็นเครื่องยนต์ที่ดีหรือไม่
เครื่องยนต์ 6.4 HEMI ของ Ram 2500 เป็นอีกหนึ่งขุมพลังที่น่าสนใจ ด้วยขนาดความจุ 6,392 ซีซี ให้กำลังสูงสุดที่รอบเครื่องยนต์ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดที่รอบ 4,000 รอบ/นาที พร้อมจำนวนกระบอกสูบทั้งหมด 8 สูบ จึงสามารถมอบพละกำลังที่แข็งแกร่ง รองรับทั้งงานบรรทุกหนักและการใช้งานในสภาพถนนที่สมบุกสมบันได้อย่างมั่นใจ ในด้านการใช้งานจริง เครื่องยนต์นี้ให้การตอบสนองดีเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นการลากจูงหรือวิ่งบนเส้นทางทุรกันดาร อีกทั้งยังเป็นเครื่องยนต์ที่มีเทคโนโลยีผ่านการพัฒนาและใช้งานมายาวนาน ให้ความเชื่อมั่นในเรื่องของความทนทานและลดโอกาสในการซ่อมบำรุง ภายในรถยังมาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยที่ครบครัน เช่น ถุงลมนิรภัยและระบบเบรก ABS เพื่อปกป้องผู้โดยสารในทุกการเดินทาง ขณะที่อุปกรณ์ด้านความสะดวกสบาย เช่น ระบบปรับอากาศและระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ก็ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายและความสะดวกในการขับขี่อีกด้วย
Q
ความแตกต่างระหว่าง 2500 HD และ 3500HD ล้อหลังเดียวคืออะไร?
Ram 2500 HD และ Ram 3500 HD มีความแตกต่างหลักในด้านความสามารถในการบรรทุก น้ำหนักลากจูง และความแข็งแรงของแชสซี Ram 3500 HD มีความสามารถในการรองรับน้ำหนักบรรทุก (Payload) และน้ำหนักลากจูง (Towing) ที่สูงกว่า เหมาะสำหรับการใช้งานหนัก เช่น การลากรถบ้านขนาดใหญ่หรือเทรลเลอร์หนัก โดยรุ่นนี้มักมาพร้อมระบบกันสะเทือนด้านหลังที่แข็งแรงกว่า เช่น การใช้ล้อหลังคู่ (Dually) หรือแหนบเหล็กแบบเสริมพิเศษ เพื่อรองรับน้ำหนักที่มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบแล้ว Ram 2500 HD เหมาะกับงานที่มีภาระกลาง ๆ เช่น การใช้งานเชิงพาณิชย์ทั่วไปหรือใช้ในกิจกรรมพักผ่อน โดยยังคงให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ใกล้เคียงกับรถกระบะเพื่อการใช้งานทั่วไป และมักจะให้ความนุ่มนวลมากกว่าในสถานการณ์ที่ไม่ได้บรรทุกเต็มพิกัด นอกจากนี้ Ram 3500 HD ยังมักจะติดตั้งเกียร์และระบบเบรกที่มีความแข็งแรงมากขึ้น เพื่อรองรับน้ำหนักลากจูงที่เพิ่มขึ้น แม้ว่า Ram 2500 HD และ 3500 HD จะใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกัน เช่น เครื่องยนต์ดีเซล 6.7 ลิตร Cummins หรือเบนซิน 6.4 ลิตร HEMI V8 แต่ในรุ่น 3500 HD จะมีการปรับจูนแชสซีและระบบรองรับให้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องรับภาระต่อเนื่องในสภาพงานหนักเป็นหลัก
Q
ความถี่ในการเปลี่ยนช็อคบน RAM 2500 คือกี่ครั้ง?
ความถี่ในการเปลี่ยนโช้คอัพของ RAM 2500 ไม่มีระยะเวลาที่ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพถนน ลักษณะการขับขี่ และการบรรทุกน้ำหนัก โดยทั่วไป แนะนำให้ตรวจสอบหรือเปลี่ยนโช้คอัพทุกระยะประมาณ 80,000–100,000 กิโลเมตร หรือราว 6 ปี หากขับรถปีละประมาณ 20,000 กิโลเมตร ก็อาจต้องเปลี่ยนโช้คอัพทุก 4 ปี แต่หากใช้งานในสภาพถนนขรุขระ หรือมีพฤติกรรมการขับขี่แบบรุนแรง เช่น เบรกหนักหรือเข้าโค้งเร็ว อาจต้องเปลี่ยนเร็วขึ้นก่อนถึงระยะนั้น ส่วนในกรณีที่ขับขี่แบบนุ่มนวลและใช้งานบนถนนที่เรียบ โช้คอัพก็อาจมีอายุการใช้งานที่นานกว่า โดยปกติควรตรวจเช็กโช้คอัพอย่างน้อยทุก 2 ปี หากไม่พบอาการรั่วซึม ความเสียหายภายนอก หรือเสียงผิดปกติขณะขับขี่ ก็สามารถใช้งานต่อได้ แต่หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น ควรเปลี่ยนทันทีเพื่อความปลอดภัย สรุปแล้ว ระยะเวลาในการเปลี่ยนโช้คอัพควรพิจารณาตามสภาพจริงของตัวอุปกรณ์
Q
เครื่องยนต์ของ Ram 2500 ปี 2025 จะเป็นอย่างไร?
เครื่องยนต์ของ Ram 2500 รุ่นปี 2025 มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยเครื่องยนต์ดีเซล I6 เทอร์โบชาร์จในตำนานจาก Cummins ได้รับการอัปเดต แม้รายละเอียดทางเทคนิคยังไม่ได้เปิดเผยทั้งหมด แต่มีการยืนยันแล้วว่าจะเพิ่มระบบหัวเผา (Glow Plug) ซึ่งช่วยให้สตาร์ทเครื่องยนต์ได้ง่ายขึ้นในสภาพอากาศหนาวเย็น และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบัน นอกจากนี้ Ram ยังส่งสัญญาณว่าเครื่องยนต์ Cummins อาจมีการปรับปรุงด้านสมรรถนะ เช่น การเพิ่มแรงม้าและแรงบิด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของ Ram 2500 ในการใช้งานด้านลากจูงและบรรทุกหนัก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเครื่องยนต์หรือรายละเอียดเชิงเทคนิคอื่น ๆ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารจากทางผู้ผลิตอย่างเป็นทางการเพื่อข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้น
Q
RAM 2500 มีโครงรถกี่แบบ แบบไหนบ้าง?
RAM 2500 ใช้โครงสร้างตัวถังแบบแชสซีแยก (non-load-bearing chassis) ซึ่งมีความแข็งแรงสูง ทนต่อแรงกระแทกและน้ำหนักบรรทุกได้ดี เหมาะสำหรับรถกระบะที่ต้องใช้งานหนักหรือขับผ่านเส้นทางที่สมบุกสมบันอยู่บ่อยครั้ง ช่วงล่างด้านหน้าเป็นระบบสามลิงก์ (3-link suspension) ที่ออกแบบให้ชิ้นส่วนมีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมกับเหล็กกันโคลงที่แข็งแรงขึ้น ใช้สปริงที่ยื่นออกด้านนอกมากขึ้นและโช้กอัพที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ช่วยลดแรงกระแทกและเพิ่มความสบายขณะขับขี่แม้ในสภาพบรรทุกหนัก ส่วนช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบห้าลิงก์ (5-link coil suspension) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจดสิทธิบัตรเฉพาะของ RAM ระบบนี้นอกจากจะรองรับน้ำหนักในการลากจูงได้ดีแล้ว ยังช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ และเพิ่มความมั่นคงในขณะเข้าโค้ง ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้ง่ายขึ้นแม้เจอสภาพถนนที่ท้าทาย
Q
RAM 2500 ทั้งหมดมีสปริงคอยล์หลังหรือไม่?
RAM 2500 บางรุ่นเลือกใช้ช่วงล่างด้านหลังแบบคอยล์สปริง (โช้กอัพสปริงขด) ซึ่งระบบช่วงล่างถือเป็นส่วนสำคัญของรถ เพราะช่วยซับแรงกระแทกจากพื้นถนน ทำให้การขับขี่นุ่มนวลขึ้น และยังส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงในการควบคุมรถอีกด้วย ช่วงล่างแบบคอยล์สปริงมีข้อดีหลายอย่าง เช่น ให้ความรู้สึกขับขี่ที่นุ่มนวลกว่าระบบช่วงล่างแบบอื่น ๆ โดยเฉพาะเวลาขับผ่านถนนขรุขระหรือหลุมบ่อ ระบบจะช่วยดูดซับแรงสั่นสะเทือน ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสบายมากขึ้น อีกทั้งการออกแบบของสปริงขดนี้ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมรถ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับรถได้ง่ายและมั่นใจยิ่งขึ้น ดังนั้น เวลาจะซื้อรถ การดูระบบช่วงล่างก็เป็นอีกจุดที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การขับขี่ในระยะยาว
Q
รถกระบะ Ram 2500 ผลิตที่ไหน?
Ram 2500 HD รุ่นมาตรฐานจะไม่ได้ใช้ช่วงล่างด้านหลังแบบคอยล์สปริง (สปริงขด) แต่จะใช้ช่วงล่างแบบแหนบ (leaf spring) ซึ่งเป็นดีไซน์ที่พบได้ทั่วไปในรถกระบะ เพราะให้ความแข็งแรง รองรับน้ำหนักบรรทุกและลากจูงได้ดี เหมาะกับงานใช้งานหนัก อย่างไรก็ตาม RAM ก็มีรุ่นย่อยบางรุ่นของ 2500 HD ที่เลือกใช้ช่วงล่างด้านหลังแบบคอยล์สปริง โดยเฉพาะรุ่นที่เน้นความหรูหราและการขับขี่บนถนนเรียบ เช่น รุ่น Laramie หรือ Limited ซึ่งต้องการให้การโดยสารนุ่มนวลและสบายยิ่งขึ้น คอยล์สปริงจะให้ความรู้สึกขับขี่ที่ดีขึ้น เหมาะกับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเป็นการใช้งานหนัก ๆ เช่น บรรทุกของหนักหรือใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหด ช่วงล่างแบบแหนบยังคงเป็นตัวเลือกที่ทนทานกว่า ดังนั้น ถ้าคุณต้องการทั้งความสบายและยังมีความสามารถใช้งานบ้างในระดับหนึ่ง รุ่นคอยล์สปริงก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้าเน้นงานหนักล้วน ๆ รุ่นมาตรฐานที่ใช้แหนบก็ยังเหมาะสมที่สุด ทั้งนี้ RAM อาจมีการปรับอุปกรณ์ตามตลาดแต่ละประเทศ ควรสอบถามกับตัวแทนจำหน่ายก่อนตัดสินใจซื้อเพื่อให้ได้สเปกที่ตรงกับความต้องการที่สุดครับ
Q
Ram 2500 อยู่ในระดับไหน?
Ram 2500 อยู่ในประเภทกระบะขนาดใหญ่แบบ Heavy Duty ค่ะ จากระดับรุ่นรถ มีรูปแบบการขับเคลื่อนที่แตกต่างกัน เช่น 4x2 และ 4x4 เป็นต้น มันมีขนาดตัวรถใหญ่ โดยมีความยาวได้ถึง 5892 มม. หรือ 6065 มม. ความกว้างประมาณ 2009 มม. ถึง 2016 มม. ความสูงอยู่ระหว่าง 1981 มม. ถึง 2054 มม. และระยะฐานล้อที่ยาว เป็น 3568 มม. หรือ 3784 มม. สามารถให้พื้นที่ภายในรถที่กว้างขวางได้ น้ำหนักรถก็มาก โดยมีตั้งแต่ 2722 กก. ถึง 4052 กก. ในด้านกำลังขับเคลื่อน มีเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงต่างชนิดกันให้เลือก เช่น น้ำมันเบนซินและดีเซล เป็นต้น เช่น เครื่องยนต์ 6.4L V8, 6.7L I-6 เป็นต้น สามารถตอบสนองความต้องการด้านกำลังของผู้บริโภคที่แตกต่างกันได้ รถปิคอัพหนักมักใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการความสามารถในการบรรทุกและลากจูงสูง เช่น การขนส่งสินค้า การลากรถพ่วง เป็นต้น
Q
อันไหนดีกว่า, Ram 2500 หรือ 3500?
Ram 2500 และ 3500 มีข้อดีของตัวเองอย่างละประการ จึงไม่สามารถบอกได้ง่ายๆ ว่าแบบไหนดีกว่า Ram 2500 มีหลายคอนฟิก เช่น มีขนาดยาง จำนวนเบาะ และน้ำหนักรถแตกต่างกันในแต่ละเวอร์ชัน ราคาอยู่ระหว่าง THB 1,610,368 ถึง THB 2,451,397 มันมีพลังมากเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันและงานหนักบางประเภท พื้นที่ภายในสะดวกสบาย และมีคอนฟิกความปลอดภัยและความสะดวกหลายอย่าง ในขณะที่ Ram 3500 แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลรถแบบเฉพาะเพื่อเปรียบเทียบ แต่โดยทั่วไปจะเป็นรุ่นขนาดใหญ่กว่า และอาจมีความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักและลากจูงที่ดีกว่า เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความสามารถในการรับน้ำหนักและลากจูงสูงกว่า และราคาก็มักจะสูงกว่าเช่นกัน ถ้าคุณใช้ในชีวิตประจำวันและมีความต้องการบรรทุกน้ำหนักเป็นครั้งคราว Ram 2500 จะเป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณมีความต้องการที่ต้องจัดการกับน้ำหนักมากเป็นประจำและงานลากจูงที่เข้มข้น Ram 3500 อาจจะเหมาะสมมากกว่า
Q
Ram 2500 เป็น Hemi หรือ Cummins?
Ram 2500 บางรุ่นมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6.4 ลิตร Hemi V8 ที่ให้พลังแรง ขับสนุก เร่งดี เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการสมรรถนะ เช่น รุ่น Power Wagon ก็ใช้เครื่องยนต์ตัวนี้ ส่วนบางรุ่นจะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 6.7 ลิตร คัมมินส์แบบเทอร์โบชาร์จ อินไลน์ 6 สูบ ซึ่งโดดเด่นเรื่องแรงบิดสูง ประหยัดน้ำมัน เหมาะกับการลากจูงหรือขับทางไกลที่ต้องใช้งานหนัก ถ้าคุณต้องการขับขี่สนุก มีแรงเร่งตอบสนองดี เครื่องยนต์ Hemi V8 จะเหมาะกว่า แต่ถ้าต้องการพลังในการลากจูงหรือเดินทางระยะไกล เครื่องยนต์ดีเซลคัมมินส์จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าค่ะ
  • รถยอดนิยม

  • รุ่นปีรถยนต์

  • เปรียบเทียบรถยนต์

  • รูปภาพรถ

ข้อดี

เครื่องยนต์ที่แข็งแรงให้พลังงานอย่างเพียงพอ
ช่องภายในรถกว้างขวางทำให้ทุกคนสบาย
ความสามารถในการลากของหนักสูง

ข้อเสีย

ประสิทธิภาพเชื้อเพลิงที่ต่ำทำให้ต้นทุนสูง
ขนาดรถใหญ่ทำให้การจอดรถเป็นเรื่องรำคาญ
เทคโนโลยีภายในรถมีความจำเป็นต้องอัพเกรด

Q&A ล่าสุด

Q
2022 Subaru WRX มีระบบส่งกำลังแบบใด
สำหรับรุ่นปี 2022 ของ Subaru WRX ในตลาดไทย มีให้เลือก 2 แบบเกียร์ คือ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์ออโต้ Sport Lineartronic CVT ที่จำลอง 8 สปีด ซึ่งทั้งสองแบบทำงานเข้ากันได้ดีกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Symmetrical AWD อันเป็นเอกลักษณ์ของซูบารุ โดยเฉพาะเหมาะกับสภาพถนนในไทยที่มักมีฝนและความชื้นสูง เกียร์ธรรมดาจะตอบโจทย์คนรักการขับขี่ที่ต้องการสัมผัสการควบคุมอย่างเต็มที่ ส่วนเกียร์ CVT เหมาะกับสภาพการจราจรติดขัดในเมืองอย่างกรุงเทพฯ เพราะให้ความนุ่มนวลและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ที่น่าสนใจคือ CVT ของซูบารุใช้ระบบส่งกำลังแบบโซ่แทนสายพานแบบทั่วไป ทำให้ทนทานกว่าโดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนของไทย นอกจากนี้ผู้ใช้ในไทยยังสามารถเลือกติดตั้งระบบ SI-DRIVE เพื่อปรับโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นถนนคดเคี้ยวในเชียงใหม่หรือเส้นทางเลียบชายทะเลพัทยา แถมระบบช่วงล่างของ WRX ในตลาดไทยยังได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับสภาพถนนท้องถิ่นอีกด้วย
Q
มูลค่าคงเหลือของ Hyundai Santa Fe ปี 2024 คืออะไร
สำหรับรุ่น Hyundai Santa Fe 2024 ที่วางขายในตลาดไทย คาดว่ามูลค่าคงเหลือหลังจากใช้งาน 3 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 60%-65% ของราคาเดิม และอาจลดลงเหลือประมาณ 50% เมื่อใช้งานครบ 5 ปี ซึ่งข้อมูลนี้มาจากประวัติการรักษามูลค่าของรถ Hyundai ในตลาดอาเซียนรวมถึงความนิยมในรถ SUV ขนาดกลางที่ค่อนข้างทรงตัวในไทย อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคไทยควรทราบว่ามูลค่าคงเหลือได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น การเลือกรุ่นดีเซลหรือไฮบริด (ซึ่งเป็นรุ่นที่พบได้ทั่วไปในตลาดไทย) ประวัติการบริการที่ครบถ้วน หรือการซื้อผ่านช่องทางทางการ (เช่น โครงการรถมือสองรับประกันจาก Hyundai ประเทศไทยที่จะช่วยรักษามูลค่าได้ดีกว่า) เมื่อเทียบกับคู่แข่งจากญี่ปุ่นในระดับเดียวกันแล้ว Santa Fe ยังมีความได้เปรียบในตลาดมือสองจากพื้นที่ภายในที่กว้างขวางกว่าและฟีเจอร์สมาร์ทที่ทันสมัยกว่า (เช่น ระบบเก้าอี้ระบายอากาศที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดไทย) แต่ในแง่ของความนิยมในแบรนด์อาจสู้ไม่ได้เลยทีเดียว แนะนำให้เจ้าของรถในไทยเก็บเอกสารการซ่อมบำรุงให้ครบถ้วนและใช้บริการผ่านศูนย์บริการทางการเพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าตอนขายต่อได้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีรถยนต์พลังงานสะอาดของรัฐบาลไทยอาจส่งผลต่อมูลค่าคงเหลือของรุ่นไฮบริดในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้สนใจซื้อควรจับตามองไว้ด้วย
Q
Hyundai Santa Fe 2024 มีประสิทธิภาพแค่ไหน
รถยนต์ Hyundai Santa Fe รุ่นปี 2024 ให้ประสิทธิภาพด้านประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะเหมาะกับสภาพการขับขี่ในเมืองและการเดินทางระยะไกลในประเทศไทย ชุดเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรแบบดูดอากาศธรรมชาติร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 12-14 กิโลเมตรต่อลิตรในสภาพถนนแบบผสม หากเลือกรุ่นไฮบริดจะประหยัดน้ำมันได้ถึง 15-18 กิโลเมตรต่อลิตร ช่วยลดต้นทุนการใช้รถในสภาวะน้ำมันราคาสูงของไทยได้อย่างชัดเจน รถรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยี Smartstream ล่าสุดจาก Hyundai ที่ปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้และลดแรงเสียดทานเครื่องยนต์เพื่อสมดุลระหว่างพลังและความประหยัด นอกจากนี้ระบบ Start-Stop อัจฉริยะที่มาพร้อมกับรถในสภาพอากาศร้อนของไทยยังช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะ idle อีกด้วย ที่น่าสนใจคือผู้บริโภคไทยควรพิจารณารุ่นไฮบริดเป็นอันดับแรก เพราะรัฐบาลไทยมีมาตรการลดภาษีสำหรับรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และระบบไฮบริดยังแสดงจุดเด่นในสภาพการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯที่ต้องหยุด-เริ่มบ่อยครั้ง เมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกันแล้ว Santa Fe ยังให้ความสำคัญกับการใช้พื้นที่ภายในและการตั้งค่าตัวถังที่สมดุลระหว่างความสบายและความมั่นคงในการขับขี่ เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายของไทย แนะนำให้ทดลองขับจริงโดยเน้นตรวจสอบประสิทธิภาพระบบแอร์และระบบไฮบริดในสภาพอากาศร้อน ซึ่งเป็นรายละเอียดสำคัญสำหรับผู้ใช้รถในประเทศไทย
Q
เครื่องยนต์แบบใดที่อยู่ใน 2024 Santa Fe
รุ่น 2024 Santa Fe ที่วางขายในตลาดไทยมาพร้อมกับตัวเลือกเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง 2 แบบ ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตรแบบดูดธรรมดา และระบบไฮบริด 1.6 ลิตรเทอร์โบชาร์จ โดยเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรให้กำลังสูงสุด 191 แรงม้า คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เหมาะสำหรับคนที่ชอบการขับขี่เน้นความลื่นไหล ส่วนระบบไฮบริด 1.6T ให้กำลังรวมสูงถึง 230 แรงม้า ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีในสภาพการขับขี่ที่ต้องหยุด-เริ่มบ่อยๆ แบบในกรุงเทพฯ ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้ผ่านมาตรฐานยูโร 6 ของไทยเรียบร้อยแล้ว จุดเด่นของรุ่นไฮบริดคือการใช้เทคโนโลยี TMED ไฮบริดอันล้ำสมัยจาก Hyundai ที่ผสานการทำงานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ได้อย่างชาญฉลาด นอกจากช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันแล้ว ยังคงสมรรถนะการขับขี่ระดับ SUV ที่ทรงพลัง ซึ่งตอบโจทย์ในสภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงแบบปัจจุบัน ส่วนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ HTRAC ที่มาพร้อมในรุ่นนี้ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจบนถนนลื่นๆ ในช่วงฤดูฝนได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้งานในเมืองทั่วไป ตัวเลือกรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าถือว่าเพียงพอและคุ้มค่ากว่าในแง่ราคา
Q
Is Santa Fe 2024 4WD?
รุ่น Hyundai Santa Fe ปี 2024 บางรุ่นมีการติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ อย่างเช่น Hyundai Santa Fe Exclusive 1.6 Turbo Hybrid AWD 2024 ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนทุกล้อ ระบบนี้จะช่วยกระจายกำลังไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างเหมาะสมในสภาพถนนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นถนนลื่น โคลน หรือเวลาขึ้นเนิน ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับผ่านและความมั่นคงให้กับรถ ส่วนรุ่น Hyundai Santa Fe Premium 1.6 Turbo Hybrid FWD 2024 จะใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ดังนั้นถ้าคุณต้องการรถที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ เวลาเลือกซื้อต้องดู specs ของรุ่นให้ดี ๆ เลยนะครับ จะได้เลือกรถที่เหมาะกับการใช้งานและสภาพถนนที่คุณต้องเจอจริง ๆ
ดูเพิ่มเติม