Q
หมายถึงความสูงของ Lamborghini Huracan คือเท่าใด
ความสูงของตัวถัง Lamborghini Huracán จะแตกต่างกันเล็กน้อยตามแต่ละรุ่นย่อย แต่โดยรวมถูกออกแบบให้เตี้ยเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอร์โรไดนามิกและการควบคุม รุ่นมาตรฐานอย่าง Huracán EVO มีความสูงประมาณ 1,165 มิลลิเมตร (หรือประมาณ 1.165 เมตร) ขณะที่รุ่นที่เน้นสมรรถนะในสนามแข่ง เช่น Huracán STO ซึ่งมาพร้อมชุดแอโรไดนามิกที่ดุดันยิ่งขึ้น อาจมีความสูงตัวรถที่ต่ำลงอีกเล็กน้อย การออกแบบที่เตี้ยเป็นพิเศษนี้ ไม่เพียงช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดุดันของตัวรถ แต่ยังช่วยสร้างแรงกด (downforce) และเพิ่มเสถียรภาพขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย รถที่มีความสูงตัวถังต่ำระดับนี้จำเป็นต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกับสภาพผิวถนน โดยเฉพาะลูกระนาดหรือทางลาดชัน แนะนำให้เลือกติดตั้งระบบยกด้านหน้า (Lamborghini Lift System) ซึ่งสามารถยกความสูงของด้านหน้ารถขึ้นประมาณ 40 มิลลิเมตรในเวลาจำเป็น เพื่อป้องกันการขูดใต้ท้องรถ แม้ว่า Huracán จะมีความสูงตัวรถที่ต่ำ แต่ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้มีพื้นที่เหนือศีรษะเพียงพอ ผู้ขับขี่ยังคงสามารถนั่งในท่าทางที่สบาย พร้อมเพลิดเพลินกับสมรรถนะระดับสูงได้อย่างเต็มที่
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto
Q&A เกี่ยวข้อง
Q
Lamborghini Huracan ออกเมื่อเวลาไหน
Lamborghini Huracán เปิดตัวครั้งแรกในปี 2014 รถรุ่นนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในตลาดประเทศไทย โดยดึงดูดแฟนรถจำนวนมากด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและการออกแบบที่โดดเด่น มาพร้อมระบบขับเคลื่อนที่ทรงพลัง ให้การเร่งความเร็วและการควบคุมที่ยอดเยี่ยม
Q
Lamborghini Huracan ที่เร็วที่สุดคืออะไร
รุ่นที่มีสมรรถนะสูงที่สุดในตระกูล Lamborghini Huracán คือ Huracán STO (Super Trofeo Omologato) ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยมีเป้าหมายสำหรับการใช้งานในสนามแข่ง มาพร้อมเครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร แบบ NA (ไม่มีระบบอัดอากาศ) ให้กำลังสูงสุด 630 PS (ประมาณ 621 แรงม้า) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 3.0 วินาที และความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 310 กม./ชม. Huracán STO มีจุดเด่นด้านการออกแบบที่เน้นน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ เช่น หลังคา ฝากระโปรงหน้าและหลัง รวมถึงกันชนหน้า–หลัง ใช้วัสดุ คาร์บอนไฟเบอร์ ทั้งหมด น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,339 กิโลกรัม พร้อมติดตั้ง สปอยเลอร์หลังแบบยึดตายตัว และ ดิฟฟิวเซอร์ ที่ผ่านการปรับแต่งด้านแอร์โรไดนามิก เพื่อเพิ่มแรงกดขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ รุ่น Huracán Tecnica และ Huracán EVO ที่เป็นรุ่นสมรรถนะสูงเช่นกัน มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 640 PS แต่ STO โดดเด่นด้วยการปรับจูนระบบควบคุมที่เหมาะสำหรับการใช้งานในสนามแข่ง สำหรับในประเทศไทย รถรุ่นนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในกิจกรรมสนามแข่งหรือการขับขี่สมรรถนะสูง ขณะที่รุ่น EVO หรือ Tecnica อาจเหมาะกับการใช้งานทั่วไปมากกว่า
Q
Lamborghini Aventador กับ Huracan อันไหนดีกว่า
Lamborghini Aventador และ Huracan ต่างมีจุดเด่นในแบบของตนเอง Aventador มีสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ทรงพลังมากกว่า รูปลักษณ์ภายนอกมีความดุดันชัดเจน และมาพร้อมกับอุปกรณ์ภายในที่หรูหราในระดับสูง ขณะที่ Huracan โดดเด่นในด้านการควบคุมที่คล่องตัว และให้ความสะดวกสบายมากกว่าในการใช้งานขับขี่ในชีวิตประจำวัน การเลือกรุ่นที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะการใช้งานของแต่ละบุคคล หากคุณมองหาสมรรถนะระดับสูงสุดและอุปกรณ์ระดับเรือธง Aventador อาจตอบโจทย์ได้ดีกว่า แต่หากให้ความสำคัญกับความคล่องตัวในการขับขี่และสมดุลของการใช้งานในชีวิตประจำวัน Huracan ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเช่นกัน
Q
ความแตกต่างระหว่าง Lamborghini Aventador และ Huracan คืออะไร
Lamborghini Aventador และ Huracán เป็นสองรุ่นหลักของแบรนด์ Lamborghini ที่มีความแตกต่างกันชัดเจนในด้านการวางตำแหน่ง สมรรถนะ เทคโนโลยี และประสบการณ์ขับขี่ Aventador ในฐานะซูเปอร์คาร์ระดับเรือธง มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร แบบดูดอากาศธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุดถึง 770 แรงม้า (PS) หรือประมาณ 759 แรงม้า (hp) จับคู่กับเกียร์ ISR แบบ sequential ซึ่งให้การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและรุนแรง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอัตราเร่งและความเร็วสูงสุดในระดับสุดขีด ตัวถังมีขนาดใหญ่กว่า Huracán โครงสร้างใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์แบบ monocoque ที่มีต้นทุนสูงกว่า ทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมของ Aventador มีความหรูหราและเป็นรุ่นที่มีความหายากมากขึ้น ราคาจึงสูงกว่ารุ่น Huracán อย่างเห็นได้ชัด ส่วน Huracán ใช้เครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร กำลังอยู่ในช่วง 610–640 แรงม้า (PS) หรือประมาณ 602–631 แรงม้า (hp) จับคู่กับเกียร์คลัตช์คู่ 7 สปีด (DCT) ให้ความคล่องตัวในการขับขี่มากขึ้น เหมาะทั้งกับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการขับบนสนามแข่ง โดยรวมแล้วเป็นรุ่นที่มีระดับการเข้าถึงง่ายกว่า Aventador ใช้ระบบช่วงล่างแบบ push-rod แนวนอน ซึ่งออกแบบมาเพื่อยกระดับการควบคุมในระดับสูงสุด ในขณะที่ Huracán ใช้ระบบช่วงล่างแบบดั้งเดิมที่เน้นทั้งความนุ่มนวลและความแม่นยำในการขับขี่ ในด้านการออกแบบภายนอก Aventador มีเส้นสายตัวถังแบบลิ่มที่โดดเด่นและชัดเจนมากกว่า ส่วน Huracán จะมีดีไซน์ที่กระชับขึ้นแต่ยังคงความสปอร์ตและความดุดันเช่นกัน
Q
สีที่ดีที่สุดสำหรับ Lamborghini Huracan คืออะไร
Lamborghini Huracán ในฐานะซูเปอร์คาร์ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์อันดุดัน การเลือกสีภายนอกจึงขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนบุคคลเป็นหลัก แต่ในตลาดประเทศไทย สีที่ได้รับความนิยมสูงมักได้แก่ สีส้มมุกสดใส Arancio Borealis สีเขียวสปอร์ต Verde Scandal และสีเหลืองคลาสสิก Giallo Inti ซึ่งช่วยขับเส้นสายตัวถังที่เฉียบคมให้ยิ่งสะดุดตามากขึ้นบนท้องถนน สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความหรูหราแบบสุขุม สีเทาด้าน(Grigio Telesto)หรือสีดำเมทัลลิก(Nero Noctis) ก็เป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ลึกลับและพรีเมียมให้กับ Huracán นอกจากนี้ Lamborghini ยังมีบริการ Ad Personam สำหรับการสั่งผลิตเฉพาะบุคคล ผู้ซื้อสามารถเลือกผสมสีพิเศษตามความต้องการ หรือออกแบบเฉดสีที่ไม่เหมือนใครได้ เพื่อสะท้อนความเป็นตัวตนอย่างเต็มที่ ในสภาพอากาศแสงแดดจัดแบบเขตร้อน สีสันสดใสมักโดดเด่นในกลุ่มรถมากกว่า ส่วนโทนสีเข้มก็เหมาะกับผู้ที่ชอบความเรียบหรูแต่ยังต้องการความเร้าใจจากสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ ไม่ว่าสีไหน Huracán ก็ยังคงเป็นจุดสนใจเสมอ ด้วยดีไซน์เฉพาะตัวและเสียงเครื่องยนต์ที่ทรงพลังซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างแท้จริง
Q
แลมโบร์กินี่ฮูราคานสามารถวิ่งได้เร็วเพียงใด
สมรรถนะด้านความเร็วสูงสุดและอัตราเร่งของ Lamborghini Huracán จะแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่น โดยรุ่นล่าสุดอย่าง Huracán EVO และ Huracán STO ต่างก็ให้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจในระดับซูเปอร์คาร์ ยกตัวอย่างรุ่นยอดนิยมอย่าง Huracán EVO RWD ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร แบบดูดอากาศธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุด 610 แรงม้า พร้อมแรงบิด 560 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด และระบบขับเคลื่อนล้อหลัง สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 3.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 325 กม./ชม. สำหรับรุ่นที่มีสมรรถนะสูงกว่าอย่าง Huracán EVO AWD ซึ่งมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้รับการปรับปรุงด้านการยึดเกาะ ส่งผลให้เวลาจาก 0-100 กม./ชม. ลดลงเหลือเพียง 2.9 วินาที โดยยังคงความเร็วสูงสุดไว้ที่ 325 กม./ชม. ส่วนรุ่นสำหรับสนามแข่งอย่าง Huracán STO แม้จะมีความเร็วสูงสุดลดลงเล็กน้อยเหลือ 310 กม./ชม. แต่มีจุดเด่นในด้านการเข้าโค้งและระบบเบรกที่แม่นยำ เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นการควบคุมและสมรรถนะในสนามมากกว่าความเร็วปลาย ในประเทศไทย ความเร็วที่อนุญาตบนถนนหลวงอยู่ต่ำกว่าศักยภาพของ Huracán อย่างมาก จึงแนะนำให้สัมผัสสมรรถนะของรถในสนามแข่งหรือพื้นที่ปิด เช่น สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต (Chang International Circuit) เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ ด้วยสมรรถนะที่ทรงพลังในระดับนี้ ผู้ขับขี่จำเป็นต้องมีทักษะในการควบคุมรถในระดับสูง ขอแนะนำให้ขับรถด้วยความเร็วสูงภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
Q
Lamborghini Huracan ราคาเท่าไหร่
ปัจจุบัน Lamborghini Huracán มีราคาเริ่มต้นในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 15.8 ล้านบาท (ราคาจะแตกต่างกันตามอัตราแลกเปลี่ยน ภาษีนำเข้า และอุปกรณ์เสริมที่เลือกเพิ่มเติม) โดยราคานี้เป็นของรุ่นพื้นฐาน Huracán EVO ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นของไลน์อัป หากเลือกรุ่นสมรรถนะสูงกว่า เช่น Huracán EVO ขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือรุ่นพิเศษที่มีจำนวนจำกัดอย่าง Huracán STO (เวอร์ชันสนามแข่งโดยเฉพาะ) ราคาสามารถแตะระดับ 20 ล้านบาทขึ้นไป Huracán ทุกรุ่นมาพร้อมเครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร แบบดูดอากาศธรรมชาติ ให้กำลังสูงกว่า 600 แรงม้า และเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาประมาณ 3 วินาที จึงเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้หลงใหลความแรงในไทย ขณะซื้อควรคำนึงถึงอุปกรณ์เสริม เช่น ชุดแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ ภายในหุ้มหนังเกรดพรีเมียม หรือสีตัวถังแบบสั่งทำพิเศษ ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อราคาสุดท้าย หากสนใจ Huracán แนะนำให้ติดต่อผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Lamborghini ที่กรุงเทพฯ เพื่อขอใบเสนอราคาล่าสุดและนัดหมายทดลองขับ ทั้งนี้ ตลาดรถหรูในไทยมักมีบริการสั่งผลิตเฉพาะบุคคล เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าระดับพรีเมียม
Q&A ล่าสุด
Q
จากัวร์ I-Pace ต้องการบริการบำรุงรักษาบ่อยเพียงใด?
Jaguar I-PACE ในฐานะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มีรอบการบำรุงรักษาที่แตกต่างจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปแบบดั้งเดิม โดยทั่วไป รถยนต์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนทางกลที่เคลื่อนไหวน้อยกว่า ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือทำการบำรุงรักษาหลายรายการเช่นรถน้ำมัน โดยปกติแล้ว I-PACE ควรเข้ารับการตรวจเช็กเบื้องต้นทุก ๆ 12 เดือน หรือทุก 20,000 – 30,000 กิโลเมตร แล้วแต่ว่าระยะใดถึงก่อน รายการตรวจสอบหลักได้แก่ การตรวจสภาพยาง ดูอัตราการสึกหรอ และตรวจสอบแรงดันลมยาง ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่และระยะทางวิ่ง การตรวจสอบระบบเบรก เพื่อให้แน่ใจว่ายังมีประสิทธิภาพที่ดี และการตรวจสอบสถานะของแบตเตอรี่ แม้ I-PACE จะใช้แบตเตอรี่ขนาด 90kWh ซึ่งมีอายุการใช้งานที่มั่นคงภายใต้การใช้งานปกติ แต่การตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำจะช่วยให้สามารถพบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นอกจากนี้ ทุก 2 – 3 ปี อาจจำเป็นต้องเข้ารับการบำรุงรักษาในระดับลึกมากขึ้น เช่น การตรวจสอบระบบไฟฟ้า ระบบช่วงล่าง และระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เพื่อรักษาสภาพการทำงานของรถให้อยู่ในระดับที่ดีที่สุด ทั้งนี้ คำแนะนำในการบำรุงรักษาที่เหมาะสมควรอ้างอิงตามคู่มือผู้ใช้ของตัวรถ และคำแนะนำจากศูนย์บริการหรือผู้จำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ
Q
แบตเตอรี่ Jaguar I-Pace ใช้งานได้นานเท่าไหร่
Jaguar I-PACE มีสมรรถนะด้านระยะทางที่โดดเด่น โดยภายใต้มาตรฐานการทดสอบ NEDC สามารถวิ่งได้ไกลถึง 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หากประเมินตามมาตรฐาน WLTP ระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 470 กิโลเมตร เมื่อต่อกับเครื่องชาร์จเร็วกระแสตรง (DC) กำลังไฟ 100 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ถึง 80% ภายในเวลา 40 นาที หากใช้กล่องชาร์จติดผนังที่บ้าน จะใช้เวลาประมาณ 9.1 ชั่วโมงในการชาร์จถึง 80% แบตเตอรี่ของรถถูกออกแบบแบบแยกโมดูล พร้อมระบบจัดการแบตเตอรี่ที่ทำหน้าที่เหมือน “สมอง” คอยตรวจสอบพารามิเตอร์ของแบตเตอรี่แบบเรียลไทม์ และควบคุมกระบวนการชาร์จ–คายประจุอย่างแม่นยำ เพื่อให้แบตเตอรี่ทำงานในสภาวะที่เหมาะสมที่สุดและช่วยยืดอายุการใช้งาน นอกจากนี้ Jaguar ยังรับประกันแบตเตอรี่ของ I-PACE เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน
Q
Jaguar I-pace มีการชาร์จแบบเร็วหรือไม่?
Jaguar I-PACE รองรับการชาร์จแบบเร็ว (DC Fast Charging) โดยสามารถรองรับกำลังชาร์จสูงสุดได้ถึง 100 กิโลวัตต์ ที่สถานีชาร์จเร็ว ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม รถสามารถชาร์จจาก 20% ถึง 80% ได้ภายในประมาณ 35 นาที นอกจากนี้ หลังจากอัปเดตซอฟต์แวร์แล้ว กำลังชาร์จสูงสุดจะเพิ่มขึ้นเป็น 105 กิโลวัตต์ โดยช่วงชาร์จที่รวดเร็วที่สุดอยู่ระหว่าง 10% ถึง 40% ซึ่งในช่วงนี้กำลังชาร์จจะเกิน 100 กิโลวัตต์ เมื่อใช้การชาร์จแบบเร็วด้วยกระแสตรง (DC) ที่กำลังไฟ 100 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่สามารถชาร์จจาก 0% ถึง 80% ได้ภายในเวลาประมาณ 40 นาที และการชาร์จเพียง 15 นาที สามารถเพิ่มระยะทางวิ่งได้ประมาณ 100 กิโลเมตร คุณสมบัติการชาร์จเร็วนี้ช่วยลดเวลารอคอยในการชาร์จได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในชีวิตประจำวันหรือขับขี่ระยะไกล ก็สามารถตอบโจทย์ได้ดี ลดค่าใช้จ่ายด้านเวลาในการชาร์จ
Q
I-Pace เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อหรือไม่?
ใช่ครับ I-PACE เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบ AWD ขั้นสูง เป็นรถยนต์มอเตอร์คู่ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าแยกที่เพลาหน้าและเพลาหลัง มอเตอร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีกำลังสูงสุด 147 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 348 นิวตันเมตร ซึ่งให้พลังขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยมและการควบคุมที่แม่นยำ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อช่วยให้ I-PACE กระจายแรงขับได้ดีขึ้นในสภาพถนนที่หลากหลาย เช่น พื้นถนนลื่นหรือเส้นทางแบบออฟโรดเบา ๆ ส่งผลให้รถมีเสถียรภาพในการขับขี่และสมรรถนะในการผ่านอุปสรรคดีขึ้น ตัวรถมีขนาดความยาว 4,682 มิลลิเมตร กว้าง 2,011 มิลลิเมตร สูง 1,565 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 2,990 มิลลิเมตร ซึ่งให้พื้นที่ภายในที่กว้างขวางและสะดวกสบาย โดยรวมแล้ว I-PACE แสดงถึงความสมดุลทั้งในด้านสมรรถนะและการใช้งานจริงได้อย่างดี
Q
Jaguar I-PACE มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่เป็นอย่างไร
Jaguar I-PACE ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบซอง (Pouch Cell) ซึ่งมีความหนาแน่นพลังงานสูง อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ไม่มีตัวเลขที่ตายตัวแน่นอน เนื่องจากอาจได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการขับขี่ในชีวิตประจำวัน วิธีการชาร์จ และสภาพแวดล้อมในการใช้งาน หากผู้ใช้งานขับขี่แบบเร่งแรงบ่อยครั้ง ชาร์จเร็วเป็นประจำ หรือปล่อยให้แบตเตอรี่ทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนจัดหรือหนาวจัดเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากมีพฤติกรรมการใช้งานที่เหมาะสม เช่น หลีกเลี่ยงการปล่อยให้แบตเตอรี่ไฟหมดจนเกินไป ชาร์จในอุณหภูมิที่เหมาะสม และไม่จอดรถทิ้งไว้ในสภาพแวดล้อมสุดขั้วบ่อยครั้ง ก็สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ I-PACE มีระยะทางขับขี่ตามมาตรฐาน NEDC ประมาณ 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และมาพร้อมระบบจัดการแบตเตอรี่และระบบควบคุมอุณหภูมิที่ทันสมัย ซึ่งช่วยรักษาสมรรถนะของแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ลดความเสื่อมสภาพ และส่งผลดีต่ออายุการใช้งานในระยะยาว
ดูเพิ่มเติม
ข้อดี
ข้อเสีย