Q

Mazda3 เติมน้ำมันเครื่องได้กี่ลิตร?

ปริมาณน้ำมันเครื่องของ Mazda3 จะแตกต่างกันไปตามขนาดเครื่องยนต์และปีรุ่น โดยทั่วไปแล้ว เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร จะใช้น้ำมันเครื่องประมาณ 3.7 ลิตร ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร จะใช้ประมาณ 4.3 ถึง 4.8 ลิตร อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ตรวจสอบคู่มือรถหรือสอบถามศูนย์บริการ Mazda ในประเทศไทยเพื่อความแม่นยำ สำหรับสภาพอากาศร้อนของไทย ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ที่มีค่าความหนืด (viscosity) ระดับ 5W-30 หรือ 0W-20 เพราะสามารถทนความร้อนได้ดี และช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ รวมถึงช่วยประหยัดน้ำมัน ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 12 เดือน แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน โดยเฉพาะในไทยที่มีสภาพอากาศร้อนและฝุ่นเยอะ แนะนำให้เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องพร้อมกันด้วย เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกย้อนกลับเข้าระบบ ถ้ารถใช้งานในเมืองที่รถติดบ่อย เช่น กรุงเทพฯ หรือใช้งานระยะทางสั้นบ่อย ๆ อาจพิจารณาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเร็วขึ้น เช่น ทุก 8,000 กิโลเมตร เพื่อถนอมเครื่องยนต์และลดความเสี่ยงจากเขม่าสะสมในเครื่องยนต์
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
ข้อเสียของ Mazda 3 นีอะไรบ้าง?
แม้ว่า Mazda3 จะได้รับความนิยมในตลาดไทยจากดีไซน์ที่สวยงามและสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ยังมีข้อสังเกตบางประการที่ควรพิจารณา อย่างแรกคือพื้นที่เบาะหลังค่อนข้างแคบ ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวไทยที่มักโดยสารหลายคน โดยเฉพาะในกรณีเดินทางไกล พื้นที่วางขาอาจรู้สึกอึดอัด นอกจากนี้ ช่วงล่างของ Mazda3 ถูกเซ็ตมาในแนวสปอร์ต แม้จะให้ความมั่นคงและควบคุมดีในทางโค้ง แต่เมื่อเจอสภาพถนนที่ไม่เรียบในบางพื้นที่ของไทย จะรู้สึกกระด้างและไม่ค่อยสบาย อีกจุดที่ควรพิจารณาคือค่าบำรุงรักษาที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอะไหล่แท้จากศูนย์ซึ่งมีราคาสูงกว่ารถญี่ปุ่นรุ่นอื่นในระดับเดียวกัน อาจเป็นภาระกับผู้ใช้งานบางกลุ่ม แม้เทคโนโลยี Skyactiv จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ดี แต่เมื่อเปิดแอร์ในสภาพอากาศร้อนแบบไทย อัตราการสิ้นเปลืองจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายคือเรื่องของระบบเก็บเสียง ที่ยังมีจุดให้พัฒนา โดยเฉพาะเวลาขับเร็วหรือใช้งานในเมืองที่มีเสียงรบกวนมาก ถึงแม้จะมีข้อด้อยเหล่านี้ แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนของ Mazda3 ที่เน้นความสนุกในการขับขี่มากกว่าความอเนกประสงค์ เหมาะกับผู้บริโภคชาวไทยรุ่นใหม่ที่ชอบความโดดเด่นและประสบการณ์หลังพวงมาลัยเป็นหลัก
Q
Mazda 3 อยู่ใน Segment ไหน?
Mazda3 ในตลาดไทยจัดอยู่ในกลุ่ม C-segment หรือรถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็ค ไม่ว่าจะเป็นตัวถังแบบซีดานหรือแฮทช์แบ็ก ซึ่งถือเป็นเซกเมนต์ยอดนิยมในประเทศไทย คู่แข่งหลักคือรถญี่ปุ่นอย่าง Toyota Corolla และ Honda Civic Mazda3 ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นไทย ด้วยดีไซน์ “KODO – Soul of Motion” ที่โดดเด่น และสมรรถนะการขับขี่ที่สนุก มาพร้อมเทคโนโลยี Skyactiv ที่เน้นความประหยัดน้ำมัน เหมาะกับสภาพการจราจรที่ติดขัดของกรุงเทพฯ ในตลาดไทย Mazda3 มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร และ 2.0 ลิตร โดยรุ่น 2.0 ลิตรจะมาพร้อมระบบ G-Vectoring Control ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเข้าโค้ง ช่วยให้การขับขี่มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Mazda3 รุ่นที่จำหน่ายในไทยยังมีการปรับจูนช่วงล่างให้เหมาะกับสภาพถนนในประเทศไทยโดยเฉพาะ รองรับทั้งถนนเมืองและพื้นที่ที่มีสภาพพื้นผิวไม่เรียบ ราคาจำหน่ายของรถในกลุ่มนี้อยู่ที่ประมาณ 800,000 – 1,200,000 บาท ถือเป็นกำลังหลักของตลาดรถบ้านในไทย ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกซื้อด้วยระบบผ่อนรายเดือน เพราะ Mazda3 ถือว่ามีมูลค่าคงเหลือ (resale value) ดีในระยะยาว ขายต่อแล้วขาดทุนน้อยเมื่อเทียบกับหลายรุ่นในระดับเดียวกัน
Q
มูลค่าขายต่อของ Mazda 3 คือเท่าไหร่?
Mazda3 ในตลาดรถมือสองของไทยจัดว่ามีมูลค่าคงเหลืออยู่ในระดับกลางค่อนไปทางดี โดยรถที่มีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี จะมีมูลค่าคงเหลือราว 60-65% ส่วนรถอายุ 5 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 50-55% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพรถ รุ่นย่อย และความต้องการของตลาดในช่วงเวลานั้น ในไทย รถญี่ปุ่นได้รับการยอมรับสูง และ Mazda3 ก็เป็นที่นิยมด้วยดีไซน์ KODO ที่โดดเด่น รวมถึงเทคโนโลยี Skyactiv ที่เน้นความประหยัดและทนทาน ทำให้รุ่นนี้เป็นที่ต้องการในตลาดรถมือสอง โดยเฉพาะรุ่นที่มีออปชันสูงหรือรุ่นดีเซล จะมีราคาขายต่อที่ดีกว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาขายต่อ ได้แก่ ประวัติการเข้าศูนย์บริการ การเกิดอุบัติเหตุ และสภาพของตัวถังรถที่อาจได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศชื้นของไทย แนะนำให้เจ้าของรถเก็บบันทึกการเข้ารับบริการที่ศูนย์ให้ครบถ้วน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือเวลาขายต่อ เมื่อเปรียบเทียบกับรถในระดับเดียวกัน Mazda3 มีอัตราการคงมูลค่าที่ต่ำกว่า Toyota Corolla เล็กน้อย แต่ดีกว่า Honda Civic ส่วนหนึ่งมาจากภาพลักษณ์ของแบรนด์และต้นทุนในการบำรุงรักษาที่ต่างกัน นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงาน (Eco Car) และมาตรการภาษีของรัฐบาล อาจทำให้ราคารถใหม่ผันผวน ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อราคารถมือสองด้วย ดังนั้นก่อนขาย ควรตรวจสอบราคาตลาดปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้ว ราคาขายต่อในกรุงเทพฯ จะสูงกว่าจังหวัดอื่นประมาณ 5-10%
Q
Mazda 3 มีกี่ CC
มาสด้า 3 รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1,998 ซีซี หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า 2.0L แรงม้าเยอะพอสมควร ขับสบายทั้งในเมืองและบนทางด่วน จะแซงหรือเร่งเมื่อไหร่ก็มั่นใจ ทุกรุ่นย่อยของมาสด้า 3 ใช้เครื่องยนต์ขนาดเดียวกันเลย แม้จะต่างกันที่ราคา ยาง หรืออุปกรณ์เสริมบางอย่าง แต่เรื่องกำลังไม่ต้องห่วง ให้ความรู้สึกการขับขี่ที่มั่นคงและแรงดีทั้งตอนจอดๆ ไปๆ ในเมืองหรือเวลาครูดความเร็วสูงบนทางหลวง เรียกว่าเอาอยู่ทุกสถานการณ์จริงๆ
Q
Mazda3 ใช้เครื่องยนต์อะไร?
Mazda3 ที่จำหน่ายในตลาดไทย ส่วนใหญ่จะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Skyactiv-G แบบไม่มีเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 158 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 202 นิวตันเมตร โดยกำลังสูงสุดจะออกที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดที่ 4,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์นี้ใช้เทคโนโลยีหัวฉีดตรง (Direct Injection) พร้อมฝาสูบและเสื้อสูบผลิตจากอะลูมิเนียม ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดที่สามารถเปลี่ยนเกียร์เองได้ (แบบ Manual Mode) Mazda3 ยังมีตัวเลือกเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร สำหรับผู้ที่ต้องการความประหยัดน้ำมันและมีงบประมาณจำกัด ส่วนเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรจะเหมาะกับผู้ที่เน้นสมรรถนะในการขับขี่มากกว่า ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามความต้องการและสไตล์การใช้งานของตนเอง
Q
Mazda3 ใช้เกียร์แบบไหน?
Mazda3 ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด (6AT) ซึ่งเป็นเกียร์อัตโนมัติที่ให้การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลและต่อเนื่อง ช่วยให้การขับขี่ทั้งในเมืองที่ต้องเจอการหยุด-เคลื่อนตัวบ่อย ๆ หรือการวิ่งทางไกลบนถนนความเร็วสูงเป็นไปอย่างราบรื่น เกียร์ 6AT นี้สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้อัตโนมัติตามสภาพการขับขี่และลักษณะการเหยียบคันเร่งของผู้ขับ ช่วยให้ขับง่าย ประหยัดแรง และเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีความทนทานและเชื่อถือได้ ช่วยลดความกังวลเรื่องปัญหาเกียร์ในระยะยาว ทำให้ใช้งานได้อย่างสบายใจ
Q
PCD (รูน็อตล้อ) ของ Mazda3 คือขนาดเท่าไหร่?
PCD (Pitch Circle Diameter) ของ Mazda3 อยู่ที่ขนาด 5x114.3 มม. หมายความว่าล้อแม็กของรถรุ่นนี้มีรูน็อต 5 รู และตำแหน่งของรูน็อตจะเรียงกันเป็นวงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 114.3 มม. ขนาดนี้ถือว่าเป็นสเปกมาตรฐานที่พบได้บ่อยในรถญี่ปุ่นหลายรุ่น เช่น Honda และ Toyota ทำให้ในไทยสามารถหาอะไหล่หรือเปลี่ยนล้อแม็กได้ง่าย และสะดวกเวลาต้องการอัปเกรดระบบเบรกหรือเปลี่ยนล้อใหม่ การรู้ขนาด PCD เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากเลือกล้อที่มีขนาดไม่ตรง อาจทำให้ไม่สามารถติดตั้งได้ หรืออาจเกิดปัญหาในการขับขี่ เช่น การสั่นหรือไม่ปลอดภัยในระยะยาว ในสภาพอากาศร้อนชื้นและฝนตกบ่อยของประเทศไทย ควรเลือกใช้ล้อแม็กและยางที่มีคุณภาพดี เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ โดยเฉพาะในสภาพถนนที่ลื่นหรือขรุขระ และการเลือกรุ่นของยางหรือขนาดล้อที่เหมาะสม ยังช่วยเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่และยืดอายุการใช้งานได้อีกด้วย
Q
Mazda3 รองรับ Apple CarPlay ไหม?
Mazda3 รุ่นล่าสุดที่วางจำหน่ายในประเทศไทยรองรับฟังก์ชัน Apple CarPlay แล้ว ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ iPhone สามารถใช้งานแอปต่าง ๆ บนหน้าจอรถยนต์ได้โดยตรง เช่น แผนที่นำทาง เพลง หรือการโทรออก-รับสาย เพิ่มความสะดวกในการขับขี่อย่างมาก โดยทั่วไปแล้ว Mazda3 ตั้งแต่ปี 2019 ขึ้นไป จะมี Apple CarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่สำหรับรุ่นที่เก่ากว่านั้น อาจต้องนำรถไปอัปเกรดระบบที่ศูนย์บริการ Mazda ที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย ในไทย ผู้ใช้จำนวนมากนิยมเชื่อมต่อ CarPlay เพื่อใช้ Google Maps หรือ Waze ในการหลีกเลี่ยงรถติด โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ รวมถึงใช้งานแอปเพลงอย่าง Spotify หรือ Joox เพื่อความบันเทิงระหว่างเดินทาง แนะนำให้ใช้สายชาร์จแท้หรือสายคุณภาพดีเมื่อต่อ CarPlay เพื่อป้องกันปัญหาการเชื่อมต่อไม่เสถียร และนอกจาก Apple CarPlay แล้ว Mazda3 ยังรองรับ Android Auto สำหรับผู้ใช้มือถือระบบแอนดรอยด์อีกด้วย Mazda3 เป็นรถที่ได้รับความนิยมในไทยด้วยจุดเด่นด้านการควบคุมที่ดีและความประหยัดน้ำมัน ยิ่งเมื่อผสานกับระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะเหล่านี้ ก็ยิ่งเพิ่มความคุ้มค่าและน่าใช้งานมากขึ้นอีกขั้น
Q
Mazda3 ใช้ยางยี่ห้ออะไร?
ยางติดรถเดิมของ Mazda3 ที่จำหน่ายในประเทศไทยจะแตกต่างกันไปตามปีรุ่นและรุ่นย่อย โดยส่วนใหญ่มักใช้ยางจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เช่น Bridgestone, Dunlop หรือ Yokohama ซึ่งเป็นยางที่ได้รับความนิยมในไทยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะด้านการยึดเกาะบนถนนเปียกและความทนทานที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย เมื่อต้องเปลี่ยนยางใหม่ ผู้ใช้ในไทยสามารถเลือกแบรนด์อื่นที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เช่น Michelin รุ่น Primacy หรือ Goodyear รุ่น Assurance ซึ่งมีสมรรถนะดีทั้งในช่วงฤดูฝนและอุณหภูมิสูงของไทย อีกทั้งยังหาซื้อได้ง่ายตามร้านยางหรือศูนย์บริการทั่วไป คำแนะนำสำหรับเจ้าของรถคือ เลือกยางตามลักษณะการใช้งาน เช่น ถ้าต้องการความเงียบและนุ่มสบาย หรือเน้นความทนทานก็ควรเลือกรุ่นที่เหมาะสม และอย่าลืมตรวจสอบลมยางและความลึกของดอกยางอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนของไทย ควรเน้นยางที่มีประสิทธิภาพในการรีดน้ำเพื่อลดความเสี่ยงในการลื่นไถล
Q
Mazda 3 เป็นรถที่ดีหรือไม่?
มาสด้า 3 เป็นรถเก๋งขนาดกลางที่ขายดีในตลาดไทย ด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดูสปอร์ตและทันสมัย พร้อมด้วยการตกแต่งภายในที่หรูหราและให้ความรู้สึกพรีเมียม แถมยังขับเคลื่อนได้อย่างคล่องตัวเหมาะกับสภาพถนนทั้งในเมืองและนอกเมืองของไทย นอกจากนี้เทคโนโลยี Skyactiv ยังช่วยประหยัดน้ำมันซึ่งเป็นข้อดีในเมื่อราคาน้ำมันไทยค่อนข้างสูง ระบบความปลอดภัยอย่าง i-Activsense ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ในสภาพการจราจรที่ค่อนข้างวุ่นวายของไทย อย่างไรก็ตาม มาสด้า 3 มีข้อเสียคือพื้นที่เบาะหลังค่อนข้างคับ สำหรับครอบครัวไทยที่ชอบเดินทางพร้อมหน้าพร้อมตาอาจจะรู้สึกอึดอัดหน่อย ส่วนค่าบำรุงรักษาก็สูงกว่ารถญี่ปุ่นรุ่นอื่นๆ เล็กน้อย และที่สำคัญในอากาศร้อนๆ แบบไทย บางคนอาจรู้สึกว่าแอร์ไม่ค่อยเย็นเท่าที่ควร ถ้าคุณเป็นคนชอบความสปอร์ตและความสวยงามของดีไซน์ มาสด้า 3 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าอยากได้รถที่กว้างขวางและค่าดูแลถูกกว่านี้ อาจต้องมองหารุ่นอื่น ในตลาดไทยยังมีคู่แข่งอย่างโตโยต้า คอร์ลล่า หรือฮอนด้า ซีวิค ที่น่าสนใจเหมือนกัน แนะนำว่าก่อนซื้อควรลองขับเปรียบเทียบดูให้ดี และอย่าลืมเลือกรุ่นที่เหมาะกับอากาศร้อนแบบไทย เช่น มีกระจกกันความร้อนและระบบแอร์ที่แรงพอสู้กับแดดเมืองไทยได้

ข้อดี

ภายในรถมีการตกแต่งที่ดี ด้วยโทนสีดำที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยสปอร์ตหรู คุณภาพของวัสดุภายในรถดี การออกแบบทำให้รถดูหรูหราและขั้นสูง การจัดวางแผงอุปกรณ์สะดวกในการใช้งาน
ที่นั่งสบาย การออกแบบที่นั่งตรงกับร่างกาย รองรับด้านข้างที่ดีสำหรับคนขับและผู้โดยสาร สามารถนั่งนานๆ โดยไม่รู้สึกเหนื่อย และที่นั่งขับสามารถปรับได้ 10 ทิศทางโดยใช้ไฟฟ้า
ฟังก์ชันและคุณสมบัติที่ดี มีจอภาพที่คนขับสามารถดูได้ สามารถแสดงความเร็วในการเร่งและการใช้น้ำมัน มีกล้องทั่วรถที่ติดตั้งอย่างดี
สมรรถนะทางการจับคืนดินเป็นอย่างดี ระบบความแข็งแรงกับที่อยู่ใต้รถดีเยี่ยม สมรรถนะทางการจับคืนดินสูงในระหว่างการเลี้ยวหรือในส่วนที่อยู่ใต้รถที่เดินทาง ขับเคลื่อนไม่อย่างรวดเร็ว การเร่งและหมุนกำลังไม่เปลี่ยนแปลงมากจากรุ่นก่อนหน้านี้ น้ำหนักของรถเพิ่มขึ้น

ข้อเสีย

การปรับเปลี่ยนคุณลักษณะของที่นั่งคนขับและที่นั่งผู้โดยสารไม่ตรงกัน ที่นั่งของคนขับสามารถปรับได้ 10 ทิศทาง แต่ที่นั่งของผู้โดยสารไม่สามารถเติมเต็ม 10 ทิศทาง ฟีเจอร์ที่นั่งไม่ได้ตอบสนองความต้องการอย่างเต็มที่
แต่ฟังก์ชั่นของระบบควบคุมการท่องเที่ยวไม่เพียงพอ แม้ว่าจะสามารถเพิ่มหรือลดความเร็วของรถและตามรถที่อยู่ด้านหน้าผ่านเส้นทางที่กว้าง แต่ไม่มีฟังก์ชั่น Stop-and-go
พื้นที่ภายในรถไม่สะกดกว่าผลิตภัณฑ์ที่แข่งขัน มาสด้ามักมีข้อเสียด้านพื้นที่ที่นั่งด้านหลังในแทบทุกรุ่น แต่รุ่น Mazda 3 Sedan ปี 2019 กว้างขึ้นเล็กน้อยกว่าที่ผ่านมา แต่ยังไม่ตรงกับผลิตภัณฑ์ที่แข่งขัน
ความสบายของชานเส้นไม่ตรงกับผลิตภัณฑ์ที่แข่งขัน เมื่อขับขี่บนถนนที่ไม่ราบหรือถนนที่มีลูกรัง คุณจะรู้สึกถึงการสั่น โดยมีความรู้สึกว่ามีการสั่นสะเทือนจากพื้นผิวที่ยางกระทบ

Q&A ล่าสุด

Q
ราคา Nissan Almera คือเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่าย
Nissan Almera มีช่วงราคาระหว่าง 549,000 ถึง 699,000 บาทในประเทศไทย นอกจากราคาซื้อรถแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ควรพิจารณา ได้แก่ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งรถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์เบนซิน โดยรุ่นปี 2024 มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยประมาณ 4.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายจริงขึ้นอยู่กับระยะทางที่ขับขี่และราคาน้ำมันในแต่ละช่วงเวลา อีกหนึ่งค่าใช้จ่ายสำคัญคือเบี้ยประกันภัย ซึ่งจะแตกต่างกันตามประเภทประกัน มูลค่ารถ และประวัติการขับขี่ของเจ้าของรถ รวมถึงค่าบำรุงรักษา เช่น การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมัน และการเปลี่ยนยางเมื่อสึกหรอ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นตามอายุการใช้งานและระยะทางที่ใช้งานรถยนต์
Q
Nissan Almera เป็นรถยนต์ที่มาพร้อมกับสเปคที่น่าสนใจ ดังนี้
Nissan Almera เป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูง มาพร้อมกับสเปกที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างหลากหลาย ตัวรถมีความยาว 4495 มิลลิเมตร กว้าง 1740 มิลลิเมตร สูง 1460 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2605 มิลลิเมตร มอบพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย น้ำหนักรถอยู่ที่ประมาณ 1073 ถึง 1079 กิโลกรัม มี 4 ประตู 5 ที่นั่ง และถังน้ำมันจุ 35 ลิตร เหมาะกับการใช้งานแบบครอบครัว ด้านเครื่องยนต์ ใช้เครื่องเบนซิน 3 สูบ ขนาด 999 ซีซี หรือ 1.0 ลิตร ระบบดูดอากาศแบบธรรมดา ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า (74 กิโลวัตต์) ที่ 5000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ที่ 4000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า ในด้านความปลอดภัย มาพร้อมกับระบบเบรก ABS ระบบควบคุมการทรงตัว ตัวเตือนเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง จุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX เซ็นเซอร์ถอยหลัง และกล้องมองหลังเป็นมาตรฐาน รุ่นบางรุ่นยังเพิ่มระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบเตือนมุมอับสายตา และระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน ภายในห้องโดยสารติดตั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รุ่นสูงบางรุ่นมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมหน้าจอกลางขนาด 8 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงมีลำโพงตั้งแต่ 4 ถึง 6 ตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย ราคาจำหน่ายมีตั้งแต่ประมาณ 589,000 ถึง 699,000 บาท ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์และรุ่นย่อยที่เลือก
Q
Denza D9 มีข้อเสียอะไรบ้าง
Denza D9 ไม่ใช่รถที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน ยังมีบางจุดที่สามารถปรับปรุงได้ ด้านระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทยรองรับเพียงระดับ L2 ซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่นท็อปในประเทศจีนแล้ว จะขาดฟังก์ชันช่วยขับขั้นสูงบางอย่าง จึงไม่สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกและชาญฉลาดได้อย่างเต็มที่ ในส่วนของรายละเอียดภายใน กล่องคอนโซลกลางมีตู้แช่เย็นติดตั้งอยู่ด้านล่าง ทำให้ความลึกของกล่องเก็บของลดลง เหมาะสำหรับใส่ของขนาดบาง ๆ เท่านั้น จึงจำกัดการใช้งานในการจัดเก็บ ขณะที่พวงมาลัยใช้ระบบสัมผัสแบบทัช ซึ่งให้แรงสะท้อนกลับที่ไม่ชัดเจนนัก อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าไม่ได้กดหรือสั่งงาน ต่างจากปุ่มกดแบบดั้งเดิมที่ให้สัมผัสชัดเจน นอกจากนี้ ยังพบอาการหน้ารถทิ่มเมื่อเบรกอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะขณะหยุดที่สัญญาณไฟแดง อาการนี้ส่งผลให้ผู้โดยสารตอนหลังรู้สึกไม่สบายขณะเดินทาง
Q
Denza D9 อยู่ใน Segment อะไร
Denza D9 จัดอยู่ในกลุ่มรถ MPV (Multi-Purpose Vehicle) หรือรถอเนกประสงค์ โดยมีการวางตำแหน่งเป็นรถ MPV ระดับพรีเมียมหรูหรา เหมาะทั้งสำหรับการเดินทางของครอบครัวและการรับรองลูกค้าทางธุรกิจ รุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน ด้วยห้องโดยสารแบบ 7 ที่นั่งที่กว้างขวาง การตกแต่งภายในหรูหรา และเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง เช่น หน้าจอกลางขนาดใหญ่ เบาะปรับอุณหภูมิได้ทั้งร้อนและเย็น ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่เน้นความสะดวกสบายและการใช้งานจริง ในประเทศไทย รถ MPV ก็เป็นที่นิยม โดยเฉพาะรุ่นหรูอย่าง Toyota Alphard และ Honda Odyssey ซึ่งการมาของ Denza D9 ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะมีทั้งเวอร์ชันไฟฟ้าล้วนและปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งตอบรับแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย หากคุณกำลังพิจารณาซื้อรถ MPV ควรดูทั้งเรื่องความกว้างขวาง ความสะดวกสบาย รวมถึงระยะทางต่อการชาร์จและความสะดวกในการชาร์จ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จในไทยกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รถไฟฟ้าจะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ระบบอัจฉริยะใน Denza D9 เช่น การควบคุมด้วยเสียงและระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ยังช่วยให้การขับขี่ในเมืองที่การจราจรหนาแน่นอย่างกรุงเทพฯ เป็นเรื่องง่ายขึ้นอีกด้วย
Q
Reslae Value ของ Denza D9 คืออะไร
Denza D9 เปิดตัวในประเทศไทยด้วยรุ่น DENZA D9 Premium 2024 และ DENZA D9 Performance AWD 2024 โดยมีราคาจำหน่ายที่ 1,999,900 บาท และ 2,699,900 บาทตามลำดับ ราคาขายต่อในตลาดมือสองมักจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพการใช้งาน ระยะทางที่วิ่ง อายุของรถ และอุปสงค์อุปทานในตลาด หากรถถูกใช้งานในระยะเวลาสั้น มีระยะทางน้อย และสภาพดี ราคาขายต่อจะค่อนข้างสูง ในทางกลับกัน หากรถมีความเสียหายชัดเจน หรือวิ่งมาไกล ราคาจะลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ ความต้องการของตลาดยังเป็นปัจจัยสำคัญ หากความต้องการรถ Denza D9 สูงและมีรถในตลาดจำนวนน้อย ราคาจะรักษาระดับได้ดี แต่หากอุปทานมากเกินความต้องการ ราคาขายต่อก็อาจลดลงได้เช่นกัน
ดูเพิ่มเติม