Q

MG EP ใช้ยางขนาดเท่าไหร่?

MG EP มาพร้อมยางขนาด 205/60 R16 ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งเป็นขนาดที่ช่วยให้รถมีความมั่นคงในการขับขี่ โดยเลข 205 หมายถึงความกว้างของหน้ายาง ยางที่กว้างจะมีพื้นที่สัมผัสกับพื้นถนนมากขึ้น ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะ ส่วนเลข 60 คืออัตราส่วนแก้มยาง (ซีรี่ส์ยาง) ซึ่งค่าที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้สมดุลระหว่างความนุ่มนวลและการควบคุมรถได้ดี และ R16 หมายถึงยางเรเดียลที่ใช้กับล้อขนาด 16 นิ้ว ขนาดของยางมีผลต่อการควบคุมรถ การเบรก และอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ดังนั้นในการใช้งานประจำวันควรหมั่นตรวจสอบสภาพการสึกหรอของยางอยู่เสมอ เพื่อให้ยางอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและสบายตลอดเส้นทาง
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
รถยนต์ไฟฟ้า MG EP มีปัญหาอะไรบ้าง? สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อมีอะไร?
สำหรับรถไฟฟ้า MG EP ที่วางขายในตลาดไทย ปัญหาที่พบส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับความเข้ากันได้ของระบบชาร์จ ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ และความเสถียรของระบบซอฟต์แวร์ ในสภาพอากาศร้อนของไทย กลไกป้องกันแบตเตอรี่ร้อนเกินอาจส่งผลต่อความเร็วในการชาร์จแบบเร็ว แนะนำให้เจ้าของรถใช้สถานีชาร์จที่ได้รับการรับรองจากทางบริษัทเพื่อความเข้ากันได้ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ควรอัปเดตระบบ OTA เป็นประจำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการแบตเตอรี่ ส่วนเรื่องระยะทางนั้น การใช้งานจริงจะได้รับผลกระทบจากความถี่ในการใช้แอร์และสภาพการจราจรติดขัดในเมือง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ผู้ใช้ในไทยยังต้องระมัดระวังเรื่องการขับรถลุยน้ำในช่วงฤดูฝนเพื่อปกป้องแบตเตอรี่ แม้ว่า MG EP จะมีมาตรการป้องกันระดับ IP67 แต่การแช่น้ำเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดปัญหาในระบบวงจรได้ ส่วนปัญหาสถานีชาร์จไม่เพียงพอซึ่งเป็นเรื่องปกติในรถไฟฟ้ารุ่นใกล้เคียงกัน ก็พบได้ในเมืองรองของไทยเช่นกัน แนะนำให้สำรวจจุดชาร์จรอบๆ ที่พักอาศัยก่อนตัดสินใจซื้อรถ ข้อดีคือรัฐบาลไทยมีนโยบายลดภาษีและให้เงินสนับสนุนรถไฟฟ้า ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการซื้อได้อย่างชัดเจน โดยสรุปแล้ว การใช้งานรถไฟฟ้าในไทยต้องพิจารณารวมกันหลายปัจจัย ทั้งสภาพอากาศ พฤติกรรมการใช้งาน และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน
Q
MG EP เป็นรถแบบไหน?
MG EP เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น C-Segment ที่มีขนาดความยาว 4,544 มม. กว้าง 1,818 มม. และสูง 1,536 มม. ระยะฐานล้อ 2,665 มม. ออกแบบมาแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง เหมาะสำหรับครอบครัว พื้นที่เก็บสัมภาระปรับได้ตั้งแต่ 464 ถึง 1,456 ลิตร เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย รุ่นนี้ทำความเร็วสูงสุดได้ 185 กม./ชม. เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 8.8 วินาที ตามข้อมูลทางการ มอเตอร์ไฟฟ้าสร้างกำลังสูงสุด 50.3 แรงม้า แรงบิดรวม 260 นิวตัน-เมตร วิ่งได้ไกล 380 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ด้วยแบตเตอรี่ความจุ 50.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ AT และขับเคลื่อนล้อหน้า สำหรับระบบความปลอดภัยและความสะดวก มี ABS ระบบเบรกอัตโนมัติ หลายถุงลมนิรภัย จุดยึดเก้าอี้เด็ก ISO FIX ระบบช่วยออกรถบนทางลาดชัน และหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว มาด้วยกันทั้งหมด ปัจจุบันรุ่นนี้สถานะการขายเป็น No ราคาอยู่ที่ 761,000 บาท
Q
จะคำนวณค่างวดผ่อน MG EP ยังไง?
การคำนวณค่างวดผ่อนรถ MG EP ต้องเริ่มจากการรู้ราคาของตัวรถก่อน เช่น MG EP ราคา 761,000 บาท และ MG EP Plus ราคา 771,000 บาท จากนั้นให้เลือกเปอร์เซ็นต์เงินดาวน์ที่ต้องการ โดยทั่วไปจะมีตั้งแต่ 20%, 30%, 40%, 50%, ไปจนถึง 60% เช่น ถ้าเลือกดาวน์ 30% สำหรับรุ่น MG EP ราคาจะคิดเป็น 761,000 × 30% = 228,300 บาท ส่วนยอดจัดไฟแนนซ์คือ 761,000 - 228,300 = 532,700 บาท ขั้นตอนถัดไปคือเลือกจำนวนงวดที่ต้องการผ่อน โดยทั่วไปมีให้เลือกตั้งแต่ 12, 18, 24, 36 งวด และแต่ละสถาบันการเงินจะมีอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน เช่น สมมติธนาคารแห่งหนึ่งเสนออัตราดอกเบี้ยรายปีที่ x% (ต้องสอบถามธนาคารโดยตรง) จากนั้นให้นำข้อมูลไปคำนวณค่างวดรายเดือนโดยใช้สูตรการผ่อนแบบ “เงินต้นและดอกเบี้ยคงที่” (Equal Monthly Installment หรือ EMI) ดังนี้ M = P \times \frac{r(1 + r)^n}{(1 + r)^n - 1} โดยที่ M คือค่างวดรายเดือน, P คือยอดเงินกู้, r คืออัตราดอกเบี้ยต่อเดือน (ดอกเบี้ยต่อปี ÷ 12), และ n คือจำนวนเดือนที่ผ่อน เมื่อได้ค่างวดรายเดือนแล้ว ก็สามารถหายอดรวมที่ต้องจ่ายทั้งหมดได้โดยนำ M × จำนวนเดือน และหาดอกเบี้ยรวมที่จ่ายทั้งหมดได้จาก ยอดรวมที่ต้องจ่าย - เงินต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการผ่อนอีกแบบที่เรียกว่า “แบบเงินต้นเท่ากัน” ซึ่งจะจ่ายค่างวดมากในช่วงแรก และลดลงในภายหลัง ผู้ซื้อสามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพการเงินของตัวเองได้
Q
ความเร็วสูงสุดของ MG EP คือเท่าไหร่?
MG EP เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 130 กม./ชม. ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานบนถนนในเมืองและทางหลวงของประเทศไทย ทั้งการเดินทางในชีวิตประจำวันหรือท่องเที่ยวระยะสั้นก็ตอบโจทย์ได้ดี ในสภาพอากาศร้อนของไทย ระบบจัดการแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก และ MG EP ก็มาพร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิประสิทธิภาพสูง ที่ช่วยให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างเสถียรแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมอุณหภูมิสูง แถมยังวิ่งได้ไกลถึง 305 กม. (มาตรฐาน NEDC) เหมาะกับการเดินทางในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการใช้งานรถไฟฟ้ายังถูกกว่ารถน้ำมันมาก โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลไทยออกนโยบายสนับสนุนรถไฟฟ้า ทำให้ MG EP มีความคุ้มค่าเพิ่มขึ้นอีก โครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จในไทยก็กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และ MG EP ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว ที่สามารถชาร์จได้ถึง 80% ในเวลาเพียง 30 นาที ทำให้สะดวกสบายมากขึ้น ถ้าคุณกำลังคิดจะซื้อรถไฟฟ้า นอกจากความเร็วสูงสุดแล้ว ลองศึกษาตำแหน่งสถานีชาร์จและนโยบายค่าไฟฟ้าในไทยเพิ่มเติมด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อประสบการณ์การใช้รถในชีวิตประจำวันแน่นอน
Q
MG EP ผ่อนต่อเดือนประมาณเท่าไหร่?
ราคารถ MG EP อยู่ที่ 761,000 บาท แต่จำนวนเงินผ่อนต่อเดือนจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เงินดาวน์ อัตราดอกเบี้ย และระยะเวลาผ่อนชำระ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจ่ายเงินดาวน์สูง เงินผ่อนต่อเดือนก็จะน้อยลง แต่ถ้าเลือกผ่อนยาวๆ เงินผ่อนแต่ละเดือนอาจจะเบาลง แต่อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมมากกว่า ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันก็ส่งผลต่อยอดผ่อนโดยตรงเช่นกัน เนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขการกู้ยืมที่แน่นอนของลูกค้า จึงไม่สามารถบอกยอดผ่อนต่อเดือนที่แน่นอนได้ แนะนำให้ไปที่ตัวแทนจำหน่าย MG ที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอคำปรึกษา พนักงานจะช่วยคำนวณเงินผ่อนให้เหมาะกับสภาพทางการเงินและความต้องการของลูกค้าได้ นอกจากนี้เมื่อซื้อรถยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึง เช่น ประกันรถ และค่าทำทะเบียนด้วยนะครับ
Q
MG EP ขนาดเท่าไหร่? มันใหญ่ขนาดไหน?
MG EP มีขนาดตัวถังยาว 4,544 มม. กว้าง 1,818 มม. และสูง 1,536 มม. พร้อมระยะฐานล้อ 2,665 มม. จัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์ขนาด C-Segment ซึ่งมิติที่กว้างขวางนี้ช่วยให้ห้องโดยสารภายในโปร่งโล่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารตอนหน้า หรือตอนหลังก็ได้รับพื้นที่ศีรษะและพื้นที่วางขาอย่างเหมาะสม ส่งผลให้การโดยสารมีความสะดวกสบาย ตัวรถมาพร้อมกับรูปแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง เหมาะกับการใช้งานของครอบครัว ขณะที่พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุอยู่ที่ 464 – 1,456 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลงจะสามารถเพิ่มพื้นที่เก็บของได้มากขึ้น รองรับการใช้งานหลากหลาย ทั้งการจับจ่ายใช้สอย การขนย้ายของ หรือการเดินทางไกล โดยรวมแล้ว MG EP มีจุดเด่นด้านความอเนกประสงค์ของพื้นที่ ใช้งานได้ดีทั้งในชีวิตประจำวันและในสถานการณ์การเดินทางรูปแบบต่าง ๆ
Q
MG EP มีสีอะไรบ้าง? คุณชอบสีไหน?
MG EP ในตลาดประเทศไทยมีตัวเลือกสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 3 สีคลาสสิก ได้แก่ ARCTIC WHITE (สีขาวอาร์กติก), METALLIC GREY (สีเทาเมทัลลิก) และ BLACK KNIGHT (สีดำแบล็คไนท์) สี ARCTIC WHITE เป็นสีขาวเงางาม ให้ความรู้สึกเรียบหรู สะอาดตา และยังดูแลรักษาง่าย เหมาะกับสภาพอากาศร้อนและฝุ่นเยอะของเมืองไทย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำคืนเพราะสีสว่างมองเห็นได้ง่าย METALLIC GREY เป็นสีเทาเมทัลลิกที่ให้ความรู้สึกสุภาพ เรียบง่าย แต่แฝงความหรูหรา เมื่อโดนแสงแดดจะสะท้อนความเงางามของเม็ดสีโลหะ เหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการภาพลักษณ์มืออาชีพ เช่น นักธุรกิจหรือผู้บริหาร BLACK KNIGHT มาในโทนสีดำสนิทพร้อมเคลือบเงา ให้ความรู้สึกหรูหราและลึกลับ โดดเด่นในด้านการเน้นเส้นสายของตัวรถ ซึ่งเป็นสีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ทั้ง 3 สีนี้ใช้เทคโนโลยีการพ่นสีขั้นสูงที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV และทนต่อการกัดกร่อนได้ดี ช่วยให้ตัวรถดูใหม่และเงางามได้ยาวนาน ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเลือกสีตามรสนิยม สภาพแวดล้อมการใช้งาน และความสะดวกในการดูแลรักษา โดยศูนย์บริการ MG ยังมีคำแนะนำด้านการดูแลรักษาสีรถอย่างมืออาชีพอีกด้วย
Q
MG EP ราคาเท่าไหร่?
รถ MG EP ราคาอยู่ที่ 761,000 บาท เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ระดับซีคลาส คันนี้จัดMG EP มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 761,000 บาท โดยเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในระดับ C-Segment มาพร้อมกับฟังก์ชันที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ตัวถังมีขนาดความยาว 4,544 มม. กว้าง 1,818 มม. สูง 1,536 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,665 มม. โครงสร้างตัวรถแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง เหมาะกับการใช้งานของครอบครัว พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสามารถจุได้ตั้งแต่ 464 – 1,456 ลิตร รองรับการใช้งานหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขับขี่ในเมืองหรือเดินทางไกล ด้านสมรรถนะ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 50.3 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร มีระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนตามมาตรฐานที่ระบุไว้ประมาณ 380 กิโลเมตร เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทางระยะสั้น ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐาน ตัวรถมาพร้อมระบบความปลอดภัย เช่น ระบบเบรก ABS, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง และจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก ISO FIX นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ เช่น ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย, ไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED และหน้าจอกลางขนาด 8 นิ้ว
Q
MG EP Specs คืออะไร?
MG EP มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 761,000 บาท โดยเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในระดับ C-Segment มาพร้อมกับฟังก์ชันที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ตัวถังมีขนาดความยาว 4,544 มม. กว้าง 1,818 มม. สูง 1,536 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,665 มม. โครงสร้างตัวรถแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง เหมาะกับการใช้งานของครอบครัว พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสามารถจุได้ตั้งแต่ 464 – 1,456 ลิตร รองรับการใช้งานหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขับขี่ในเมืองหรือเดินทางไกล ด้านสมรรถนะ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 50.3 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร มีระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนตามมาตรฐานที่ระบุไว้ประมาณ 380 กิโลเมตร เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทางระยะสั้น ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐาน ตัวรถมาพร้อมระบบความปลอดภัย เช่น ระบบเบรก ABS, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง และจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก ISO FIX นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ เช่น ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย, ไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED และหน้าจอกลางขนาด 8 นิ้ว
Q
MG EP มีโปรโมชั่นหรือข้อเสนอพิเศษอะไรบ้าง?
MG EP ในตลาดประเทศไทย โปรโมชั่นหรือข้อเสนอพิเศษอาจแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาการขายและกลยุทธ์ของตัวแทนจำหน่าย โดยทั่วไปแล้ว โปรโมชั่นที่พบได้บ่อย ๆ อาจรวมถึง ส่วนลดเงินสดในการซื้อรถ, แผนการเงินผ่อนดอกเบี้ยต่ำ, แพ็คเกจบริการดูแลรักษาฟรี หรือการแจกอุปกรณ์เสริมบางชนิดสำหรับรถยนต์ แต่ข้อเสนอและโปรโมชั่นที่เฉพาะเจาะจงนั้นควรสอบถามจากตัวแทนจำหน่าย MG ในพื้นที่เพื่อรับข้อมูลที่แม่นยำและล่าสุด

ข้อดี

ราคาของรถคุ้มค่าในรถยนต์ไฟฟ้า ราคา 988,000 บาท
การออกแบบร่างกายของรถเป็นเอกลักษณ์ โดยใช้ Station wagon ดีไซน์ ภายนอกน่าสนใจ
พื้นที่ภายในรถกว้างขวางมีพื้นที่เก็บของมาก
ระบบไดรฟ์ทำงานดี แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาว 380 กิโลเมตร
มีการจัดสรรหลายฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ เช่น เบรกไฟฟ้า ระบบรักษาการเบรกอัตโนมัติ ฯลฯ

ข้อเสีย

การออกแบบภายในและภายนอกบางส่วนล้าสมัย ขาดองค์ประกอบการออกแบบที่น่าไปสนใจ
ชาซีนุ่มเกินไป รถมักจะสั่นเสมอเมื่อขับขี่ ขาดความมั่นใจในการเลี้ยว
การตั้งค่าถูกลดลง เช่น ไม่มีการเข้าถึงอัจฉริยะ ไม่มีหน้าต่างดาว ฟังก์ชันของแดชบอร์ดถูกละเว้น ไม่มีระบบ i-Smart
จำนวนของศูนย์บริการน้อยกว่ายี่ห้อหลักอื่น ๆ

Q&A ล่าสุด

Q
ปัญหาของ Honda Jazz มีอะไรบ้าง เรียนรู้ก่อนซื้อ
Honda Jazz หรือที่ในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ Honda City Hatchback เป็นรถยนต์ขนาดกะทัดรัดที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ก่อนการซื้อควรทราบถึงปัญหาที่พบบ่อยบางประการ เช่น ผู้ใช้งานบางรายพบว่าเกียร์ CVT อาจมีอาการกระตุกเล็กน้อยในช่วงความเร็วต่ำซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเกียร์แบบนี้ โดยการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยบรรเทาได้ นอกจากนี้ในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยควรใส่ใจเรื่องอายุแบตเตอรี่และควรตรวจสอบทุก 2 ปี ในช่วงฤดูฝนควรทำความสะอาดช่องระบายน้ำของหลังคาซันรูฟเพื่อป้องกันการอุดตัน ช่วงล่างของรถถูกเซ็ตมาเน้นความนุ่มนวลเหมาะกับสภาพถนนในเมืองไทย แต่ขณะเลี้ยวควรลดความเร็วเพื่อเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ ความยืดหยุ่นของพื้นที่ใช้สอยเป็นจุดเด่นของ Jazz ด้วยระบบเบาะนั่งแบบ Magic Seat ที่ตอบโจทย์การบรรทุกสัมภาระหลายรูปแบบ เหมาะกับการใช้งานของครอบครัวในไทย เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร i-VTEC คู่กับเกียร์ CVT ให้ความประหยัดน้ำมันที่ดีประมาณ 15-16 กิโลเมตรต่อลิตรในสภาพการจราจรติดขัดของกรุงเทพฯ รุ่น RS ที่จำหน่ายในไทยมาพร้อมชุดแต่งสปอร์ตและระบบความปลอดภัย Honda SENSING ซึ่งเป็นอ็อปชันที่มีประโยชน์ แนะนำให้ทดลองขับที่ศูนย์บริการตัวแทนจำหน่ายเพื่อทดสอบระบบปรับอากาศว่าตอบโจทย์กับสภาพอากาศร้อนได้ดีหรือไม่ โดยรวมแล้วหากดูแลรักษาตามระยะเวลาและคำแนะนำจากผู้ผลิต Honda Jazz ถือเป็นตัวเลือกที่น่าเชื่อถือสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้ขับขี่ในไทย
Q
ขนาดยางของ Honda Jazz คืออะไร ตรวจสอบมาตรฐานได้ที่นี่
สำหรับรถฮอนด้าแจ๊สในตลาดไทย ขนาดยางมาตรฐานที่นิยมใช้คือ 185/55 R16 ซึ่งขนาดนี้ช่วยให้ได้ทั้งความนุ่มสบายและความคล่องตัวเหมาะกับสภาพถนนในเมืองและการขับทางไกลเป็นครั้งคราว อัตราส่วนยางแบบ 55 ให้ประสิทธิภาพการรีดน้ำและยึดเกาะถนนเปียกได้ดีในช่วงฤดูฝนของไทย ส่วนล้อขนาด 16 นิ้วก็ได้ความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยที่ลงตัว อย่างไรก็ตาม รุ่นและปีที่ต่างกันอาจมีขนาดยางแตกต่างกัน เช่น รุ่นพื้นฐานอาจใช้ยางขนาด 175/65 R15 ในขณะที่รุ่นสปอร์ตหรือรุ่นพิเศษอาจใช้ยางกว้างขึ้นที่ 195/50 R16 สำหรับคนไทยเวลาจะเลือกยางรถ นอกจากจะดูขนาดตามที่ผู้ผลิตแนะนำแล้ว ควรคำนึงถึงสภาพอากาศของประเทศเราด้วย เลือกยางที่มีสัญลักษณ์สำหรับถนนเปียกหรือทนความร้อนสูงได้ ในฤดูฝนอาจเพิ่มลมยางอีก 2-3 psi เพื่อช่วยการรีดน้ำ แต่ไม่ควรเกินค่าสูงสุดที่กำหนดไว้ที่กรอบประตูรถ ถ้าอยากอัพเกรดขนาดยาง ควรเปลี่ยนในระยะ ±3% ของเส้นผ่านศูนย์กลางเดิม เช่น อัพเป็น 195/50 R16 ที่นิยมทำกันและปลอดภัย แค่ต้องระวังกฎหมายไทยเกี่ยวกับการโมดิฟายด์ยางรถด้วยนะ
Q
ฮอนด้า แจ๊ซ คืออะไร นี่คือคำแนะนำแบบเต็มๆ สำหรับคุณ
Honda Jazz เป็นรถแฮทช์แบ็กรุ่นคลาสสิกของฮอนด้าที่ได้รับความนิยมในตลาดประเทศไทย ด้วยความโดดเด่นด้านความคุ้มค่าและการใช้งานที่เหมาะกับการขับขี่ในเมือง รถรุ่นนี้ในไทยมีชื่อเรียกว่า Honda Fit ใช้เครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังขับเคลื่อนที่นุ่มนวลและประหยัดน้ำมัน เหมาะอย่างยิ่งกับสภาพการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯ ห้องโดยสารมีการออกแบบที่ยืดหยุ่น เบาะนั่งแบบ Magic Seat สามารถพับเก็บได้ง่าย ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ ตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัว ระบบความปลอดภัยติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว VSA และถุงลมนิรภัยหลายจุด ตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยของตลาดไทย Honda Jazz ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มคนรุ่นใหม่และครอบครัวขนาดเล็ก มีความทนทานและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ เมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกันยังมีอัตราการเก็บมูลค่าค่อนข้างดีและตลาดรถมือสองมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ผู้บริโภคในไทยยังสามารถเลือกใช้รุ่นไฮบริดซึ่งช่วยลดอัตราการใช้น้ำมันและสอดคล้องกับแนวโน้มรักษ์โลก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Honda ได้อัปเกรดเทคโนโลยีใน Jazz อย่างต่อเนื่อง เช่นการติดตั้งระบบช่วยขับ Honda SENSING ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ ในสภาพอากาศร้อนของไทย ระบบปรับอากาศของรถมีประสิทธิภาพสูงช่วยเพิ่มความสบายในการเดินทาง ในฐานะรถยนต์ระดับโลก Honda Jazz ยังได้รับการสนับสนุนด้วยเครือข่ายบริการหลังการขายที่ครอบคลุมในประเทศไทย ทำให้การซ่อมบำรุงสะดวกสบาย เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับการใช้งานประจำวัน
Q
วิธีคำนวณเงินกู้ Honda Jazz เข้าใจแนวทางที่นี่
การคำนวณเงินกู้สำหรับรถ Honda Jazz ต้องพิจารณาหลายปัจจัย เริ่มจากราคารถก่อน เพราะแต่ละรุ่นราคาต่างกัน เช่น Honda Jazz 1.5 S MT ปี 2020 ราคา 555,000 บาท ส่วนรุ่น 1.5 S CVT ราคา 594,000 บาท เป็นต้น ต่อมาคือเงินดาวน์ ถ้าเลือกโปรแกรมดาวน์ศูนย์ก็ไม่ต้องจ่าย แต่ถ้าจ่ายตามปกติ เช่น 20% หรือ 30% สมมติว่าราคารถ 600,000 บาท จ่ายดาวน์ 20% ก็คือ 120,000 บาท เงินกู้ที่เหลือจะอยู่ที่ 480,000 บาท แล้วก็ดูจำนวนงวดที่ต้องการผ่อน มีทั้ง 12, 18, 24 หรือ 36 งวด ส่วนเรื่องดอกเบี้ยก็ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและโปรแกรมกู้ แต่ละที่คำนวณไม่เหมือนกัน แถมยังซับซ้อนเพราะต้องดูอัตราดอกเบี้ยตลาด ระยะเวลากู้ และเครดิตส่วนตัวด้วย ถ้าดอกเบี้ยตลาดต่ำและเครดิตดี ก็อาจได้โปรโมชั่นดอกเบี้ยพิเศษ สูตรคำนวณค่างวดต่อเดือนคือ [เงินต้นกู้ x อัตราดอกเบี้ยรายเดือน x (1 + อัตราดอกเบี้ยรายเดือน)^จำนวนงวด] ÷ [(1 + อัตราดอกเบี้ยรายเดือน)^จำนวนงวด - 1] พอรู้ค่างวดต่อเดือนแล้วก็จะวางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น
Q
ความเร็วสูงสุดของ Honda Jazz คือเท่าไร มาเรียนรู้ความเร็วสูงสุดของมันกัน
ความเร็วสูงสุดของฮอนด้าแจ๊ซในตลาดไทยจะแตกต่างกันไปตามรุ่นและการตั้งค่าการขับเคลื่อน สำหรับรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร i-VTEC แบบดูดอากาศธรรมชาติ (เช่นรุ่น RS) จะมีความเร็วสูงสุดประมาณ 190 กม./ชม. ส่วนรุ่น e:HEV แบบไฮบริดที่ใช้การทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์และเครื่องยนต์จะมีความเร็วสูงสุดน้อยกว่าเล็กน้อยแต่มีการตอบสนองการเร่งที่คล่องตัวกว่า เหมาะสมกับทั้งสภาพการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯและเส้นทางในเขตชานเมือง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนของไทยมีผลต่อการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ จึงแนะนำให้เจ้าของรถดูแลระบบระบายความร้อนอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาประสิทธิภาพที่ดีที่สุด นอกจากนี้ควรระวังเกี่ยวกับข้อจำกัดความเร็วบนทางหลวงไทยซึ่งส่วนมากกำหนดไว้ที่ 120 กม./ชม. การขับขี่เกินความเร็วกำหนดไม่เพียงแต่ผิดกฎหมายแต่ยังเพิ่มการสิ้นเปลืองน้ำมันและความเสี่ยงต่อความปลอดภัยอีกด้วย ฮอนด้าแจ๊ซเป็นรถขนาดเล็กที่ขายดีในไทยด้วยความประหยัดและการควบคุมที่คล่องตัวซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้ในเมือง หากต้องการพลังมากขึ้นสามารถพิจารณาตัวเลือกอัพเกรดประสิทธิภาพจากทางผู้ผลิต แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นไปตามกฎหมายดัดแปลงรถของกรมการขนส่งทางบกไทย
ดูเพิ่มเติม