Q

ความดันลมยางของ Denza D9 คือเท่าไร

Denza D9 เป็น MPV พลังงานใหม่ระดับพรีเมียม มีค่าความดันลมยางมาตรฐานแนะนำอยู่ที่ประมาณ 2.3 ถึง 2.5 บาร์ (33-36 psi) ซึ่งค่าที่แน่นอนอาจแตกต่างกันตามรุ่นรถหรือขนาดยาง ควรอ้างอิงข้อมูลจากป้ายที่เสากลางประตูหรือคู่มือฉบับภาษาไทย เนื่องจากสภาพอากาศร้อนชื้นในไทย ควรปรับความดันลมยางตามฤดูกาล โดยในฤดูร้อนสามารถลดความดันลง 0.1-0.2 บาร์ เพื่อป้องกันความร้อนสูงเกินไปและการระเบิดของยาง ส่วนในฤดูฝนหรือก่อนเดินทางไกลควรตรวจสอบความดันให้คงที่ สภาพถนนในไทยมีทั้งการจราจรติดขัดในเมืองและถนนชนบทที่ซับซ้อน การรักษาความดันลมยางให้เหมาะสมช่วยเพิ่มความนุ่มนวล ลดการสิ้นเปลืองพลังงาน และยืดอายุการใช้งานยาง หากบรรทุกน้ำหนักมากหรือใช้ความเร็วสูง สามารถเพิ่มความดันขึ้นประมาณ 0.1 บาร์ กฎหมายไทยกำหนดให้ใช้ยางที่ผ่านมาตรฐาน TIS และระบบตรวจจับความดันลมยาง (TPMS) มีความสำคัญอย่างยิ่งในสภาพอากาศร้อนชื้น ควรตรวจวัดความดันอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยเฉพาะก่อนและหลังฤดูฝน เพื่อป้องกันปัญหายางสึกหรอเกินไปหรือแตกร้าวบริเวณแก้มยาง ซึ่งสำคัญต่อความปลอดภัยและการดูแลรักษารถยนต์อย่างมาก
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
ราคามือสองของ Denza D9 คืออะไร ตรวจสอบราคามือสองได้ที่นี่
ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลราคามือสองของ DENZA D9 โดยตรง แต่รุ่นใหม่ของ DENZA D9 ในตลาดไทยมีหลายเวอร์ชัน ได้แก่ DENZA D9 Premium 2024 ราคาขาย 1,999,900 บาท และ DENZA D9 Performance AWD 2024 ราคาขาย 2,699,900 บาท ราคามือสองโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุการใช้งาน กิโลเมตรที่วิ่ง สภาพรถ และอุปสงค์อุปทานในตลาด โดยรถที่อายุใช้งานสั้น วิ่งน้อย และสภาพดี มักมีราคาสูงกว่า ส่วนรถที่มีประวัติอุบัติเหตุหรือสภาพไม่ดี ราคาจะลดลงอย่างมาก หากต้องการทราบราคามือสองที่แม่นยำ แนะนำให้ติดตามแพลตฟอร์มซื้อขายรถมือสองที่เชื่อถือได้ในท้องถิ่น หรือติดต่อผู้จำหน่ายรถมือสองที่มีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการค่ะ
Q
ขนาดยางของ Denza D9 คืออะไร
Denza D9 มีขนาดยางล้อหน้าเป็น 235/60 R18 และยางล้อหลังก็มีขนาดเดียวกันคือ 235/60 R18 ขนาดยางนี้มีคุณสมบัติและข้อดีหลายประการ โดยอัตราส่วนแก้มยาง 60 ทำให้แก้มยางค่อนข้างหนา ซึ่งช่วยเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ ลดแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ทำให้ประสบการณ์การขับขี่และโดยสารนุ่มนวลขึ้น ขอบล้อขนาด 18 นิ้วมีขนาดที่เหมาะสม ทั้งด้านความสวยงามและการใช้งานในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ขนาดยางนี้ยังเป็นขนาดที่พบได้ทั่วไปในตลาด ทำให้การเปลี่ยนยางในอนาคตมีตัวเลือกมากมายและราคามีความหลากหลาย อีกทั้งยางขนาดนี้ยังทำงานร่วมกับระบบช่วงล่างของรถได้ดี ช่วยให้รถมีความมั่นคงและการควบคุมที่ดีขณะขับขี่อีกด้วย
Q
Denza D9 คุ้มค่าหรือไม่ มาดูจุดเด่นและฟังก์ชันกัน
Denza D9 เป็นรถ MPV พลังงานไฟฟ้าหรูที่น่าสนใจ ราคาของรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าอยู่ที่ 1,999,900 บาท ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อราคา 2,699,900 บาท รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้ามีกำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ และระยะทางขับขี่ได้ 600 กิโลเมตร รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อมีกำลังรวม 275 กิโลวัตต์ ระยะทางขับขี่ 580 กิโลเมตร ตัวรถมีขนาดยาว 5,250 มิลลิเมตร กว้าง 1,960 มิลลิเมตร สูง 1,920 มิลลิเมตร พร้อมระยะฐานล้อ 3,110 มิลลิเมตร ใช้การจัดวางที่นั่งแบบ 2+2+3 รวม 7 ที่นั่ง ภายในกว้างขวาง ติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 15.6 นิ้ว พร้อมลำโพง Dynaudio 14 ตัว ระบบความปลอดภัยครบครัน เช่น ถุงลมนิรภัย 8 จุด ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ (ESC) อย่างไรก็ตาม รถยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะระดับ L2 ซึ่งลดสเปกลงเมื่อเทียบกับรุ่นสูงในจีน และมีเสียงรบกวนบางส่วนจากการใช้งาน เช่น เสียงเบรกหรือเสียงปัดน้ำฝน โดยรวม Denza D9 มีข้อดีในด้านพลังงานไฟฟ้าและดีไซน์ที่ดึงดูดใจ สามารถตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับการพิจารณาข้อดีข้อเสียของแต่ละคนว่าคุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่
Q
เมื่อไรคือวันเปิดตัว Denza D9
Denza D9 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2024 โดยรุ่นที่เปิดตัวในตลาดไทยครั้งแรกคือรุ่น Premium-AWD ซึ่งเป็นรถ MPV พลังงานไฟฟ้าระดับหรูที่มีความยาวตัวถังมากกว่า 5.25 เมตร ขับเคลื่อนสี่ล้อ มีกำลังสูงสุด 275 กิโลวัตต์ (ประมาณ 368 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6.9 วินาที นอกจากนี้ยังมีรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า คือ DENZA D9 Premium 2024 ที่มาพร้อมมอเตอร์เดี่ยวแบบขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 9.5 วินาที และระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าตามที่ระบุอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 600 กิโลเมตร ทั้งสองรุ่นติดตั้งเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Blade Battery และระบบช่วงล่างอัจฉริยะ DiSus-C ที่สามารถรองรับทั้งการใช้งานในเมืองและการเดินทางไกลได้เป็นอย่างดี
Q
ความยาวของ Denza D9 คือเท่าไร
Denza D9 มีความยาวตัวถังอยู่ที่ 5250 มิลลิเมตรซึ่งถือเป็นจุดเด่นสำคัญของรถรุ่นนี้ที่ช่วยเสริมสร้างพื้นฐานการออกแบบพื้นที่ภายในให้กว้างขวางมากขึ้นความยาวของรถช่วยให้ผู้โดยสารในทุกตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารตอนหลังได้รับพื้นที่ช่วงขาและศีรษะที่เพียงพอส่งผลให้การเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้นนอกจากนี้ความยาวตัวถังยังช่วยให้สามารถจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระได้อย่างลงตัวด้วยความจุห้องสัมภาระด้านหลัง 410 ลิตรเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือการเดินทางไกลไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเดินทางหรือของใช้ต่างๆก็สามารถบรรจุได้อย่างไม่ลำบากส่งผลให้การเดินทางเป็นเรื่องที่สะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
Q
ขนาดแบตเตอรี่ของ Denza D9 คืออะไร
Denza D9 มีหลายรุ่นโดยทุกรุ่นมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 10336 kWh ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ช่วยรองรับระยะทางการใช้งานได้อย่างมั่นใจตัวอย่างเช่นรุ่น Denza D9 Premium 2024 มีระยะทางขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าตามข้อมูลจากผู้ผลิตอยู่ที่ 600 กิโลเมตรขณะที่รุ่น Denza D9 Performance AWD 2024 มีระยะทางขับขี่อยู่ที่ 580 กิโลเมตรความจุแบตเตอรี่ที่มากนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การใช้งานประจำวันแต่ยังเหมาะสำหรับการเดินทางไกลโดยลดความถี่ในการชาร์จเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางและช่วยให้ผู้ขับขี่มั่นใจยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องระยะทาง
Q
ราคาบริการของ Denza D9 คือเท่าไร ดูที่นี่ก่อนดีกว่า
Denza D9 มีหลายรุ่นให้เลือกโดยมีราคาที่แตกต่างกันรุ่น Denza D9 Premium 2024 มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1999900 บาทขณะที่รุ่น Denza D9 Performance AWD 2024 มีราคาจำหน่ายที่ 2699900 บาทในด้านการบริการรถรุ่นนี้มาพร้อมอุปกรณ์ความปลอดภัยครบครันเช่นระบบเบรก ABS ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวและถุงลมนิรภัย 8 จุดเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารในด้านความสะดวกสบายมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า HUD และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังระบบอินโฟเทนเมนต์ติดตั้งหน้าจอกลางขนาด 156 นิ้วพร้อมลำโพงทั้งหมด 12 ตัวในตลาดประเทศไทย Denza D9 มีผลงานยอดเยี่ยมเคยคว้าอันดับหนึ่งยอดขายรายเดือนและได้รับความชื่นชอบจากผู้บริโภคทั้งยังมีบริการหลังการขายครอบคลุมเช่นการบำรุงรักษาประจำการซ่อมแซมและการสนับสนุนด้านเทคนิคสำหรับผู้ใช้งาน
Q
ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา Denza D9 คืออะไร หาคำตอบได้ที่นี่
Denza D9 ซึ่งเป็นรถ MPV พลังงานใหม่ระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ BYD มีต้นทุนการดูแลรักษาในประเทศไทยที่ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดและพฤติกรรมการใช้งาน โดยค่าบำรุงรักษาจะแตกต่างกันตามรุ่นและระบบขับเคลื่อนเช่น รุ่นไฟฟ้าล้วนหรือปลั๊กอินไฮบริด การดูแลทั่วไปประกอบด้วยการตรวจสอบแบตเตอรี่ ระบบมอเตอร์ และการเปลี่ยนไส้กรอง ค่าใช้จ่ายต่อครั้งประมาณ 3000 ถึง 5000 บาทขึ้นอยู่กับอัตราค่าบริการของศูนย์บริการ สภาพอากาศร้อนของไทยส่งผลให้ระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่และภาระของระบบแอร์ทำงานหนัก จึงควรลดช่วงเวลาระหว่างการเข้าศูนย์เพื่อรักษาประสิทธิภาพ นอกจากนี้รถพลังงานใหม่ในไทยยังได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีทำให้ในระยะยาวประหยัดกว่ารถใช้น้ำมัน อะไหล่สิ้นเปลืองเช่นยางและผ้าเบรกมีค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับรถเครื่องยนต์ แต่เนื่องจากมอเตอร์มีโครงสร้างเรียบง่ายทำให้ค่าบำรุงรักษาชิ้นส่วนกลไกลดลง ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อแพ็กเกจบำรุงรักษาที่ BYD Thailand จัดจำหน่ายหรือพิจารณาประกันภายนอกเพื่อลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม พร้อมทั้งควรอัปเดตระบบภายในรถอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
Q
ขนาด Rim ของ Denza D9 คืออะไร
แม้ว่า Denza D9 จะมีหลายรุ่นย่อย แต่ทุกรุ่นใช้ขนาดยางหน้าและหลังเท่ากันคือ 235 60 R18 โดยเลข 235 หมายถึงความกว้างของหน้ายาง 235 มิลลิเมตร ซึ่งยิ่งกว้างเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับพื้นถนน ทำให้เกาะถนนได้ดีขึ้นและมีเสถียรภาพสูงขึ้น ส่วนเลข 60 คืออัตราส่วนความสูงของแก้มยางเมื่อเทียบกับความกว้าง โดย 60 แปลว่าแก้มยางมีความสูงปานกลาง ให้สมดุลที่ดีระหว่างความนุ่มนวลและการควบคุม R หมายถึงโครงสร้างยางเรเดียลซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบัน และเลข 18 หมายถึงเส้นผ่านศูนย์กลางล้อแม็กขนาด 18 นิ้วซึ่งสอดคล้องกับระบบช่วงล่างและระบบเบรกของตัวรถเพื่อเสริมประสิทธิภาพโดยรวมและความสวยงามของตัวรถ
Q
Denza D9 มีรุ่นย่อยที่แตกต่างกันอย่างไร
Denza D9 ที่วางจำหน่ายในตลาดมีให้เลือก 2 รุ่นหลัก ได้แก่ Denza D9 Premium ปี 2024 และ Denza D9 Performance AWD ปี 2024 โดยรุ่น Premium มีราคาจำหน่าย 1999900 บาท มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งด้านหน้า กำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 95 วินาที วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 600 กิโลเมตร ขณะที่รุ่น Performance AWD ราคา 2699900 บาท มาพร้อมมอเตอร์คู่หน้าและหลัง ให้กำลังรวม 275 กิโลวัตต์ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียง 69 วินาที และระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้า 580 กิโลเมตร ทั้งสองรุ่นเป็นรถ MPV ไฟฟ้าหรูที่มาพร้อมห้องโดยสารกว้างขวาง เทคโนโลยีความปลอดภัยระดับสูง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน รองรับทุกไลฟ์สไตล์การเดินทางของผู้ใช้งานในประเทศไทย

ข้อดี

ห้องยานพาหนะที่กว้างขวางและหรูหราเพื่อความสบาย
ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแนวขั้นสูงให้การขับรถที่ราบรื่น
คุณสมบัติการรักษาความปลอดภัยที่โดดเด่นรับประกันการปกป้อง
การออกแบบที่สไตล์ทำให้ดึงดูดความสนใจบนถนน

ข้อเสีย

ราคาสูงอาจเกินงบประมาณของบางคน
สาธารณูปกรณ์ในการชาร์จจำกัดในบางพื้นที่
น้ำหนักที่หนักอาจส่งผลต่อการควบคุมเล็กน้อย

Q&A ล่าสุด

Q
ความกว้างของ Mazda 3 คือเท่าไร?
ความกว้างของรถมาสด้า 3 ที่ 1,795 มิลลิเมตร ถือว่าเป็นขนาดที่กำลังดีสำหรับการใช้งานในเมืองไทย ทั้งบนถนนในเมืองและลานจอดรถ ไม่กว้างเกินไปจนขับลำบากในซอยแคบๆ แต่ก็ไม่แคบจนเสียพื้นที่ภายในรถหรือความสะดวกสบายของผู้โดยสาร โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่การจราจรติดขัดบ่อยๆ การเลือกรถที่มีความกว้างเหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราต้องขับวนไปมาในรถติดหรือจอดในที่จำกัด มาสด้า 3 ออกแบบความกว้างมาให้ขับง่ายในชีวิตประจำวัน แต่ยังคงพื้นที่ใช้สอยในรถไว้อย่างดี เหมาะกับครอบครัวไทย แถมยังขับเคลื่อนได้คล่องตัว มีรัศมีวงเลี้ยวที่เล็ก ทำให้เหมาะกับสภาพถนนซับซ้อนของไทย ถ้าสนใจเรื่องขนาดรถเพิ่มเติม ลองเปรียบเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกันได้ เช่น โตโยต้า คอร์ลล่า (กว้าง 1,780 มม.) หรือ ฮอนด้า ซีวิค (กว้าง 1,799 มม.) ซึ่งก็เป็นที่นิยมในไทย แต่มาสด้า 3 ยังคงได้เปรียบในเรื่องดีไซน์และประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า
Q
ภาษีรถยนต์ (Road Tax) ของ Mazda3 ต้องจ่ายเท่าไหร่? แล้วคิดยังไง?
ในประเทศไทย ค่าภาษีรถยนต์มาสด้า 3 จะคำนวณตามขนาดเครื่องยนต์เป็นหลัก โดยกรมการขนส่งทางบกเป็นผู้กำหนดอัตราค่าภาษี รถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 600 ซีซี จะเสียภาษีปีละ 50 บาท ส่วนรถขนาด 600-1800 ซีซี เสีย 600-1400 บาท และขนาด 1800-2000 ซีซี เสีย 1800-2000 บาท ยิ่งเครื่องยนต์ใหญ่ภาษีก็ยิ่งสูง มาสด้า 3 ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรหรือ 2.0 ลิตร ดังนั้นค่าภาษีต่อปีจะอยู่ที่ประมาณ 600-2000 บาท แต่จำนวนที่แน่นอนต้องให้กรมภาษีท้องที่คำนวณอีกที เวลาคำนวณภาษี เจ้าของรถต้องเตรียมเล่มทะเบียนรถกับบัตรประชาชนไปยื่นผ่านเว็บไซต์ DLT หรือที่ขนส่งจังหวัด ถ้าชำระเกินกำหนดอาจโดนค่าปรับได้ นอกจากนี้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ไทยได้เริ่มใช้นโยบายภาษีสิ่งแวดล้อม รถที่ได้มาตรฐานไอเสียสูงอาจได้ลดหย่อนภาษีบ้าง แนะนำให้เจ้าของรถตรวจสอบระบบไอเสียเป็นประจำเพื่อลดค่าภาษี ข้อสำคัญคือภาษีรถยนต์ไม่เหมือนกับพรบ. ซึ่งเป็นค่าประกันภัยภาคบังคับ ทั้งสองอย่างต้องชำระให้ตรงเวลาถึงจะขับขี่ได้อย่างถูกกฎหมาย ถ้าไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานานสามารถขอหยุดชำระภาษีชั่วคราวได้ แต่เมื่อจะนำรถกลับมาใช้ต้องชำระเงินค้างทั้งหมดก่อน
Q
Mazda3 เติมน้ำมันเครื่องได้กี่ลิตร?
ปริมาณน้ำมันเครื่องของ Mazda3 จะแตกต่างกันไปตามขนาดเครื่องยนต์และปีรุ่น โดยทั่วไปแล้ว เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร จะใช้น้ำมันเครื่องประมาณ 3.7 ลิตร ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร จะใช้ประมาณ 4.3 ถึง 4.8 ลิตร อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ตรวจสอบคู่มือรถหรือสอบถามศูนย์บริการ Mazda ในประเทศไทยเพื่อความแม่นยำ สำหรับสภาพอากาศร้อนของไทย ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ที่มีค่าความหนืด (viscosity) ระดับ 5W-30 หรือ 0W-20 เพราะสามารถทนความร้อนได้ดี และช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ รวมถึงช่วยประหยัดน้ำมัน ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 12 เดือน แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน โดยเฉพาะในไทยที่มีสภาพอากาศร้อนและฝุ่นเยอะ แนะนำให้เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องพร้อมกันด้วย เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกย้อนกลับเข้าระบบ ถ้ารถใช้งานในเมืองที่รถติดบ่อย เช่น กรุงเทพฯ หรือใช้งานระยะทางสั้นบ่อย ๆ อาจพิจารณาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเร็วขึ้น เช่น ทุก 8,000 กิโลเมตร เพื่อถนอมเครื่องยนต์และลดความเสี่ยงจากเขม่าสะสมในเครื่องยนต์
Q
ราคารถมือสองของ Mazda 3 คือเท่าไหร่?
ราคารถ Mazda3 มือสองในประเทศไทยจะแตกต่างกันไปตามอายุรถ ระยะทางที่วิ่ง สภาพรถ และออปชันที่ติดมากับตัวรถ โดยทั่วไปแล้ว Mazda3 รุ่นปี 2015–2018 จะมีราคาประมาณ 350,000 ถึง 650,000 บาท ส่วนรุ่นใหม่กว่าอย่างปี 2019–2021 ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 700,000 ถึง 900,000 บาท ทั้งนี้ราคาจริงยังขึ้นอยู่กับประวัติการดูแลรักษาและว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ Mazda3 ได้รับความนิยมในตลาดไทยจากจุดเด่นเรื่องสมรรถนะการขับขี่และความประหยัดน้ำมัน โดยเฉพาะรุ่นที่มาพร้อมเทคโนโลยี Skyactiv ซึ่งช่วยเพิ่มความคุ้มค่าและทำให้ราคาขายต่อดี หากสนใจซื้อรถมือสอง แนะนำให้ตรวจสอบราคาจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เช่น Taloob หรือ One2Car และควรนำรถไปตรวจเช็กสภาพอย่างละเอียดกับช่างมืออาชีพ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตลาดรถมือสองในไทยให้ความเชื่อมั่นกับแบรนด์ญี่ปุ่นค่อนข้างสูง และ Mazda3 เองก็มีค่าบำรุงรักษาไม่สูงมาก อะไหล่หาง่าย ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่รถรุ่นนี้มีอัตราคงมูลค่าค่อนข้างดี หากมีงบจำกัด อาจพิจารณารุ่นที่มีอายุมากหน่อยแต่ได้รับการดูแลดี โดยควรเน้นตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ และช่วงล่างให้ละเอียด เพื่อให้ได้รถที่คุ้มค่าและใช้งานได้อย่างมั่นใจ
Q
ลมยางของ Mazda3 ควรเติมเท่าไหร่?
ค่าลมยางมาตรฐานของ Mazda3 โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2.2 ถึง 2.4 บาร์ (หรือ 32 ถึง 35 psi) ทั้งนี้อาจแตกต่างกันเล็กน้อยตามปีรุ่นของรถ ประเภทของยาง และน้ำหนักบรรทุก แนะนำให้ตรวจสอบจากคู่มือรถหรือสติกเกอร์ที่ขอบประตูด้านคนขับเพื่อข้อมูลที่แม่นยำที่สุด ในประเทศไทยที่มีอากาศร้อน ยางรถมักจะร้อนและขยายตัวขณะขับขี่ จึงควรตรวจสอบแรงดันลมยางเป็นประจำ โดยเฉพาะตอนเช้าหรือเมื่อรถยังเย็นอยู่ เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำที่สุด หากเติมลมยางมากเกินไป อาจทำให้ดอกยางตรงกลางสึกเร็วกว่าปกติ และลดการยึดเกาะถนน แต่ถ้าลมน้อยเกินไป จะทำให้กินน้ำมันมากขึ้น ยางสึกด้านข้างเร็วขึ้น และเสี่ยงต่อการระเบิดของยาง ในช่วงฤดูฝน การรักษาลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมรถบนถนนเปียก แนะนำให้ตรวจเช็กลมยางอย่างน้อยทุก 2 เดือน และก่อนออกเดินทางไกลทุกครั้ง หากใช้งานในเมืองที่รถติดบ่อย เช่น กรุงเทพฯ อาจลดลมยางลงเล็กน้อยให้อยู่ใกล้ค่าต่ำสุดของช่วงที่แนะนำ เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลในการขับ แต่ไม่ควรต่ำกว่าค่าความปลอดภัยที่กำหนด
ดูเพิ่มเติม