Q

Isuzu D-Max รุ่นแรกเปิดตัวในปีอะไร

อีซูซุ ดีแม็กซ์ รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2002 รถคันนี้ได้รับความนิยมในตลาดไทยด้วยประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้ ความสามารถในการบรรทุกที่ยอดเยี่ยมและความสามารถในการปรับตัวกับสภาพถนนที่หลากหลาย
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
อีซูซุ D-max ใช้น้ำมันเกียร์เบอร์อะไร
อีซูซุ ดี-แม็กซ์โดยปกติจะใช้น้ำมันเกียร์ประเภท 75W-90 แต่รุ่นน้ำมันเกียร์ที่ใช้จริงอาจแตกต่างไปตามปีที่ผลิต รุ่นอุปกรณ์เสริม และสภาพการใช้งานต่างๆ ในการบำรุงรักษาและเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ แนะนำให้ตรวจสอบจากคู่มือผู้ใช้ของรถยนต์หรือปรึกษาช่างซ่อมรถยนต์ผู้เชี่ยวชาญ
Q
อีซูซุดีแม็กซ์ใช้น้ำมันเครื่องเบอร์อะไร
อีซูซุ ดี-แม็กซ์โดยปกติจะใช้น้ำมันเครื่องประเภท 5W-30 หรือ 10W-30 แต่การเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมยังขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานของรถยนต์และพฤติกรรมการขับขี่ โดยทั่วไปแนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือผู้ใช้ของรถยนต์ในการเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสม
Q
ราคาอีซูซุดีแม็กซ์เท่าไหร่
ราคาอีซูซุ ดี-แม็กซ์ในประเทศไทยอาจแตกต่างกันไปตามรุ่นอุปกรณ์เสริม ประเภทเครื่องยนต์ และสภาพตลาด โดยทั่วไปแล้ว ราคาของอีซูซุ ดี-แม็กซ์ที่มีการตั้งค่าอุปกรณ์ทั่วไปจะอยู่ในช่วงประมาณ 547,000-1,277,000 บาท
Q
อีซูซุ ดี-แม็กซ์ 2007 ถังน้ำมันมีกี่ลิตร
อีซูซุ ดี-แม็กซ์ 2007 ความจุถังน้ำมันโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 65 ลิตร แต่ต้องระวังว่า ความจุถังน้ำมันจริงอาจแตกต่างกันไปตามรุ่นการผลิตและความแตกต่างของอุปกรณ์เสริม
Q
Isuzu D-Max ทำในประเทศไหน
Isuzu D-Max ในประเทศไทยผลิตหลักที่โรงงานสองแห่ง ได้แก่ โรงงานสมบรงค์ในจังหวัดสมุทรปราการ และโรงงานเกตเวย์ในจังหวัดระยอง
Q
ที่ไหนจะเช็ครหัสสีรถอีซูซุดีแมค
คุณสามารถตรวจสอบรหัสสีของ Isuzu D-Max ได้จากหลายช่องทางดังนี้ ก่อนอื่นให้ตรวจสอบจากเอกสารทะเบียนรถหรือใบขับขี่ ซึ่งมักจะมีบันทึกรหัสสีของรถไว้ นอกจากนี้คุณยังสามารถสอบถามจากตัวแทนจำหน่ายหรือศูนย์บริการที่ได้รับอนุญาตของ Isuzu ในประเทศไทย ซึ่งสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่คุณได้ อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบจากสถาบันตรวจสอบรถยนต์หรือร้านซ่อมที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งอาจมีความสามารถในการตรวจสอบรหัสสีของรถได้เช่นกัน
Q
เลขเครื่องยนต์อีซูซุดีแมคซ์อยู่ที่ไหน
หมายเลขเครื่องยนต์ของ Isuzu D-Max มักจะอยู่ที่ตัวบล็อกเครื่องยนต์ใกล้กับตำแหน่งที่เครื่องยนต์เชื่อมต่อกับระบบเกียร์ แต่ตำแหน่งที่แน่นอนอาจแตกต่างกันไปตามรุ่นและล็อตการผลิต โดยทั่วไปคุณสามารถหาหมายเลขเครื่องยนต์ได้ที่ด้านหน้า ด้านข้าง หรือด้านล่างของเครื่องยนต์ ซึ่งอาจจะมีแผ่นป้ายหรือสัญลักษณ์ที่สลักหมายเลขเครื่องยนต์อยู่
Q
อีซูซุ ดี-แม็กซ์ อัตโนมัติใช้เกียร์น้ำมันขนาดใด
Isuzu D-Max ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ โดยทั่วไปน้ำมันเกียร์ที่ใช้จะขึ้นอยู่กับรุ่นและปีของรถ โดยส่วนใหญ่จะใช้เป็นน้ำมันเกียร์อัตโนมัติสังเคราะห์ที่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ในตลาดไทย ผู้ขับขี่หลายคนเลือกใช้น้ำมันเกียร์ที่มีความทนทานต่อความร้อนและมีคุณสมบัติต้านการสึกหรอ เพื่อให้การทำงานของเกียร์ราบรื่นและยืดอายุการใช้งานของระบบเกียร์ได้อย่างยาวนาน
Q
Isuzu D-max หมายเลขถังอยู่ที่ไหน
หมายเลขตัวถังของ Isuzu D-MAX อาจอยู่ในหลายตำแหน่ง เช่น บนตัวถังใกล้ล้อหลัง หรืออาจอยู่ที่เสาคู่ประตูหรือเสาที่เชื่อมต่อกับตัวล็อคประตู ซึ่งอยู่ใกล้ที่นั่งคนขับ อีกทั้งยังสามารถพบหมายเลขตัวถังที่แผงหน้าปัดด้านซ้ายของตัวรถ (ฝั่งคนขับ) หรือบางคันอาจพบป้ายหมายเลขตัวถังที่แผงกันชนหน้าในห้องเครื่อง หรือแผ่นโลหะที่ขอบประตูฝั่งผู้โดยสาร
Q
Isuzu D-Max เติมน้ำมันอะไร
Isuzu D-Max ในประเทศไทยมักใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งการจัดหาน้ำมันและความเหมาะสมของรถกับสภาพการใช้งานในประเทศไทยทำให้รถคันนี้เลือกใช้น้ำมันดีเซลเป็นหลัก ซึ่งช่วยให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพถนนและความต้องการในการใช้งานของผู้ขับขี่ในประเทศไทยได้ดี อีกทั้งยังมีสมรรถนะและความประหยัดน้ำมันที่โดดเด่น

ข้อดี

รูปลักษณ์ทรงพลังและทันสมัย สายการวาดตามธรรมชาติ การจับคู่ของไฟหน้าและกริดที่ทันสมัย
ภายในรถกว้างขวาง ที่นั่งแถวหน้านุ่มสบาย การออกแบบคอนโซลส่วนกลางเป็นประโยชน์และมีฟังก์ชั่นครบครัน
มีเครื่องยนต์สองรุ่นที่ให้เลือก ทนทานและประหยัดน้ำมัน
บริการหลังการขายยอดเยี่ยม ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ดูแลอย่างดียิ่ง ราคาอะไหล่ไม่สูง มีศูนย์บริการทั่วประเทศ
ราคาของรถมือสองไม่ลดลงมาก ฐานรถสามารถดูดซับการสั่นสะเทือนได้ดีเมื่อขับขี่ในเมือง

ข้อเสีย

หน้ารถและกริลล์ไม่สอดคล้องกัน
เครื่องยนต์ 1.9 ลิตรเร่งความเร็วไม่ทันเวลาโดยเฉพาะในฟาสท์องค์และการแซง
เมื่อความเร็วสูงขึ้น ชาซีนิ่มเกินไป มีความเอียงชัดเจนในทางโค้ง
หลังจากการใช้งานเป็นระยะหนึ่ง มีเสียงแปลกๆ เมื่อหมุนพวงมาลัย

Q&A ล่าสุด

Q
เศรษฐกิจเชื้อเพลิงของ Kia K2500 เป็นอย่างไร
สำหรับรถกระบะเชิงพาณิชย์อย่าง K2500 ของคิอา ที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย ประสิทธิภาพเรื่องความประหยัดน้ำมันนั้นขึ้นอยู่กับรุ่นและการใช้งาน โดยจากข้อมูลทางการ รุ่นดีเซลในสภาพถนนทั่วไปจะกินน้ำมันประมาณ 10-12 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ตัวเลขจริงอาจต่างกันไปตามน้ำหนักบรรทุก สไตล์การขับขี่ และสภาพถนนในไทย ไม่ว่าจะเป็นการจราจรติดขัดในเมืองหรือถนนชนบท ในสภาพอากาศร้อนของไทย แนะนำให้ดูแลเครื่องยนต์เป็นประจำ โดยเฉพาะตัวกรองอากาศและระบบเชื้อเพลิง เพื่อรักษาประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน ส่วนแอร์ก็ควรใช้อย่างเหมาะสมเพื่อลดการสิ้นเปลือง สำหรับเจ้าของรถใช้งานเชิงธุรกิจ เครื่องยนต์ดีเซลของ K2500 ให้แรงบิดสูงในรอบต่ำ เหมาะกับงานขนส่งที่ต้องหยุดและเคลื่อนตัวบ่อย ส่วนในตลาดไทยที่เน้นการบรรทุกหนัก แนะนำให้เลือกความดันลมยางที่เหมาะสมและตรวจสอบน้ำหนักบรรทุกสม่ำเสมอเพื่อให้ประหยัดน้ำมันที่สุด ถ้าอยากประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้นไปอีก ลองนำเทคนิคการขับขี่ประหยัดพลังงานจากกรมพัฒนาพลังงานฯ มาใช้ เช่น การเร่งเครื่องอย่างนุ่มนวลและคาดการณ์การชะลอตัวล่วงหน้า ซึ่งวิธีเหล่านี้ก็ใช้ได้กับรถกระบะดีเซลรุ่นอื่นๆ ในตลาดอย่าง Toyota Hilux หรือ Isuzu D-MAX เช่นกัน
Q
คือ Kia K2500 เป็นรถ 4x4 หรือไม่
รถกระบะ Kia K2500 เป็นรุ่นที่เน้นความประหยัดและประโยชน์ใช้สอยสูง เหมาะสำหรับงานเชิงพาณิชย์ ในตลาดไทยมีเฉพาะระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (2WD) ไม่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4x4) ดังนั้นไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานในสภาพเส้นทางขรุขระหรือลุยหนัก รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร ที่เน้นทั้งเรื่องการบรรทุกและประหยัดน้ำมัน นอกจากนี้ยังออกแบบกระบะขนส่งให้เหมาะสมกับงานโลจิสติกส์และธุรกิจ SMEs ในไทยด้วย ถ้าคนไทยต้องการรถกระบะระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ อาจต้องมองหารุ่นอื่นเช่น Toyota Hilux หรือ Isuzu D-MAX ที่มีตัวเลือกหลากหลายกว่า ต้องยอมรับว่าสภาพถนนไทยโดยเฉพาะในชนบทหรือช่วงหน้าฝนอาจต้องการรถที่มีสมรรถนะสูง แต่ก่อนเลือกซื้อควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทั้งราคารถและค่าน้ำมันด้วย ถ้าใช้งานทั่วไปบนถนนปกติหรือเส้นทางไม่ลำบากเกินไป รุ่น K2500 แบบล้อหลังก็ตอบโจทย์ได้อยู่แล้ว แถมค่าดูแลรักษาก็ถูกกว่า แนะนำให้ลองไปทดลองขับและเปรียบเทียบที่ตัวแทนจำหน่ายก่อนตัดสินใจซื้อจะดีที่สุด
Q
Kia รุ่นไหนมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน
ในตลาดประเทศไทย ความน่าเชื่อถือของรถยนต์ Kia จะแตกต่างกันไปตามรุ่น โดยรุ่นที่ได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภคไทยคือ Kia Sportage และ Seltos SUV ทั้งสองรุ่นมาพร้อมชุดขับเคลื่อนที่มีความ成熟และออกแบบให้ทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย เช่น ระบบระบายความร้อนที่เสริมความแข็งแรงและการป้องกันสนิม โดยเฉพาะ Sportage ที่ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.6T มีอัตราความเสียหายในระยะยาวต่ำ ส่วน Seltos ด้วยขนาดตัวถังที่เหมาะกับสภาพการจราจรแออัดในกรุงเทพฯ และค่าบำรุงรักษาต่ำ จึงได้รับความนิยม นอกจากนี้ สภาพอากาศร้อนชื้นของไทยยังทดสอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยาง ควรเลือกซื้อรุ่นที่มีเบาะระบายอากาศและวัสดุภายในทนความร้อน พร้อมเปลี่ยนของเหลวระบายความร้อนและตรวจสอบการปิดผนึกวงจรไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ Kia ผลิตในไทยในระดับสูง ทำให้การจัดหาอะไหล่และเครือข่ายบริการหลังการขายครอบคลุม ซึ่งสำคัญต่อความน่าเชื่อถือในการใช้งานระยะยาว สำหรับรุ่นไฮบริด Niro Hybrid แบตเตอรี่ลิเธียมได้รับการปรับปรุงระบบจัดการความร้อนให้เหมาะกับการขับขี่ในเมืองที่มีการหยุดและออกบ่อย ไม่ว่าผู้ใช้จะเลือกซื้อรุ่นใด การปฏิบัติตามระยะเวลาบำรุงรักษาของผู้ผลิตและการใช้อะไหล่แท้เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความน่าเชื่อถือของรถยนต์
Q
ความสูงจากพื้นดินขั้นต่ำของ Kia K2500 คือเท่าไร
Kia K2500 เป็นรถปิกอัพที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย ด้วยระยะต่ำสุดจากพื้น 210 มิลลิเมตร การออกแบบนี้ช่วยให้รถสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพถนนที่หลากหลายทั้งในเมืองและถนนชนบทได้ดี สำหรับผู้ใช้ในไทย ระยะต่ำสุดจากพื้นนี้ช่วยให้การขับขี่ประจำวันสะดวกสบาย พร้อมรองรับสภาพถนนขรุขระเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีน้ำขัง ระยะต่ำสุดจากพื้นเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความสามารถในการผ่านสิ่งกีดขวาง โดยทั่วไป ยิ่งระยะสูง รถก็จะสามารถผ่านอุปสรรคได้ดีขึ้น แต่ก็อาจมีผลต่อความมั่นคงขณะขับบนทางด่วน Kia K2500 สามารถสร้างสมดุลที่ดีระหว่างความใช้งานได้จริงและความรู้สึกขับขี่ที่ดี ผู้ใช้รถในไทยยังสามารถพิจารณามุมเข้าและมุมออกของรถ เพราะปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อความสามารถในการผ่านทางจริงของรถ ด้วยสมรรถนะที่เชื่อถือได้และการออกแบบที่ใช้งานได้จริง Kia K2500 จึงมียอดขายที่ดีในตลาดไทย และเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และผู้ประกอบการรายย่อยหลายราย
Q
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่อ 100 กิโลเมตรของ Kia K2500 คือเท่าไร
สำหรับรถกระบะ K2500 จากค่ายคิ亚 ที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย ด้วยความประหยัดน้ำมันที่ขึ้นอยู่กับรุ่นและสภาพการขับขี่ โดยทั่วไปรุ่นดีเซลจะสิ้นเปลืองประมาณ 8-10 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ตัวเลขอาจแตกต่างกันไปตามน้ำหนักบรรทุก สภาพถนน (เช่นในเมืองที่รถติดหรือถนนนอกเมือง) รวมถึงพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคน ในสภาพอากาศร้อนและภูมิประเทศหลากหลายของไทย แนะนำให้เจ้าของรถบำรุงรักษารถอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการทำความสะอาดไส้กรองอากาศและรักษาความดันลมยางให้เหมาะสม ซึ่งช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันได้ สำหรับผู้ที่ต้องขนของบ่อยๆ การจัดวางน้ำหนักบรรทุกให้เหมาะสมและไม่บรรทุกเกินจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประหยัดน้ำมันมากขึ้น ตลาดไทยให้ความสำคัญกับความประหยัดน้ำมันของรถกระบะ ทำให้ K2500 กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยระบบขับเคลื่อนที่มั่นคงและค่าบำรุงรักษาที่ไม่สูง ผู้บริโภคไทยสามารถเปรียบเทียบข้อมูลการสิ้นเปลืองน้ำมันจากทางค่ายรถควบคู่กับสภาพถนนจริงเพื่อประเมินประสิทธิภาพได้อย่างครบถ้วน
ดูเพิ่มเติม