Q

เมื่อ Honda CR V รุ่นใหม่จะวางจำหน่าย

ยังไม่มีข้อมูลยืนยันเกี่ยวกับกำหนดการวางจำหน่าย Honda CR-V รุ่นใหม่ในประเทศไทย แต่โดยปกติแล้ว Honda มักจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่หลังจากที่เสร็จสิ้นขั้นตอนการพัฒนา การทดสอบ และการเตรียมการตลาดอย่างสมบูรณ์ แนะนำให้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับยานยนต์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงข้อมูลที่เผยแพร่จาก Honda อย่างเป็นทางการ
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
ฮอนด้า CR V hybrid ทำงานอย่างไร
Honda CR-V Hybrid ใช้ระบบไฮบริดที่ผสานเครื่องยนต์สันดาปกับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดการปล่อยมลพิษ ในขณะเริ่มขับและวิ่งในความเร็วต่ำ ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าจะเป็นตัวทำงานหลัก ทำให้ได้กำลังขับที่ราบรื่นและเงียบ เมื่อความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นหรือขับด้วยความเร็วสูง เครื่องยนต์สันดาปจะเข้ามาทำงานร่วมกับระบบไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่ามีสมรรถนะที่เพียงพอ ระบบไฮบริดนี้สามารถปรับเปลี่ยนแหล่งพลังงานได้อัตโนมัติตามสภาพการขับขี่และความต้องการ เพื่อเพิ่มความประหยัดน้ำมันและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีขึ้น
Q
ราคาของฮอนด้า cr v hybrid คือเท่าไหร่
Honda CR-V รุ่นไฮบริดมีอยู่สองรุ่นคือ Honda CR-V e:HEV ES 4WD 2023 ราคาจำหน่าย 1,589,000 บาท และ Honda CR-V e:HEV RS 4WD 2023 ราคาจำหน่าย 1,729,000 บาท รุ่นนี้มีราคาที่แตกต่างกัน เนื่องจากมีอุปกรณ์ที่แตกต่างกันเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น Honda CR-V e:HEV RS 4WD 2023 ใช้ยางขนาด 235 / 55 R19 ขณะที่ Honda CR-V e:HEV ES 4WD 2023 ใช้ยางขนาด 235 / 60 R18 ซึ่งขนาดยางที่แตกต่างกันอาจส่งผลต่อการควบคุมรถและรูปลักษณ์ อีกทั้งยังมีความแตกต่างในด้านความครบครันของอุปกรณ์และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ราคามีความต่างกัน
Q
รถไหนเชื่อถือได้มากกว่าระหว่าง honda cr v และ toyota rav4
Honda CR-V และ Toyota RAV4 เป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และมีชื่อเสียงด้านความน่าเชื่อถือที่ดีเยี่ยม Toyota RAV4 ขึ้นชื่อในด้านการควบคุมคุณภาพที่ยอดเยี่ยมและความเสถียรในระยะยาว ระบบเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังมีความทนทานสูง นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายอะไหล่และบริการที่ครอบคลุมและสะดวกต่อการบำรุงรักษา ในขณะที่ Honda CR-V มีเทคโนโลยีและวิศวกรรมที่น่าเชื่อถือ เครื่องยนต์ได้รับการพัฒนาอย่างมั่นคง และสมรรถนะโดยรวมของรถมีความเสถียร อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถืออาจแตกต่างกันไปตามการใช้งานและการบำรุงรักษาของแต่ละคัน โดยทั่วไปแล้ว หากใช้งานปกติและดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งสองรุ่นนี้สามารถมอบประสบการณ์การเดินทางที่น่าไว้วางใจให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี
Q
ฮอนด้า CR V มีเซนเซอร์ O2 ทั้งหมดกี่ตัว
จำนวนเซ็นเซอร์ O2 ที่ติดตั้งใน Honda CR-V โดยทั่วไปอาจแตกต่างกันไปตามรุ่นและอุปกรณ์ รุ่นทั่วไปมักมีเซ็นเซอร์ O2 ประมาณ 2 ถึง 4 ตัว ซึ่งเซ็นเซอร์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการตรวจจับปริมาณออกซิเจนในไอเสีย เพื่อช่วยปรับการฉีดเชื้อเพลิงและควบคุมการปล่อยมลพิษ นอกจากนี้ ในแต่ละปีและรุ่นที่ต่างกัน จำนวนและตำแหน่งของเซ็นเซอร์ O2 ก็อาจมีความแตกต่างกันออกไป
Q
ปีใดที่รูปแบบตัวถังของฮอนด้า CR V เปลี่ยนแปลง
รูปทรงตัวถังของ Honda CR-V มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามการปรับโฉมของรุ่นต่าง ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การออกแบบตัวถังของ CR-V มีพัฒนาการที่ต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและแนวโน้มความงาม โดยทั่วไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในรูปลักษณ์ภายนอกมักเกิดขึ้นทุก ๆ สองสามปี ปัจจุบัน Honda CR-V มีรูปทรงตัวถังที่ดูทันสมัยและปราดเปรียว เส้นสายดูไหลลื่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง
Q
Honda CR V Hybrid ทำที่ไหน
Honda CR-V Hybrid ผลิตที่โรงงานในพระนครศรีอยุธยาและปราจีนบุรีของฮอนด้า โรงงานในพระนครศรีอยุธยาเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 1996 เดิมมีศักยภาพการผลิตสูงสุดถึง 150,000 คันต่อปี และเคยผลิตรุ่นต่าง ๆ เช่น Accord, CR-V และ Civic อย่างไรก็ตาม ฮอนด้าวางแผนยุติการผลิตรถยนต์ที่โรงงานนี้ในปี 2025 และเปลี่ยนไปมุ่งเน้นการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แทน โรงงานในปราจีนบุรีเริ่มดำเนินการในปี 2016 มีศักยภาพการผลิต 120,000 คันต่อปี โดยเน้นผลิต HR-V, City และ City Hatchback ในอนาคต การผลิต Honda CR-V Hybrid ในประเทศไทยคาดว่าจะรวมอยู่ที่โรงงานปราจีนบุรี
Q
คือรุ่นต่าง ๆ ของ Honda CR-V
Honda CR-V มีทั้งหมด 5 รุ่น ได้แก่ Honda CR-V 1.5 Turbo EL 7 Seats 2023, Honda CR-V 1.5 Turbo E 2023, Honda CR-V e:HEV ES 4WD 2023, Honda CR-V 1.5 Turbo ES 2023 และ Honda CR-V e:HEV RS 4WD 2023 โดยแต่ละรุ่นมีความแตกต่างในระบบขับเคลื่อน จำนวนที่นั่ง และอุปกรณ์เสริม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 1.5T จะเป็นแบบเบนซินล้วน ส่วนรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 2.0L จะเป็นระบบไฮบริด จำนวนที่นั่งมีทั้งแบบ 5 ที่นั่งและ 7 ที่นั่ง ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็จะมีตั้งแต่รุ่นพื้นฐานไปจนถึงรุ่นระดับสูงที่มีความสะดวกสบายและระบบความปลอดภัยที่ครบครันมากยิ่งขึ้น
Q
ความน่าเชื่อถือของ Honda CR-V และ Mazda CX-5 คืออะไรดีกว่ากัน
Honda CR-V และ Mazda CX-5 ต่างมีชื่อเสียงด้านความน่าเชื่อถือที่ดีเยี่ยม Honda CR-V โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้รับการยืนยันจากตลาดมาอย่างยาวนาน ระบบเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังมีความเสถียร อีกทั้งยังมีพื้นที่ภายในกว้างขวางและใช้งานได้หลากหลาย ในขณะที่ Mazda CX-5 เป็นที่นิยมจากสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและงานประกอบที่พิถีพิถัน เครื่องยนต์ให้กำลังอย่างต่อเนื่องและแชสซีส์ถูกปรับแต่งมาอย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาว่ารถรุ่นใดน่าเชื่อถือกว่ากันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพแวดล้อมการใช้งาน และการบำรุงรักษา โดยทั่วไปทั้งสองรุ่นนี้มีความน่าเชื่อถือที่ใกล้เคียงกัน
Q
เครื่องยนต์ Honda CR V มีเครื่องอะไร
เครื่องยนต์ของ Honda CR-V มีสองประเภท คือ เครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์เบนซินไฮบริด เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5T ขนาด 1498cc กำลังสูงสุดที่ 6000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดที่ช่วง 1700 - 5000 รอบ/นาที ส่วนเครื่องยนต์เบนซินไฮบริดขนาด 2.0L ขนาด 1993cc กำลังสูงสุดที่ 6100 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดที่ 4500 รอบ/นาที โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 184PS และแรงบิด 335Nm รวมกำลังทั้งหมด 184PS และแรงบิด 335Nm
Q
Honda CR V มีความกว้างเท่าไหร่
Honda CR-V ในตลาดไทยมีความกว้างโดยทั่วไปประมาณ 1,866 มิลลิเมตร แต่ควรทราบว่า รุ่นและปีที่ผลิตต่างกันอาจมีความแตกต่างเล็กน้อย

ข้อดี

ใช้เครื่องยนต์ดีเซล Turbo 1.6 ลิตรใหม่ที่พร้อมกับระบบเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ 9 ความเร็ว นี่คือความก้าวหน้าที่มากความประหยัดน้ำมันและความแรง
7 ที่นั่ง พื้นที่ขยายเพิ่ม สามารถโหลดผู้โดยสารและสินค้า แถวหลังมีระบบปรับอากาศแยกจากกัน
ระบบความปลอดภัยครบครัน ถุงลมนิรภัย 6 อัน หลากหลายระบบช่วยสนับสนุนการขับขี่
การป้องกันเสียงของรถยนต์ยอดเยี่ยม ควบคุมเสียงเครื่องยนต์ที่ดี ผลิตภัณฑ์ในรถยนต์เงียบมาก

ข้อเสีย

ฮอนด้าคาดว่าจะต้องอัปเดตรถคันนี้หลังจากที่มันวางขายในตลาดสักพักเพื่อรักษาความสดใหม่
ในตลาด, มาสด้า CX-5 และนิสสัน X-Trail เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าหรือมีความคุ้มค่าแค่ไหน, ผู้บริโภคควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนซื้อ

Q&A ล่าสุด

Q
ข้อเสียของ Honda City Hatchback คืออะไร
Honda City Hatchback ซึ่งเป็นรถยนต์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีข้อสังเกตบางประการในตลาดไทยที่ผู้บริโภคควรพิจารณา อันดับแรกคือพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังค่อนข้างเล็ก มีความจุเพียง 289 ลิตร ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับครอบครัวไทยที่มักต้องบรรทุกของขนาดใหญ่ ประการต่อมาคือระบบกันสะเทือนหลังแบบคานบิด ที่อาจลดความนุ่มนวลเมื่อต้องวิ่งบนถนนที่มีสภาพไม่ดีในบางพื้นที่ของไทย นอกจากนี้ แม้จะใช้เครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.0 ลิตร แต่ในสภาพอากาศร้อนและการจราจรติดขัดของเมืองไทย ประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศอาจลดลง และการควบคุมเสียงรบกวนเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูงก็ยังไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านี้ต้องพิจารณาควบคู่กับตำแหน่งทางการตลาดของรถรุ่นนี้ ในฐานะรถยนต์ระดับเริ่มต้นที่เน้นความประหยัดและใช้งานในเมืองเป็นหลัก จุดเด่นด้านความประหยัดน้ำมันและความคล่องตัวในเมืองยังถือว่าน่าพอใจ ผู้บริโภคชาวไทยจึงควรพิจารณาตามลักษณะการใช้งานของตน เช่น หากเดินทางไกลบ่อยหรือมีความต้องการใช้พื้นที่มาก อาจต้องพิจารณารุ่นอื่น แต่ถ้าใช้ขับขี่ในเมืองเป็นหลัก รถรุ่นนี้ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า
Q
มูลค่าการขายต่อของ Honda City Hatchback คืออะไร
รถฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กในตลาดมือสองของไทยถือว่าคงมูลค่าได้ค่อนข้างดี สาเหตุหลักมาจากภาพลักษณ์ของแบรนด์ฮอนด้าที่แข็งแกร่งในไทย คุณภาพที่เชื่อถือได้ รวมถึงจำนวนรถที่จำหน่ายออกไปในตลาดค่อนข้างสูง โดยทั่วไปรถอายุ 3 ปีจะยังคงมูลค่าได้ประมาณ 60% แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพรถ ระยะทาง เวอร์ชั่นอุปกรณ์ และประวัติการเซอร์วิสด้วย ในตลาดไทยผู้บริโภคมีความต้องการรถแฮทช์แบ็กขนาดเล็กค่อนข้างมาก แถมซิตี้ แฮทช์แบ็กยังประหยัดน้ำมันและค่าซ่อมบำรุงไม่แพง สิ่งเหล่านี้ช่วยพยุงมูลค่ารถมือสองได้ดี ถ้าคิดจะซื้อหรือขายรถรุ่นนี้ แนะนำให้เข้าศูนย์บริการตามกำหนดและเก็บหลักฐานการบำรุงรักษาให้ครบถ้วน จะช่วยเพิ่มมูลค่ารถมือสองได้อย่างเห็นได้ชัด ส่วนในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย ควรตรวจสอบสภาพการป้องกันสนิมและระบบแอร์เป็นพิเศษ เพราะส่งผลต่อมูลค่ารถเช่นกัน โดยรวมแล้วซิตี้ แฮทช์แบ็กเป็นรถที่ขายง่ายในตลาดมือสองของไทย ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างตกลงราคาได้ไม่ยาก
Q
ฮอนด้าซิตี้แฮทช์แบคมีกี่ซีซี
รถฮอนด้า ซีตี้ แฮทช์แบ็ก รุ่นปรับโฉมใหม่ มาพร้อมกับ 2 ตัวเลือกเครื่องยนต์ คือรุ่น 1.0 ลิตร และ 1.5 ลิตร โดยเครื่อง 1.0 ลิตร เทอร์โบ VTEC เป็นรุ่นเบนซิน คู่กับเกียร์ CVT ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิด 173 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 23.3 กม./ลิตร มีให้เลือก 3 รุ่นย่อยคือ S+, SV และ RS ส่วนรุ่น 1.5 ลิตร e:HEV เป็นระบบไฮบริด โดยเครื่องยนต์ผลิตกำลัง 98 แรงม้าและแรงบิด 126 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถเพิ่มกำลังได้ถึง 109 แรงม้าและแรงบิด 250 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 27.8 กม./ลิตร มีให้เลือก 2 รุ่นย่อยคือ SV และ RS ด้วยความหลากหลายของเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนนี้ ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกรุ่นที่ตอบโจทย์ได้ทั้งในแง่ประหยัดน้ำมันและสมรรถนะการขับขี่ตามความต้องการของแต่ละคน
Q
เครื่องยนต์ใน Honda City Hatchback คืออะไร
รถฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กมีตัวเลือกเครื่องยนต์ให้เลือกหลายแบบ แบบแรกคือเครื่องยนต์ 1.5L DOHC i-VTEC แบบสูบธรรมชาติ คู่กับเกียร์ CVT ให้กำลังสูงสุด 119 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 145 นิวตัน-เมตร อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันตามมาตรฐาน 5.6L/100km เครื่องยนต์แบบนี้ให้กำลังส่งที่เนียนๆ เหมาะกับการขับขี่ในเมืองทั่วไป ตอบโจทย์การใช้งานประจำวันได้ดี อีกแบบคือระบบไฮบริด 1.5L i-MMD ในรุ่น e:HEV RS ให้กำลังสูงสุด 107 แรงม้า แต่แรงบิดสูงถึง 253 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันได้ดีมากแค่ 3.6L/100km ระบบไฮบริดนี้ผสมผสานจุดเด่นของทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า นอกจากให้กำลังขับเคลื่อนที่มั่นคงแล้ว ยังช่วยประหยัดน้ำมันและลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย ไม่ว่าคุณจะมองหารถที่ประหยัดน้ำมันหรือต้องการสมรรถนะการขับขี่ที่แรงกว่า ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กก็มีตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้ทั้งนั้น
Q
เกียร์แบบใดคือเกียร์ของ Honda City Hatchback
รถฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กมีตัวเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบที่มาพร้อมระบบเกียร์ต่างกัน สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิเตอร์ เทอร์โบ VTEC ใช้ระบบเกียร์ CVT ที่ให้การเปลี่ยนเกียร์เนียนๆ ไม่สะดุด พร้อมแรงม้าสูงสุด 122 แรงม้าและแรงบิด 173 นิวตันเมตร ประหยัดน้ำมันได้ถึง 23.3 กม./ลิตร มีให้เลือก 3 รุ่นย่อยคือ S+, SV และ RS ส่วนรุ่นไฮบริด 1.5 ลิเตอร์ e:HEV ไม่ได้ระบุประเภทเกียร์ชัดเจน แต่เครื่องยนต์หลักให้แรงม้าสูงสุด 98 แรงม้าและแรงบิด 126 นิวตันเมตร ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเพิ่มพลังเป็น 109 แรงม้าและแรงบิด 250 นิวตันเมตร ทำให้ประหยัดน้ำมันขึ้นไปถึง 27.8 กม./ลิตร มีตัวเลือกรุ่น SV และ RS ระบบเกียร์ CVT ช่วยให้การขับขี่ลื่นไหล ไม่สะดุด เปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล สร้างความรู้สึกสบายขณะขับขี่ และยังช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีอีกด้วย
ดูเพิ่มเติม