Q

mazda 3 ถูกประกอบที่ไหน

แหล่งผลิตรถยนต์ Mazda 3 นั้นขึ้นอยู่กับตลาดและรุ่นย่อยที่กำหนด โดยสำหรับตลาดไทยแล้ว รุ่นที่จำหน่ายส่วนใหญ่มาจากโรงงานผลิตในเมือง Hofu ประเทศญี่ปุ่น และโรงงานประกอบในจังหวัดระยองของไทยซึ่งเป็นความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น โรงงานในญี่ปุ่นจะส่งมอบรถบางรุ่นที่นำเข้า ในขณะที่รุ่นที่ประกอบในไทยนั้นถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและถนนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การผลิตในประเทศนี้ช่วยลดค่าภาษีนำเข้า ทำให้ราคาขายมีความแข่งขันมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคืออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายแบรนด์ระดับโลกเลือกตั้งฐานการผลิตที่นี่ โรงงาน Mazda ในระยองก็ยึดตามมาตรฐานคุณภาพระดับโลกเช่นกัน นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมรถยนต์พลังงานสะอาดของรัฐบาลไทยกำลังกระตุ้นให้หลายบริษัทพิจารณาผลิตรถไฟฟ้าในประเทศ สำหรับผู้บริโภคสามารถตรวจสอบแหล่งผลิตจากตัวอักษรสามตัวแรกของรหัสตัวถัง (VIN) โดยรถที่ผลิตในญี่ปุ่นจะขึ้นต้นด้วย J ส่วนรถที่ประกอบในไทยจะขึ้นต้นด้วย M แนวทางการผลิตแบบหลายแหล่งนี้ช่วยรักษามาตรฐานคุณภาพในขณะเดียวกันก็ตอบสนองความต้องการของแต่ละตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
ข้อเสียของ Mazda 3 นีอะไรบ้าง?
แม้ว่า Mazda3 จะได้รับความนิยมในตลาดไทยจากดีไซน์ที่สวยงามและสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ยังมีข้อสังเกตบางประการที่ควรพิจารณา อย่างแรกคือพื้นที่เบาะหลังค่อนข้างแคบ ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวไทยที่มักโดยสารหลายคน โดยเฉพาะในกรณีเดินทางไกล พื้นที่วางขาอาจรู้สึกอึดอัด นอกจากนี้ ช่วงล่างของ Mazda3 ถูกเซ็ตมาในแนวสปอร์ต แม้จะให้ความมั่นคงและควบคุมดีในทางโค้ง แต่เมื่อเจอสภาพถนนที่ไม่เรียบในบางพื้นที่ของไทย จะรู้สึกกระด้างและไม่ค่อยสบาย อีกจุดที่ควรพิจารณาคือค่าบำรุงรักษาที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอะไหล่แท้จากศูนย์ซึ่งมีราคาสูงกว่ารถญี่ปุ่นรุ่นอื่นในระดับเดียวกัน อาจเป็นภาระกับผู้ใช้งานบางกลุ่ม แม้เทคโนโลยี Skyactiv จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ดี แต่เมื่อเปิดแอร์ในสภาพอากาศร้อนแบบไทย อัตราการสิ้นเปลืองจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายคือเรื่องของระบบเก็บเสียง ที่ยังมีจุดให้พัฒนา โดยเฉพาะเวลาขับเร็วหรือใช้งานในเมืองที่มีเสียงรบกวนมาก ถึงแม้จะมีข้อด้อยเหล่านี้ แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนของ Mazda3 ที่เน้นความสนุกในการขับขี่มากกว่าความอเนกประสงค์ เหมาะกับผู้บริโภคชาวไทยรุ่นใหม่ที่ชอบความโดดเด่นและประสบการณ์หลังพวงมาลัยเป็นหลัก
Q
Mazda 3 อยู่ใน Segment ไหน?
Mazda3 ในตลาดไทยจัดอยู่ในกลุ่ม C-segment หรือรถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็ค ไม่ว่าจะเป็นตัวถังแบบซีดานหรือแฮทช์แบ็ก ซึ่งถือเป็นเซกเมนต์ยอดนิยมในประเทศไทย คู่แข่งหลักคือรถญี่ปุ่นอย่าง Toyota Corolla และ Honda Civic Mazda3 ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นไทย ด้วยดีไซน์ “KODO – Soul of Motion” ที่โดดเด่น และสมรรถนะการขับขี่ที่สนุก มาพร้อมเทคโนโลยี Skyactiv ที่เน้นความประหยัดน้ำมัน เหมาะกับสภาพการจราจรที่ติดขัดของกรุงเทพฯ ในตลาดไทย Mazda3 มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร และ 2.0 ลิตร โดยรุ่น 2.0 ลิตรจะมาพร้อมระบบ G-Vectoring Control ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเข้าโค้ง ช่วยให้การขับขี่มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Mazda3 รุ่นที่จำหน่ายในไทยยังมีการปรับจูนช่วงล่างให้เหมาะกับสภาพถนนในประเทศไทยโดยเฉพาะ รองรับทั้งถนนเมืองและพื้นที่ที่มีสภาพพื้นผิวไม่เรียบ ราคาจำหน่ายของรถในกลุ่มนี้อยู่ที่ประมาณ 800,000 – 1,200,000 บาท ถือเป็นกำลังหลักของตลาดรถบ้านในไทย ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกซื้อด้วยระบบผ่อนรายเดือน เพราะ Mazda3 ถือว่ามีมูลค่าคงเหลือ (resale value) ดีในระยะยาว ขายต่อแล้วขาดทุนน้อยเมื่อเทียบกับหลายรุ่นในระดับเดียวกัน
Q
มูลค่าขายต่อของ Mazda 3 คือเท่าไหร่?
Mazda3 ในตลาดรถมือสองของไทยจัดว่ามีมูลค่าคงเหลืออยู่ในระดับกลางค่อนไปทางดี โดยรถที่มีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี จะมีมูลค่าคงเหลือราว 60-65% ส่วนรถอายุ 5 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 50-55% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพรถ รุ่นย่อย และความต้องการของตลาดในช่วงเวลานั้น ในไทย รถญี่ปุ่นได้รับการยอมรับสูง และ Mazda3 ก็เป็นที่นิยมด้วยดีไซน์ KODO ที่โดดเด่น รวมถึงเทคโนโลยี Skyactiv ที่เน้นความประหยัดและทนทาน ทำให้รุ่นนี้เป็นที่ต้องการในตลาดรถมือสอง โดยเฉพาะรุ่นที่มีออปชันสูงหรือรุ่นดีเซล จะมีราคาขายต่อที่ดีกว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาขายต่อ ได้แก่ ประวัติการเข้าศูนย์บริการ การเกิดอุบัติเหตุ และสภาพของตัวถังรถที่อาจได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศชื้นของไทย แนะนำให้เจ้าของรถเก็บบันทึกการเข้ารับบริการที่ศูนย์ให้ครบถ้วน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือเวลาขายต่อ เมื่อเปรียบเทียบกับรถในระดับเดียวกัน Mazda3 มีอัตราการคงมูลค่าที่ต่ำกว่า Toyota Corolla เล็กน้อย แต่ดีกว่า Honda Civic ส่วนหนึ่งมาจากภาพลักษณ์ของแบรนด์และต้นทุนในการบำรุงรักษาที่ต่างกัน นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงาน (Eco Car) และมาตรการภาษีของรัฐบาล อาจทำให้ราคารถใหม่ผันผวน ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อราคารถมือสองด้วย ดังนั้นก่อนขาย ควรตรวจสอบราคาตลาดปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้ว ราคาขายต่อในกรุงเทพฯ จะสูงกว่าจังหวัดอื่นประมาณ 5-10%
Q
Mazda 3 มีกี่ CC
มาสด้า 3 รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1,998 ซีซี หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า 2.0L แรงม้าเยอะพอสมควร ขับสบายทั้งในเมืองและบนทางด่วน จะแซงหรือเร่งเมื่อไหร่ก็มั่นใจ ทุกรุ่นย่อยของมาสด้า 3 ใช้เครื่องยนต์ขนาดเดียวกันเลย แม้จะต่างกันที่ราคา ยาง หรืออุปกรณ์เสริมบางอย่าง แต่เรื่องกำลังไม่ต้องห่วง ให้ความรู้สึกการขับขี่ที่มั่นคงและแรงดีทั้งตอนจอดๆ ไปๆ ในเมืองหรือเวลาครูดความเร็วสูงบนทางหลวง เรียกว่าเอาอยู่ทุกสถานการณ์จริงๆ
Q
Mazda3 ใช้เครื่องยนต์อะไร?
Mazda3 ที่จำหน่ายในตลาดไทย ส่วนใหญ่จะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Skyactiv-G แบบไม่มีเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 158 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 202 นิวตันเมตร โดยกำลังสูงสุดจะออกที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดที่ 4,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์นี้ใช้เทคโนโลยีหัวฉีดตรง (Direct Injection) พร้อมฝาสูบและเสื้อสูบผลิตจากอะลูมิเนียม ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดที่สามารถเปลี่ยนเกียร์เองได้ (แบบ Manual Mode) Mazda3 ยังมีตัวเลือกเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร สำหรับผู้ที่ต้องการความประหยัดน้ำมันและมีงบประมาณจำกัด ส่วนเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรจะเหมาะกับผู้ที่เน้นสมรรถนะในการขับขี่มากกว่า ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามความต้องการและสไตล์การใช้งานของตนเอง
Q
Mazda3 ใช้เกียร์แบบไหน?
Mazda3 ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด (6AT) ซึ่งเป็นเกียร์อัตโนมัติที่ให้การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลและต่อเนื่อง ช่วยให้การขับขี่ทั้งในเมืองที่ต้องเจอการหยุด-เคลื่อนตัวบ่อย ๆ หรือการวิ่งทางไกลบนถนนความเร็วสูงเป็นไปอย่างราบรื่น เกียร์ 6AT นี้สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้อัตโนมัติตามสภาพการขับขี่และลักษณะการเหยียบคันเร่งของผู้ขับ ช่วยให้ขับง่าย ประหยัดแรง และเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีความทนทานและเชื่อถือได้ ช่วยลดความกังวลเรื่องปัญหาเกียร์ในระยะยาว ทำให้ใช้งานได้อย่างสบายใจ
Q
PCD (รูน็อตล้อ) ของ Mazda3 คือขนาดเท่าไหร่?
PCD (Pitch Circle Diameter) ของ Mazda3 อยู่ที่ขนาด 5x114.3 มม. หมายความว่าล้อแม็กของรถรุ่นนี้มีรูน็อต 5 รู และตำแหน่งของรูน็อตจะเรียงกันเป็นวงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 114.3 มม. ขนาดนี้ถือว่าเป็นสเปกมาตรฐานที่พบได้บ่อยในรถญี่ปุ่นหลายรุ่น เช่น Honda และ Toyota ทำให้ในไทยสามารถหาอะไหล่หรือเปลี่ยนล้อแม็กได้ง่าย และสะดวกเวลาต้องการอัปเกรดระบบเบรกหรือเปลี่ยนล้อใหม่ การรู้ขนาด PCD เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากเลือกล้อที่มีขนาดไม่ตรง อาจทำให้ไม่สามารถติดตั้งได้ หรืออาจเกิดปัญหาในการขับขี่ เช่น การสั่นหรือไม่ปลอดภัยในระยะยาว ในสภาพอากาศร้อนชื้นและฝนตกบ่อยของประเทศไทย ควรเลือกใช้ล้อแม็กและยางที่มีคุณภาพดี เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ โดยเฉพาะในสภาพถนนที่ลื่นหรือขรุขระ และการเลือกรุ่นของยางหรือขนาดล้อที่เหมาะสม ยังช่วยเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่และยืดอายุการใช้งานได้อีกด้วย
Q
Mazda3 รองรับ Apple CarPlay ไหม?
Mazda3 รุ่นล่าสุดที่วางจำหน่ายในประเทศไทยรองรับฟังก์ชัน Apple CarPlay แล้ว ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ iPhone สามารถใช้งานแอปต่าง ๆ บนหน้าจอรถยนต์ได้โดยตรง เช่น แผนที่นำทาง เพลง หรือการโทรออก-รับสาย เพิ่มความสะดวกในการขับขี่อย่างมาก โดยทั่วไปแล้ว Mazda3 ตั้งแต่ปี 2019 ขึ้นไป จะมี Apple CarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่สำหรับรุ่นที่เก่ากว่านั้น อาจต้องนำรถไปอัปเกรดระบบที่ศูนย์บริการ Mazda ที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย ในไทย ผู้ใช้จำนวนมากนิยมเชื่อมต่อ CarPlay เพื่อใช้ Google Maps หรือ Waze ในการหลีกเลี่ยงรถติด โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ รวมถึงใช้งานแอปเพลงอย่าง Spotify หรือ Joox เพื่อความบันเทิงระหว่างเดินทาง แนะนำให้ใช้สายชาร์จแท้หรือสายคุณภาพดีเมื่อต่อ CarPlay เพื่อป้องกันปัญหาการเชื่อมต่อไม่เสถียร และนอกจาก Apple CarPlay แล้ว Mazda3 ยังรองรับ Android Auto สำหรับผู้ใช้มือถือระบบแอนดรอยด์อีกด้วย Mazda3 เป็นรถที่ได้รับความนิยมในไทยด้วยจุดเด่นด้านการควบคุมที่ดีและความประหยัดน้ำมัน ยิ่งเมื่อผสานกับระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะเหล่านี้ ก็ยิ่งเพิ่มความคุ้มค่าและน่าใช้งานมากขึ้นอีกขั้น
Q
Mazda3 ใช้ยางยี่ห้ออะไร?
ยางติดรถเดิมของ Mazda3 ที่จำหน่ายในประเทศไทยจะแตกต่างกันไปตามปีรุ่นและรุ่นย่อย โดยส่วนใหญ่มักใช้ยางจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เช่น Bridgestone, Dunlop หรือ Yokohama ซึ่งเป็นยางที่ได้รับความนิยมในไทยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะด้านการยึดเกาะบนถนนเปียกและความทนทานที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย เมื่อต้องเปลี่ยนยางใหม่ ผู้ใช้ในไทยสามารถเลือกแบรนด์อื่นที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เช่น Michelin รุ่น Primacy หรือ Goodyear รุ่น Assurance ซึ่งมีสมรรถนะดีทั้งในช่วงฤดูฝนและอุณหภูมิสูงของไทย อีกทั้งยังหาซื้อได้ง่ายตามร้านยางหรือศูนย์บริการทั่วไป คำแนะนำสำหรับเจ้าของรถคือ เลือกยางตามลักษณะการใช้งาน เช่น ถ้าต้องการความเงียบและนุ่มสบาย หรือเน้นความทนทานก็ควรเลือกรุ่นที่เหมาะสม และอย่าลืมตรวจสอบลมยางและความลึกของดอกยางอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนของไทย ควรเน้นยางที่มีประสิทธิภาพในการรีดน้ำเพื่อลดความเสี่ยงในการลื่นไถล
Q
Mazda 3 เป็นรถที่ดีหรือไม่?
มาสด้า 3 เป็นรถเก๋งขนาดกลางที่ขายดีในตลาดไทย ด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดูสปอร์ตและทันสมัย พร้อมด้วยการตกแต่งภายในที่หรูหราและให้ความรู้สึกพรีเมียม แถมยังขับเคลื่อนได้อย่างคล่องตัวเหมาะกับสภาพถนนทั้งในเมืองและนอกเมืองของไทย นอกจากนี้เทคโนโลยี Skyactiv ยังช่วยประหยัดน้ำมันซึ่งเป็นข้อดีในเมื่อราคาน้ำมันไทยค่อนข้างสูง ระบบความปลอดภัยอย่าง i-Activsense ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ในสภาพการจราจรที่ค่อนข้างวุ่นวายของไทย อย่างไรก็ตาม มาสด้า 3 มีข้อเสียคือพื้นที่เบาะหลังค่อนข้างคับ สำหรับครอบครัวไทยที่ชอบเดินทางพร้อมหน้าพร้อมตาอาจจะรู้สึกอึดอัดหน่อย ส่วนค่าบำรุงรักษาก็สูงกว่ารถญี่ปุ่นรุ่นอื่นๆ เล็กน้อย และที่สำคัญในอากาศร้อนๆ แบบไทย บางคนอาจรู้สึกว่าแอร์ไม่ค่อยเย็นเท่าที่ควร ถ้าคุณเป็นคนชอบความสปอร์ตและความสวยงามของดีไซน์ มาสด้า 3 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าอยากได้รถที่กว้างขวางและค่าดูแลถูกกว่านี้ อาจต้องมองหารุ่นอื่น ในตลาดไทยยังมีคู่แข่งอย่างโตโยต้า คอร์ลล่า หรือฮอนด้า ซีวิค ที่น่าสนใจเหมือนกัน แนะนำว่าก่อนซื้อควรลองขับเปรียบเทียบดูให้ดี และอย่าลืมเลือกรุ่นที่เหมาะกับอากาศร้อนแบบไทย เช่น มีกระจกกันความร้อนและระบบแอร์ที่แรงพอสู้กับแดดเมืองไทยได้

ข้อดี

ภายในรถมีการตกแต่งที่ดี ด้วยโทนสีดำที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยสปอร์ตหรู คุณภาพของวัสดุภายในรถดี การออกแบบทำให้รถดูหรูหราและขั้นสูง การจัดวางแผงอุปกรณ์สะดวกในการใช้งาน
ที่นั่งสบาย การออกแบบที่นั่งตรงกับร่างกาย รองรับด้านข้างที่ดีสำหรับคนขับและผู้โดยสาร สามารถนั่งนานๆ โดยไม่รู้สึกเหนื่อย และที่นั่งขับสามารถปรับได้ 10 ทิศทางโดยใช้ไฟฟ้า
ฟังก์ชันและคุณสมบัติที่ดี มีจอภาพที่คนขับสามารถดูได้ สามารถแสดงความเร็วในการเร่งและการใช้น้ำมัน มีกล้องทั่วรถที่ติดตั้งอย่างดี
สมรรถนะทางการจับคืนดินเป็นอย่างดี ระบบความแข็งแรงกับที่อยู่ใต้รถดีเยี่ยม สมรรถนะทางการจับคืนดินสูงในระหว่างการเลี้ยวหรือในส่วนที่อยู่ใต้รถที่เดินทาง ขับเคลื่อนไม่อย่างรวดเร็ว การเร่งและหมุนกำลังไม่เปลี่ยนแปลงมากจากรุ่นก่อนหน้านี้ น้ำหนักของรถเพิ่มขึ้น

ข้อเสีย

การปรับเปลี่ยนคุณลักษณะของที่นั่งคนขับและที่นั่งผู้โดยสารไม่ตรงกัน ที่นั่งของคนขับสามารถปรับได้ 10 ทิศทาง แต่ที่นั่งของผู้โดยสารไม่สามารถเติมเต็ม 10 ทิศทาง ฟีเจอร์ที่นั่งไม่ได้ตอบสนองความต้องการอย่างเต็มที่
แต่ฟังก์ชั่นของระบบควบคุมการท่องเที่ยวไม่เพียงพอ แม้ว่าจะสามารถเพิ่มหรือลดความเร็วของรถและตามรถที่อยู่ด้านหน้าผ่านเส้นทางที่กว้าง แต่ไม่มีฟังก์ชั่น Stop-and-go
พื้นที่ภายในรถไม่สะกดกว่าผลิตภัณฑ์ที่แข่งขัน มาสด้ามักมีข้อเสียด้านพื้นที่ที่นั่งด้านหลังในแทบทุกรุ่น แต่รุ่น Mazda 3 Sedan ปี 2019 กว้างขึ้นเล็กน้อยกว่าที่ผ่านมา แต่ยังไม่ตรงกับผลิตภัณฑ์ที่แข่งขัน
ความสบายของชานเส้นไม่ตรงกับผลิตภัณฑ์ที่แข่งขัน เมื่อขับขี่บนถนนที่ไม่ราบหรือถนนที่มีลูกรัง คุณจะรู้สึกถึงการสั่น โดยมีความรู้สึกว่ามีการสั่นสะเทือนจากพื้นผิวที่ยางกระทบ

Q&A ล่าสุด

Q
ราคา Aston Martin DB12 Volante รุ่นปี 2024 เท่าไหร่?
Aston Martin DB12 Volante รุ่นปี 2024 ในฐานะรถสปอร์ตเปิดประทุนสุดหรูรุ่นล่าสุดของแบรนด์ ในตลาดประเทศไทยราคาอยู่ที่ประมาณ 22 ล้านบาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เสริมและอัตราแลกเปลี่ยน) รุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที ผสมผสานระหว่างดีไซน์อันหรูหราและสมรรถนะอันทรงพลัง สำหรับคนไทยแล้ว DB12 Volante มาพร้อมระบบหลังคาไฟฟ้าแบบนิ่มที่เปิด-ปิดได้ภายใน 14 วินาที ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีระบบเสียง Bang & Olufsen และระบบช่วงล่างปรับอัตโนมัติ ที่ช่วยให้การขับขี่ในสภาพถนนซับซ้อนของกรุงเทพฯ เป็นไปอย่างราบรื่น ข้อควรทราบคือ รถยนต์นำเข้าหรูหราในไทยต้องเสียภาษีสรรพสามิตและภาษีนำเข้าสูงถึงประมาณ 300% ส่งผลให้ราคาสูงกว่าตลาดยุโรปอย่างเห็นได้ชัด สำหรับผู้ที่สนใจ แนะนำให้ติดต่อตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในกรุงเทพฯ หรือภูเก็ตเพื่อสอบถามราคาล่าสุดและตัวเลือกปรับแต่งตามความต้องการ
Q
DB12 Volante มีราคาเท่าไหร่?
Aston Martin DB12 Volante รุ่นล่าสุดจากค่ายรถสปอร์ตหรูระดับโลก เปิดตัวในไทยด้วยราคาประมาณ 25 ล้านบาท (อาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับสเปกและอัตราแลกเปลี่ยน) รุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.7 วินาที ถือเป็นการผสมผสานระหว่างความสวยงามทรงเสน่ห์กับสมรรถนะอันทรงพลังแบบครบสูตร สำหรับสภาพอากาศร้อนๆ ของไทย DB12 Volante ตอบโจทย์ด้วยระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูงและระบบความร้อนบริเวณคอที่มาพร้อมในสเปกมาตรฐาน ช่วยให้เปิดประทุนได้สบายทุกฤดู ส่วนเบรกคาร์บอนเซรามิกก็ช่วยรับมือกับสภาพการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ ได้อย่างมั่นใจ แต่ต้องบอกก่อนว่าราคารถนำเข้าประเภทนี้ในไทยจะสูงกว่าตลาดยุโรป-อเมริกาประมาณ 30-40% เนื่องจากมีภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตที่ค่อนข้างหนัก ใครที่สนใจแนะนำให้ติดต่อโชว์รูมอย่างเป็นทางการของ Aston Martin กรุงเทพฯ เพื่อสอบถามโปรแกรมจัดไฟแนนซ์ล่าสุด บางดีลเลอร์อาจมีบริการแพ็กเกจดูแลหลังการขายแบบพิเศษให้ด้วย เมื่อเทียบกับคู่แข่งในเซ็กเมนต์เดียวกันอย่างเฟอร์รารี Ferrari Roma Spider และ Bentley Continental GT Convertible Edition แล้ว DB12 Volante ยังคงมีความโดดเด่นในเรื่องการออกแบบอินทีเรียร์สุดประณีตแบบอังกฤษ พร้อมระบบมัลติมีเดียรุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นเฉพาะโดยใช้หน้าจอสัมผัสเป็นครั้งแรก ถือเป็นจุดขายที่ยากจะหาได้จากค่ายอื่น
Q
ราคา Aston Martin V12 ปี 2024 อยู่ที่เท่าไร?
รถยนต์ Aston Martin V12 รุ่นปี 2024 คาดว่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 30-35 ล้านบาทในประเทศไทย (ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับสเปค ออปชั่นเพิ่มเติม และอัตราแลกเปลี่ยน) ซูเปอร์คาร์รุ่นเรือธงคันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 6.5 ลิตร V12 แบบสูบธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุดถึง 715 แรงม้า คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที แสดงถึงศักยภาพของแบรนด์หรั่งระดับตำนานจากอังกฤษ สำหรับตลาดไทย รถรุ่นนี้จะจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในกรุงเทพฯ และเมืองหลักอื่นๆ พร้อมบริการคัสตอมไฮเอนด์เฉพาะตัว เช่น ตัวเลือกหนังแท้ ชุดคาร์บอนไฟเบอร์ และอื่นๆ ต้องระวังว่าประเทศไทยมีอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ที่สูงเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบเกิน 3,000 ซีซี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคารถหรั่งในไทยสูงกว่าราคาตลาดโลก สำหรับผู้ซื้อชาวไทย นอกจากจะสนใจสเปคแล้ว ควรตรวจสอบเครือข่ายบริการหลังการขายด้วย เพราะ Aston Martin กำลังขยายระบบบริการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แนะนำให้ตรวจสอบจุดบริการในเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงใหม่หรือภูเก็ตผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการก่อนตัดสินใจซื้อ ในระดับเดียวกัน รถรุ่นนี้จะแข่งกับ Ferrari 812 Superfast และ Lamborghini Aventador แต่ Aston Martin ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายในการขับทางไกลและความหรูหราฝีมือการผลิตแบบอังกฤษมากกว่า เหมาะสำหรับเจ้าของรถระดับไฮเอนด์ชาวไทยที่มองหาความพิเศษและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Q
DB12 จะมีราคาเท่าไหร่?
ราคาขาย Aston Martin DB12 ในประเทศไทยคาดว่าจะสูงกว่า 20 ล้านบาท โดยราคาสุดท้ายอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เสริมที่เลือก ค่าเงินที่ผันผวน และภาษีนำเข้า ซึ่งรถหรูในตลาดไทยมักมีภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตที่ค่อนข้างสูง ทำให้ราคาสูงกว่าตลาดยุโรปหรืออเมริกาเหนือพอสมควร สำหรับ DB12 ที่เป็นรถ GT ใหม่ล่าสุดจาก Aston Martin มาพร้อมเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 671 แรงม้า ประสิทธิภาพเยี่ยมระดับสุดยอด ส่วนภายในตกแต่งด้วยหนังคุณภาพสูงและวัสดุเมทัล พร้อมเทคโนโลยีที่อัพเกรดครบครัน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจและความหรูหราอย่างแท้จริง ในไทย รถหรูหราสมรรถนะสูงแบบนี้มักเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรวยหรือนักสะสม แนะนำให้ซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเพื่อให้ได้รับบริการหลังการขายและสิทธิ์การรับประกันที่ครบถ้วน นอกจากนี้ความต้องการรถสปอร์ตหรูในตลาดไทยก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายแบรนด์เพิ่มการโปรโมตมากขึ้น การมาของ DB12 นี้ก็จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับตลาดรถระดับไฮเอนด์ในไทยได้อีกเยอะ
Q
รถ DB12 Volante มีความเร็วเท่าไร?
Aston Martin DB12 Volante คือสุดยอดรถ GT เปิดประทุนที่รวมความหรูหราและสมรรถนะไว้อย่างลงตัว ด้วยความแรงระดับ 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.7 วินาที และความเร็วสูงสุดถึง 325 กม./ชม. ขุมพลังจากเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ส่งกำลังได้ทั้งนุ่มลื่นและดุดัน แม้ในสภาพอากาศร้อนของไทย ระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูงและการออกแบบเปิดประทุนก็ทำให้การขับขี่สบายไม่แพ้กัน นอกจากนี้ DB12 Volante ยังมาพร้อมเทคโนโลยีช่วงล่างอันล้ำสมัยและระบบควบคุมเสถียรภาพอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยให้การขับขี่มั่นใจทั้งบนถนนคดเคี้ยวแถบภูเขาหรือแม้แต่ถนนช่วงฤดูฝนที่ลื่นเปียก ไม่ว่าจะเป็นการขับลุยในกรุงเทพฯ หรือออกไปโชว์ความแรงบนถนนเลียบชายทะเลอย่างหัวหินหรือพัทยา รถคันนี้ตอบโจทย์คนไทยที่รักทั้งความเร็วและความหรูได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นรถเปิดประทุนระดับท็อปที่ทั้งเร้าใจและใช้งานได้จริงทุกสถานการณ์
ดูเพิ่มเติม