Q
“Lexus ES จะเปลี่ยนแปลงในปี 2025 หรือไม่?”
รุ่นปี 2025 ของ Lexus ES มีการอัปเกรดหลายจุดที่โดดเด่น ด้านหน้าตาเปลี่ยนไปด้วยกระจังหน้าสปอร์ตแบบรังผึ้ง พร้อมไฟหน้าแบบ Double L (มีระบบ AHS) และโลโก้ตัวอักษรด้านหลังเพื่อเพิ่มเอกลักษณ์ให้แบรนด์ แถมยังมีกริลล์แบบ Seamless ที่ดูเป็นชิ้นเดียวและไฟหน้า LED Matrix ที่ช่วยลดแรงต้านลมเหลือเพียง 0.27Cd ขนาดตัวถังใหม่อยู่ที่ 4975×1866×1447 มม. ภายในห้องโดยสารอัพเกรดมาพร้อมจอกลางแบบเดียวกับรุ่น RX นาฬิกา Quartz พวงมาลัยสามแฉก หน้าปัดดิจิตอลเต็มรูปแบบและไฟบรรยากาศ ที่ให้ทั้งความหรูหราและความทันสมัย ปุ่มควบคุมบางส่วนถูกย้ายไปอยู่ในหน้าจอแทน แต่เพิ่มปุ่มหมุนปรับอุณหภูมิและความเร็วลมเข้ามา
ES200 ยังคงรุ่น Excellence และ Premium ไว้ โดยเพิ่มซันรูฟแบบพาโนรามาและล้อขนาด 18 นิ้วเป็นอุปกรณ์เสริม ส่วนรุ่น ES300h ยกเลิกรุ่น Excellence ส่วนรุ่น Premium และ Executive มาพร้อมหน้าจอควบคุมกลางขนาด 14 นิ้ว ด้านความปลอดภัย ทุกรุ่นมาพร้อมระบบ Lexus Safety System+ 3.0 เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งรวมฟีเจอร์ 20 รายการ
ในส่วนสมรรถนะ รุ่น ES200 ใช้เครื่องยนต์ 2.0L แบบธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุด 127kW แรงบิด 206N·m คู่กับเกียร์ CVT ส่วน ES300h ใช้ระบบไฮบริด 2.5L กำลังรวม 160kW ความเร็วสูง 180 กม./ชม. กับเกียร์ E-CVT โดยประหยัดน้ำมันแค่ 4.8L/100km ตามมาตรฐาน WLTC
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto
Q&A เกี่ยวข้อง
Q
ความเร็วสูงสุดของ Lexus ES คือเท่าไร?
ความเร็วสูงสุดของรถยนต์ Lexus ES นั้นขึ้นอยู่กับรุ่นและการกำหนดค่าพลังงาน โดยหากยกตัวอย่างรุ่น ES 350 ที่ใช้เครื่องยนต์ 3.5 ลิตร V6 แบบดูดอากาศธรรมชาติ จะมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 230 กม./ชม. ส่วนรุ่นไฮบริด ES 300h ที่มีการปรับแต่งระบบขับเคลื่อนและข้อจำกัดของแบตเตอรี่ จะมีความเร็วสูงสุดที่ต่ำกว่าเล็กน้อยคือประมาณ 180 กม./ชม. ในประเทศไทย ด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดในเมืองและข้อจำกัดความเร็วบนทางด่วน (ส่วนใหญ่จำกัดที่ 120 กม./ชม.) ทำให้ความสามารถในเรื่องความเร็วสูงไม่ใช่จุดเด่นในการใช้งานประจำวัน แต่จุดแข็งของเลกซัส ES อยู่ที่ประสบการณ์การขับขี่ที่ลื่นไหลและห้องโดยสารหรูหรา ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางในเมืองอย่างกรุงเทพฯ นอกจากนี้ สภาพอากาศร้อนของไทยยังต้องการระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเลกซัส ES ออกแบบระบบระบายความร้อนมาเพื่อรับมือกับสภาพนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรุ่นไฮบริดที่ช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีในสภาพการจราจรติดขัด หากคุณต้องการสมรรถนะที่สูงขึ้น อาจพิจารณารุ่นที่ติดตั้ง F SPORT ซึ่งมีการปรับแต่งระบบช่วงล่างและพวงมาลัยให้สมรรถนะการขับขี่ด้านกีฬามากขึ้น แต่ควรคำนึงถึงสภาพถนนในไทยที่อาจส่งผลต่อการขับขี่ด้วย
Q
รถยนต์รุ่น ES 2025 รุ่นใดประหยัดน้ำมันที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Lexus?
รุ่นใหม่ล่าสุดของ Lexus ES Series ปี 2025 นี้ รุ่น ES 300h Hybrid คาดว่าจะเป็นรุ่นที่ประหยัดน้ำมันที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ด้วยระบบขับเคลื่อนไฮบริด 2.5 ลิตร 4 สูบ ที่ผสานเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนรุ่นใหม่ ทำให้สามารถทำระยะทางได้ถึง 25-28 กิโลเมตรต่อลิตรในสภาพการขับขี่แบบผสมผสานทั้งในเมืองและทางหลวงของไทย ซึ่งเหมาะมากกับการใช้งานในกรุงเทพฯ ที่มีการจราจรหนาแน่นและต้องหยุด-เริ่มบ่อยครั้ง ที่พิเศษไปกว่านั้น ES 300h ยังมาพร้อมระบบปรับอากาศที่ออกแบบมาสำหรับภูมิอากาศร้อนชื้นโดยเฉพาะ และยางรถยนต์ที่มีแรงต้านการหมุนต่ำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานให้เหมาะกับการใช้งานในไทย สำหรับคนไทยแล้ว รถไฮบริดไม่เพียงช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้อย่างชัดเจน แต่ยังได้รับสิทธิประโยชน์จากการลดภาษีสำหรับยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เทคโนโลยีไฮบริดของ Lexus ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องหลายรุ่น ได้รับการรับรองแล้วว่าแบตเตอรี่สามารถทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นของตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ความเงียบสงบและความสบายในการขับขี่ของ ES Series ก็ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยที่มองหารถยนต์หรูได้อย่างลงตัว หากคุณต้องขับรถเป็นระยะทางไกลในชีวิตประจำวัน ES 300h จะช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้มากถึง 30% เมื่อเทียบกับรุ่นที่ใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียว แถมยังมีช่วงเวลาการบำรุงรักษาเหมือนรถทั่วไปทุกประการ
Q
การเปลี่ยนแปลงของ Lexus ES ปี 2025 มีอะไรบ้าง?
รุ่นปี 2025 ของ Lexus ES ที่วางจำหน่ายในตลาดไทยมีการอัปเกรดที่น่าสนใจหลายจุด โดยเฉพาะด้านดีไซน์ที่ปรับให้คมชัดขึ้นทั้งกรอบหน้ากากหน้าและชุดไฟหน้า LED แบบใหม่ พร้อมเพิ่มสีตัวถังอีก 2 สีให้เลือกตามความนิยมของคนไทย ส่วนภายในปรับปรุงวัสดุให้ดูพรีเมียมยิ่งขึ้น และติดตั้งระบบมัลติมีเดีย Lexus Interface รุ่นล่าสุดที่รองรับการควบคุมด้วยเสียงภาษาไทยและระบบนำทางที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับประเทศไทย ด้านเครื่องยนต์ยังคงใช้ตัวเลือกเดิมทั้งแบบ 2.5 ลิตร 4 สูบและ 3.5 ลิตร V6 แต่ปรับปรุงเรื่องประหยัดน้ำมันให้เหมาะกับการใช้งานในเมืองไทยที่รถติดบ่อย ระบบความปลอดภัยมาพร้อม Lexus Safety System+ 3.0 ในทุกรุ่น โดยเพิ่มฟังก์ชันช่วยเลี่ยงการชนกรณีที่มีรถจักรยานยนต์แทรกบ่อย สำหรับคนไทยแล้ว Lexus ES รุ่นนี้ยังคงความหรูหราและนั่งสบายเหมือนเดิม โดยเฉพาะรุ่นไฮบริดที่ช่วยประหยัดน้ำมันได้ชัดเจนในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ควรระวังเรื่องภาษีรถยนต์ของไทยที่คำนวณตามขนาดเครื่องยนต์ แนะนำให้สอบถามรายละเอียดกับตัวแทนจำหน่ายก่อนซื้อ ส่วนบริการหลังการขายของ Lexus ในไทยมีความพร้อมทั้งเครือข่ายศูนย์บริการและอะไหล่แท้ พร้อมทีมช่างมืออาชีพที่ดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มที่เวลานัดเข้าตรวจเช็คระยะ
Q
รถยนต์ Lexus ES ทุกรุ่นจำเป็นต้องใช้แก๊สพรีเมียมหรือไม่?
การเลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์รุ่น Lexus ES ที่จำหน่ายในตลาดไทยว่าจะต้องใช้ Premium Gas หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับรุ่นเครื่องยนต์เป็นหลัก อย่างเช่นรุ่น ES 250 ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร แนะนำให้ใช้น้ำมันที่มีออกเทน 95 ขึ้นไปเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนรุ่น ES 300h แบบไฮบริดสามารถใช้น้ำมันออกเทน 91 ปกติได้ เพราะเครื่องยนต์แบบ Atkinson Cycle ไม่ต้องการออกเทนสูง ในประเทศไทยมีน้ำมันให้เลือกทั้งแบบ 91 95 และ E20 แนะนำให้ดูป้ายแนะนำในฝาถังน้ำมันหรือคู่มือการใช้รถฉบับไทยเพื่อความเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันที่มีออกเทนต่ำกว่าเป็นเวลานานอาจทำให้เครื่องยนต์น็อคหรือสมรรถนะลดลง แต่หากเติมปนบ้างเป็นครั้งคราวก็ไม่ส่งผลมากนัก สภาพอากาศร้อนของไทยทำให้น้ำมันออกเทนสูงมีข้อได้เปรียบเรื่องป้องกันการน็อค โดยเฉพาะเมื่อขับในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ที่รถติดบ่อยหรือในเส้นทางภูเขา แม้ว่า Lexus จะออกแบบเครื่องยนต์ให้เหมาะกับน้ำมันเชื้อเพลิงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว แต่การปฏิบัติตามคำแนะนำของบริษัทจะช่วยให้รถแสดงสมรรถนะสูงสุดและยืดอายุเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด
Q
ถังน้ำมันของ Lexus ES 2025 มีความจุเท่าไหร่?
รุ่น 2025 ของ Lexus ES มีความจุถังน้ำมัน 17.7 แกลลอน (ประมาณ 67 ลิตร) ซึ่งการออกแบบนี้เหมาะกับตลาดไทยมาก เพราะช่วยให้ขับทางไกลได้สบายๆ ไม่ต้องแวะเติมน้ำมันบ่อยๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าขับจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ระยะทางประมาณ 700 กิโลเมตร ก็สามารถทำได้แบบไม่ต้องหยุดเติมน้ำมันเลย ในสภาพอากาศร้อนๆ ของไทย ระบบไฮบริดของ ES ยังช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีมาก ถ้ารวมกับถังน้ำมันขนาดใหญ่แบบนี้ ก็ยิ่งลดจำนวนครั้งที่ต้องแวะปั๊มลงไปอีก สิ่งที่ต้องระวังคือ ปั๊มน้ำมันในไทยส่วนใหญ่จะมีทั้งเบนซิน 91/95 และแก๊สโซฮอล์ E20 แต่ Lexus ES แนะนำให้ใช้เบนซิน 95 ขึ้นไปเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด สำหรับใครที่ชอบขับรถเที่ยวหรือเดินทางบ่อยระหว่างกรุงเทพและเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ถังน้ำมันขนาดนี้ถือว่าคุ้มค่าและใช้งานได้จริง แถมเครือข่ายบริการหลังการขายของ Lexus ในไทยก็ครอบคลุมดี มีศูนย์บริการมืออาชีพในเมืองหลักๆ ทั้งกรุงเทพ เชียงใหม่ และอื่นๆ มั่นใจได้เลยว่าจะได้รับการดูแลอย่างแน่นอน
Q
2025 Lexus ES ใช้แก๊สชนิดใด?
สำหรับรถยนต์รุ่น Lexus ES ปี 2025 ที่วางจำหน่ายในตลาดไทย แนะนำให้ใช้เชื้อเพลิงแบบไร้สารตะกั่ว 95 ขึ้นไป เพื่อประสิทธิภาพและการประหยัดน้ำมันที่ดีที่สุดของเครื่องยนต์ โดยทั่วไปในประเทศไทยจะมีตัวเลือกเชื้อเพลิงเช่น 91 95 และ E20 (เชื้อเพลิงผสมเอทานอล 20%) แต่สำหรับเครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนการอัดสูงอย่างรุ่น ES ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.5L 4 สูบ หรือ 3.5L V6 ควรใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงเพื่อป้องกันการน็อคของเครื่องยนต์ นอกจากนี้สภาพอากาศร้อนของประเทศไทยอาจทำให้เกิดการสะสมของคาร์บอนในระบบเชื้อเพลิงได้ง่าย จึงควรตรวจสอบความสะอาดของระบบเชื้อเพลิงเป็นประจำ หากจำเป็นต้องใช้ E20 เป็นครั้งคราว ควรตรวจสอบความเข้ากันได้กับรถยนต์ แต่การใช้งานในระยะยาวอาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ทาง Lexus แนะนำให้ปฏิบัติตามมาตรฐานเชื้อเพลิงที่ระบุในคู่มือผู้ใช้เพื่อรักษาสิทธิ์การรับประกัน และควรเลือกเติมน้ำมันจากปั๊มที่น่าเชื่อถือเพื่อให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพ เจ้าของรถยนต์ชาวไทยควรให้ความสำคัญกับการเลือกสถานีบริการน้ำมันที่มีชื่อเสียง เพื่อรับประกันคุณภาพของน้ำมันเครื่อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเครื่องยนต์หัวฉีดตรง ขณะเดียวกัน การบำรุงรักษาไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างสม่ำเสมอก็ช่วยปกป้องระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแรงดันสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
Q
เครื่องยนต์ Lexus ในปี 2025 จะเป็นรุ่นไหน?
รุ่นปี 2025 ของ Lexus ในตลาดไทยมาพร้อมกับตัวเลือกเครื่องยนต์หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตรที่ประหยัดน้ำมัน ระบบไฮบริด 2.5 ลิตร หรือรุ่นสมรรถนะสูง V6 ไฮบริด 3.5 ลิตร ที่โดดเด่นทั้งในเรื่องการประหยัดและพลังขับเคลื่อน เหมาะสมทั้งสำหรับการขับขี่ในเมืองที่การจราจรหนาแน่นและการเดินทางไกลในประเทศไทย เทคโนโลยีไฮบริดของ Lexus ตอบโจทย์ตลาดไทยเป็นพิเศษ เพราะช่วยประหยัดค่าน้ำมันและลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งไม่เพียงช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าแต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้เครือข่ายบริการหลังการขายของ Lexus ในไทยยังครอบคลุมและได้มาตรฐาน ทำให้เจ้าของรถสามารถเข้าถึงบริการดูแลรักษาและซ่อมแซมได้อย่างสะดวกสบาย การเลือก Lexus สำหรับคนไทยไม่ใช่แค่ได้รถที่ขับขี่มั่นใจ แต่ยังได้สัมผัสความหรูหราและเทคโนโลยีล้ำสมัย อย่างระบบช่วยเหลือผู้ขับขั้นสูงและห้องโดยสารที่ออกแบบมาเพื่อความสบายเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางประจำวันหรือทริปครอบครัว Lexus รุ่นปี 2025 ก็พร้อมตอบสนองทุกความต้องการได้อย่างยอดเยี่ยม
Q
สีของ Lexus ES 2025 มีอะไรบ้าง?
สำหรับรุ่นปี 2025 ของ Lexus ES ในส่วนของสีภายนอกนั้น มีให้เลือกหลากหลายโทนสีที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นโทนสี Sonic Titanium Sonic Chrome Sonic Iridium Red Mica Crystal Shine Ice Ecr Sunlight Green Deep Blue Mica Sonic Quartz Black และ Graphite Black Glass Flake ที่แต่ละสีล้วนดึงดูดสายตาไม่เหมือนกัน ส่วนสีภายในห้องโดยสารก็มีให้เลือกเช่นกัน ทั้งโทนสี Black Semi Aniline Leather Black Smooth Leather Hazel Semi Aniline Leather และ Hazel Smooth Leather ที่ให้ความรู้สึกหรูหราและน่าสัมผัสในแบบฉบับของ Lexus
Q
2025 Lexus IS เป็นรถยนต์แบบ 4 สูบหรือไม่?
รุ่นปี 2025 ของ Lexus IS บางรุ่นมาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบ โดยรถคันนี้มีตัวเลือกเครื่องยนต์ให้เลือกหลากหลาย โดยรุ่น IS 300 จะใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 4 สูบ ที่ให้กำลัง 241 แรงม้าและแรงบิด 258 ปอนด์-ฟุต นอกจากรุ่นเครื่องยนต์ 4 สูบแล้ว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ที่ชอบความแรงอย่างแท้จริง อย่างรุ่น IS 500 F SPORT Performance จะใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 472 แรงม้าและแรงบิด 395 ปอนด์-ฟุต ส่วนรุ่น IS 350 จะใช้เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร ด้วยตัวเลือกเครื่องยนต์ที่หลากหลายแบบนี้ ผู้ซื้อสามารถเลือกรุ่นที่เหมาะกับสไตล์การขับขี่ของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 4 สูบที่ประหยัดน้ำมันและใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือถ้าชอบความแรงและอารมณ์สปอร์ตก็สามารถเลือกรุ่น V6 และ V8 ได้ตามใจชอบ
Q
รถยนต์ Lexus รุ่นปี 2025 รุ่นใดบ้างที่มีเครื่องยนต์ 6 สูบ?
รุ่นปี 2025 ของ Lexus IS 500 จะมาพร้อมเครื่องยนต์ V6 5.0 ลิตร แบบสูบธรรมชาติ ที่ให้กำลังสูงถึง 472 แรงม้า การขับเคลื่อนล้อหลังทำให้การควบคุมสมรรถนะเต็มไปด้วยความสนุก โดยเฉพาะบนเส้นทางคดเคี้ยวในภูเขาหรือทางด่วนในเมืองของไทย ที่สำคัญเครื่องยนต์รุ่นนี้ยังคงความคลาสสิกด้วยการเร่งที่ลื่นไหลและเสียงเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ เวลาขับในกรุงเทพฯ แล้วดูโดดเด่นมากๆ สำหรับตลาดไทยแล้ว เครื่องยนต์ 6 สูบแบบนี้ขายดีเพราะคนไทยชอบความนุ่มนวลและความทนทานของเครื่อง ต้องบอกว่าในยุคที่ตลาดรถหันไปทางไฟฟ้า รถเครื่องใหญ่แบบนี้เริ่มหายากแล้ว ถ้าสนใจแนะนำให้ติดตามข้อมูลสเปกและราคาจากโชว์รูม Lexus ในไทย นอกจาก IS 500 แล้ว Lexus ยังมีรุ่นเรือธงอย่าง LC 500 ที่ใช้เครื่อง V8 แต่ถ้าคิดถึงเรื่องภาษีนำเข้าที่ค่อนข้างสูงในไทย IS 500 น่าจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า
Q&A ล่าสุด
Q
รุ่นใหม่ของ BMW 2 Series ปี 2025 คืออะไร?
รถยนต์ BMW 2 ซีรี่ย์รุ่นปี 2025 เป็นรุ่นล่าสุดจาก BMW ที่ออกแบบมาในคอนเซปต์รถหรูขนาดกะทัดรัด แนวสปอร์ต พร้อมเทคโนโลยีครบครัน สำหรับตลาดไทยคาดว่าจะมีให้เลือก 2 รุ่นเครื่องยนต์ คือ 220i และ 220d ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลความจุ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลังเป็นมาตรฐาน (บางรุ่นมีตัวเลือกขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive) การออกแบบกระจังหน้าไตคู่แบบคลาสสิก BMW แต่เพิ่มความลึกและมิติให้ดูโมเดิร์นขึ้น ระบบระบายความร้อนได้รับการออกแบบพิเศษให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนในไทย ส่วนภายในตกแต่งด้วยหน้าจอคู่วงโค้งสุดล้ำพร้อมระบบ iDrive 8.5 ที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย พิเศษสำหรับรุ่นไทยยังเพิ่มประสิทธิภาพระบบแอร์สำหรับสภาพอากาศร้อนและติดตั้งระบบระบายอากาศบนเบาะนั่งเป็นมาตรฐาน ส่วนรุ่นที่ประกอบในไทยอาจได้รับสิทธิ์ลดภาษีนำเข้า
รถรุ่นนี้จะมาแข่งตัวฉกาจกับ Mercedes CLA และ Audi A3 ในตลาดรถหรูขนาดเล็ก โดยขนาดตัวที่กะทัดรัดเหมาะกับการใช้งานในกรุงเทพฯ แต่ยังต้องรอประกาศราคาอย่างเป็นทางการจาก BMW ประเทศไทย แนะนำให้ติดตามข่าวสารจากผู้จัดจำหน่ายเพื่อทดลองขับ
Q
"M2 coupe ราคาเท่าไหร่?"
ราคารถ BMW M2 Coupe ในตลาดไทยจะอยู่ที่ประมาณ 4.5 - 5.5 ล้านบาท โดยราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสเปก ออปชั่นเสริม และโปรโมชั่นจากตัวแทนจำหน่าย ดังนั้นแนะนำให้ติดต่อตัวแทน BMW โดยตรงเพื่อขอราคาที่อัปเดตที่สุด รุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 6 สูบเทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุดถึง 453 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ทวินคลัตช์ 7 สปีดหรือเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่โดดเด่นในเรื่องการควบคุม ทำให้เหมาะกับการขับขี่ทั้งในเมืองและเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขา ของไทย แต่ผู้ซื้อต้องคำนึงถึงค่าภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต และค่าจดทะเบียนซึ่งจะส่งผลต่อราคาสุดท้ายอย่างมาก ส่วนนโยบายลดภาษีสำหรับรถยนต์อีโคคาร์ของรัฐบาลไทยนั้น M2 ในฐานะรถสปอร์ตสมรรถนะสูงอาจไม่ได้รับสิทธิ์นี้ ในสภาพอากาศร้อนของไทยแนะนำให้เลือกออปชั่นระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูงและกระจกกันความร้อนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นในระดับเดียวกัน M2 Coupe ได้รับความนิยมในหมู่คนรักรถไทยด้วยขนาดกระทัดรัดและการควบคุมที่แม่นยำ แต่ค่าดูแลรักษาค่อนข้างสูง ต้องใช้น้ำมันเครื่องและอะไหล่คุณภาพดีเป็นประจำ
Q
ราคา BMW M2 Coupe เท่าไหร่?
ราคา BMW M2 Coupe ในตลาดไทยจะอยู่ที่ประมาณ 4.5 - 5.5 ล้านบาท โดยราคาสุดท้ายอาจขึ้นอยู่กับสเปค ออปชั่นเสริม และโปรโมชั่นจากตัวแทนจำหน่าย แนะนำให้ติดต่อศูนย์ BMW ใกล้บ้านเพื่อขอราคาอัปเดตแบบเจาะจงได้เลย สำหรับ M2 Coupe เป็นคูเป้สปอร์ตคอมแพคที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 6 สูบ เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 410 แรงม้า แถมยังเลือกได้ว่าจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดหรือเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.2 วินาที ถือว่าเหมาะกับทั้งขับในเมืองและลัดเลาะเส้นทางภูเขาในไทย แต่ต้องระวังเรื่องภาษีนำเข้า (ทั้งภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต) ที่อาจทำให้ราคาสูงขึ้นอีก ซึ่ง BMW ประเทศไทยมักมีโปรโมชั่นผ่อนซื้อหรือบริการรับประกันระยะยาวเพื่อช่วยลดภาระ ส่วนถ้าใครกำลังมองหารุ่นแข่งก็อาจดู Mercedes-AMG A45 S หรือ Audi RS3 แต่จุดเด่นของ M2 Coupe คือระบบขับเคลื่อนล้อหลังและการกระจายน้ำหนัก 50:50 ที่ให้ความรู้สึกสปอร์ตเฉพาะตัว แถมระบบระบายความร้อนยังทำงานได้ดีในอากาศร้อนของไทย มั่นใจได้เรื่องความทนทานในระยะยาว
Q
รถ BYD Shark 6 มีราคาเท่าไหร่?
ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลราคาอย่างเป็นทางการของ BYD Shark 6 ในประเทศไทย แต่เราสามารถประมาณการคร่าวๆ จากราคาของรถกระบะรุ่นอื่นๆ ของ BYD และรถในตลาดไทยที่คล้ายกัน คาดว่าราคาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.5 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เสริม ความจุแบตเตอรี่ และนโยบายภาษีของไทย ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญสำหรับรถพลังงานสะอาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐบาลให้การสนับสนุนรถไฟฟ้าอย่างมาก เช่น การลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต ซึ่งจะส่งผลต่อราคาสุดท้ายโดยตรง BYD Shark 6 เป็นรถกระบะแบบปลั๊กอินไฮบริด ที่ผสมผสานระหว่างความประหยัดน้ำมันและประสบการณ์การขับขี่แบบไฟฟ้า จึงเหมาะกับไลฟ์สไตล์คนไทยที่ทั้งต้องเดินทางไกลและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตลาดรถกระบะไทยมีการแข่งขันสูง คู่แข่งหลักคือ Toyota Hilux Revo และ Isuzu D-MAX ที่ยังใช้เครื่องยนต์สันดาป ส่วนจุดเด่นของ Shark 6 คือค่าบำรุงรักษาที่ถูกกว่าและเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทันสมัยกว่า สำหรับใครที่สนใจ แนะนำให้ติดตามข้อมูลล่าสุดทางเว็บไซต์ BYD ประเทศไทยหรือติดต่อตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่เพื่อสอบถามราคาที่แน่นอนและทดลองขับ
Q
BYD Shark 6 เป็นรถที่ดีหรือไม่?
BYD Shark 6 เป็นรถปิกอัพที่ออกแบบมาสำหรับตลาดไทยโดยเฉพาะ โดยมีความสมดุลในด้านสมรรถนะ การประหยัดน้ำมัน และความใช้งานได้จริง เหมาะกับสภาพถนนและความต้องการที่หลากหลายของไทย รุ่นนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลประสิทธิภาพสูง ให้แรงบิดต่ำที่เยี่ยมยอด เหมาะมากสำหรับการขับขี่ทั้งในเส้นทางชนบทและในเมือง ส่วนความสามารถในการขนส่งก็ตอบโจทย์ทั้งร้านค้าเล็กๆ และครอบครัวได้เป็นอย่างดี ในเรื่องของอุปกรณ์ BYD Shark 6 มีระบบความปลอดภัยพื้นฐานเช่น ABS และ EBD รวมถึงห้องโดยสารที่ออกแบบมาเพื่อความสบาย แม้ว่าวัสดุภายในจะเน้นความใช้งานเป็นหลัก แต่การประกอบโดยรวมก็อยู่ในระดับที่คาดหวังได้จากรถในระดับนี้ สำหรับคนไทยแล้ว รถปิกอัพไม่ใช่แค่รถทำงาน แต่เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ และ BYD Shark 6 ก็ตอบโจทย์ในเรื่องของพื้นที่และความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย ที่สำคัญคือความทนทานและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาก็อยู่ในระดับสมเหตุสมผล แน่นอนว่าในตลาดไทยมีแบรนด์ปิกอัพชื่อดังหลายเจ้าให้เลือก แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มค่า BYD Shark 6 ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
ดูเพิ่มเติมข่าวที่เกี่ยวข้อง

Lexus ES EV รุ่นใหม่เปิดตัวในปลายปี 2026 พร้อมระยะทางขับขี่สูงสุดตามมาตรฐาน EPA ถึง 482 กิโลเมตร
วิรุฬห์May 16, 2025

Lexus ES เจเนอเรชันใหม่แรกเปิดตัวในงานแสดงรถยนต์เซี่ยงไฮ้ พร้อมทั้งรุ่นไฮบริดและไฟฟ้าล้วน
ธนวัฒน์Apr 23, 2025

Lexus ES รุ่นใหม่เผย ภายนอกเหมือน Toyota Camry
LienMay 13, 2024

Lexus LSอาจกลายเป็น MPV หกล้อ แล้วทำไม LS Concept ต้องใช้การออกแบบหกล้อ?
ธนวัฒน์Oct 16, 2025

2027 Lexus LFRจะมาพร้อมกับระบบไฮบริด 4.0L V8 ที่มีกำลังกว่า 900 แรงม้า
LienSep 22, 2025
ดูเพิ่มเติม


รุ่นรถ
ข้อดี
ข้อเสีย