Sony และ Honda ร่วมมือเปิดตัวรถยนต์รุ่นแรก จะเริ่มขายในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาในปีนี้

พงศธรJan 07, 2025, 06:38 PM

【PCauto】เมื่อวันที่ 7 มกราคม ในงาน CES 2025 "Sony Honda Mobility" ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่าง Sony และ Honda ได้เปิดตัวแบรนด์ AFEELA อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกของแบรนด์คือ AFEELA 1

AFEELA 1 มีการเปิดตัวทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่:

Afeela 1 Origin ราคา 89,900 ดอลลาร์สหรัฐ
Afeela 1 Signature ราคา 102,900 ดอลลาร์สหรัฐ

AFEELA 1 ได้เปิดให้สั่งจองแล้ว โดยมีค่าจองอยู่ที่ 200 ดอลลาร์สหรัฐ รถรุ่นนี้มีกำหนดการผลิตในโรงงานที่รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา และจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในรัฐแคลิฟอร์เนียภายในปี 2025 โดยการส่งมอบรุ่น Signature จะเริ่มในปี 2026 และรุ่น Origin จะเริ่มส่งมอบในปี 2027

AFEELA 1 มีระยะการขับขี่สูงสุด 483 กิโลเมตร (มาตรฐาน EPA) และรองรับการใช้งานกับเครือข่ายชาร์จเร็ว Tesla Supercharger ได้อย่างเต็มรูปแบบ

การออกแบบ AFEELA 1 นั้นเรียบง่ายมาก โดยผสมผสานแนวคิดของ Tesla และ Lucid Air เข้าด้วยกัน โคมไฟหน้าและหลังสามารถแสดงข้อความได้ ส่วนภายในใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงและเน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยประมาณ 70% ของพื้นที่ภายในรถใช้วัสดุที่มาจากพืชและวัสดุรีไซเคิล

ภายในใช้แนวคิดการออกแบบ "Mobility as aGreative Entertainment Space"โดยในรถติดตั้งหน้าจอ LCD ที่ครอบคลุมทั้งแผงหน้าปัด และมีเทคโนโลยี 360 Spatial Sound Technologies จาก Sony ซึ่งมอบระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟให้กับผู้โดยสาร

ภายในรถยังมีฟังก์ชันผู้ช่วย AI ที่สามารถสนทนาโต้ตอบ ควบคุมอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ และเล่นเพลงได้

นอกจากนี้ AI ยังมีความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติ โดยอาศัยเซ็นเซอร์จำนวนมากที่ติดตั้งรอบตัวรถ แม้ต้องเผชิญกับถนนในเมืองที่ซับซ้อน ระบบก็ยังสามารถทำงานในโหมดการขับขี่อัตโนมัติได้

ในด้านสมรรถนะ AFEELA 1 มุ่งมั่นที่จะมอบความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวให้กับผู้ขับขี่ ด้วยสมรรถนะการควบคุมที่คล่องตัวและเสถียร ระบบ 3D Motion Management System ใช้เทคโนโลยีควบคุมท่าทางที่ล้ำสมัย ผสานการควบคุมมอเตอร์ ระบบเบรก และระบบช่วงล่างเข้าด้วยกัน เพื่อมอบความสะดวกสบายและความแม่นยำในการควบคุมสูงสุดสำหรับทุกสภาพถนน

โดยรวมแล้ว ฟีเจอร์ที่คล้ายคลึงกันนี้ถูกพัฒนาโดยบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมากแล้ว AFEELA 1 ของ Sony Honda Mobility สามารถทำได้ดีกว่านี้หรือไม่？ และจะคุ้มค่ากับราคาที่สูงกว่า 8 หมื่นดอลลาร์สหรัฐหรือไม่? นี่คือประเด็นที่ยังต้องจับตามองต่อไป