Q

อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันของ Ford Everest 2.2

Ford Everest 2.2 ในไทยนั้นประหยัดน้ำมันได้ค่อนข้างดี ข้อมูลทางการระบุว่าปริมาณการใช้น้ำมันโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 8.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร แต่ตัวเลขจริงอาจแตกต่างไปตามสภาพการขับขี่และเส้นทาง ในเมืองไทยที่การจราจรหนาแน่นอาจทำให้น้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 10 ลิตร ส่วนเวลาขับบนทางหลวงด้วยความเร็วคงที่อาจลดลงเหลือประมาณ 7.5 ลิตร เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.2 ลิตรรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยีการฉีดน้ำมันที่ทันสมัยและการออกแบบลดแรงเสียดทานของฟอร์ด ทำให้ทั้งแรงม้าและประหยัดน้ำมันไปพร้อมกัน เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายและการเดินทางไกลของไทย สำหรับคนไทยแล้ว การเลือก SUV ดีเซลไม่เพียงช่วยประหยัดค่าน้ำมัน แต่ราคาดีเซลในไทยยังค่อนข้างคงที่ ทำให้คุ้มค่าในระยะยาว แนะนำให้เจ้าของรถดูแลรักษารถอย่างสม่ำเสมอ เช็คลมยางให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการเหยียบกระแช่งหรือเบรกกระทันหัน จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น แม้การใช้แอร์ในสภาพอากาศร้อนของไทยจะเพิ่มการใช้น้ำมันบ้าง แต่ก็จำเป็นต่อความสบายและความปลอดภัย Everest ในฐานะ SUV เอนกประสงค์ ถือว่ามีประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่ดีเมื่อเทียบกับรุ่นเดียวกัน
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของ Ford Everest 2022 คือเท่าไร?
Ford Everest รุ่นปี 2022 ในประเทศไทยมีประสิทธิภาพด้านการประหยัดน้ำมันที่แตกต่างกันตามรุ่นเครื่องยนต์ โดยรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 7.6-8.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในสภาพถนนแบบผสม ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตร จะสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 8.5-9.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ตัวเลขจริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสไตล์การขับขี่และสภาพถนน โดยสภาพอากาศร้อนของไทยและการจราจรติดขัดบ่อยๆ ในเมืองอาจทำให้น้ำมันสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แนะนำให้เจ้าของรถตรวจสอบลมยางและบำรุงรักษารถอย่างสม่ำเสมอเพื่อประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่ดีที่สุด รถรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยีดีเซลอันล้ำสมัยของฟอร์ดที่สร้างสมดุลระหว่างพลังและความประหยัดน้ำมันได้อย่างดี เหมาะสำหรับการเดินทางไกลและการใช้งานในครอบครัวในประเทศไทย นอกจากนี้ระยะความสูงจากพื้นรถที่มากยังช่วยให้ขับเคลื่อนบนถนนสภาพซับซ้อนบางพื้นที่ของไทยได้ดี หากต้องการประหยัดน้ำมันมากขึ้นอาจพิจารณารุ่นไฮบริดหรือไฟฟ้า แต่ปัจจุบัน Everest ยังไม่มีรุ่นพลังงานทางเลือกวางจำหน่ายในประเทศไทย
Q
"2022 Everest มีเทคโนโลยีอะไรบ้าง?"
รถยนต์ Everest รุ่นปี 2022 ที่วางขายในตลาดไทยมาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสูงหลายรายการ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สภาพถนนหลากหลายรูปแบบและความต้องการของผู้ใช้ครอบครัวชาวไทยโดยเฉพาะ ระบบ SYNC 4 ที่ติดตั้งมาสามารถรองรับการสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยและจอสัมผัสขนาด 12 นิ้ว ทำให้ใช้งานง่ายสำหรับคนไทย นอกจากนี้ยังมีกล้องรอบคันและระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกเวลาไปจอดในซอยแคบๆ ในกรุงเทพฯ หรือห้างสรรพสินค้า ด้านสมรรถนะ มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0L คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ที่ให้ทั้งความประหยัดในเมืองและพลังเพียงพอสำหรับทางขึ้นเขาทางเหนือ ส่วนระบบ Terrain Management System ที่มีโหมดขับขี่ถึง 5 แบบ จะช่วยให้ขับผ่านเส้นทางลื่นๆ ในฤดูฝนหรือทางลาดชันรอบๆเชียงใหม่ได้อย่างมั่นใจ เรื่องความปลอดภัยมีถุงลมนิรภัย 7 จุด ระบบ Cruise Control อัจฉริยะและระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน NCAP ใหม่ของไทยปี 2022 ที่น่าสนใจคือระบบปรับอากาศที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสภาพอากาศร้อนของไทย พร้อมช่องระบายอากาศแยกสำหรับผู้โดยสารหลัง และยังสามารถเลือกติดตั้งกระจกกันรังสี UV ได้ จุดเด่นของ Everest ในตลาดรถระดับเดียวกันคือการผสมผสานระหว่างสมรรถนะออฟโรดกับความสะดวกสบายสำหรับใช้ในเมืองได้อย่างลงตัว ทำให้เหมาะกับการท่องเที่ยวแบบ Road Trip ทุกพื้นที่ในไทย ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะจะทำงานได้ดีทั้งบนหาดทรายที่เกาะเสม็ดหรือเส้นทางภูเขาทางเหนือ
Q
คะแนนความปลอดภัยของ Ford Everest 2022 คือเท่าไหร่?
รถยนต์ Ford Everest รุ่นปี 2022 มีสมรรถนะด้านความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม จนได้รับคะแนนความปลอดภัย 5 ดาวจากอาเซียน NCAP โดยการประเมินนี้พิจารณาจากประสิทธิภาพในการปกป้องผู้โดยสารทั้งผู้ใหญ่และเด็ก รวมถึงระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนถนนสภาพซับซ้อนแบบไทย ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง เช่น 7 ถุงลมนิรภัย ระบบควบคุมเสถียรภาพอิเล็กทรอนิกส์ (ESC) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) และระบบช่วยรักษาเลน (LKA) ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้จริง สำหรับคนไทยแล้ว Everest ยังได้รับการออกแบบเฉพาะเพื่อปรับตัวสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย ทั้งระบบเบรกที่ทำงานได้ดีในทุกสภาพ และเทคโนโลยีป้องกันสนิมบนตัวถัง นอกจากนี้ระยะยกตัวสูงและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อยังเหมาะกับการใช้งานบนถนนลูกรังในบางพื้นที่ของไทยด้วย ที่น่าสนใจคือมาตรฐานการทดสอบของอาเซียน NCAP จะเน้นเรื่องความปลอดภัยภายใต้สภาพอากาศเขตร้อนเป็นพิเศษ รวมถึงการประเมินการชนกับรถจักรยานยนต์ซึ่งสำคัญมากสำหรับไทยที่มีจำนวนมอเตอร์ไซค์สูง แนะนำว่าก่อนตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคควรทดลองขับขี่ด้วยตนเองนอกเหนือจากการอ้างอิงการจัดอันดับความปลอดภัยในการเลือกซื้อและสัมผัสกับการกำหนดค่าความปลอดภัยของรถยนต์ให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเองและได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าระบบความปลอดภัยจะทำงานได้ดีที่สุดตลอดเวลา
Q
รถ Ford Everest 2022 มีทั้งหมดกี่ที่นั่ง?
รถยนต์ Ford Everest รุ่นปี 2022 ในตลาดไทยมาพร้อมกับตัวเลือกการจัดวางเก้าอี้ 2 แบบ ทั้งแบบ 7 ที่นั่งและ 5 ที่นั่ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของแต่ละครอบครัว สำหรับรุ่น 7 ที่นั่งมีการจัดวางแบบ 2+3+2 ที่นั่งแถวสองสามารถเลื่อนปรับระยะหน้า-หลังได้ ส่วนแถวสามพับเก็บได้แบบ 50:50 ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะมากสำหรับครอบครัวใหญ่ในไทยที่ชอบท่องเที่ยวหรือต้องการพื้นที่ขนของ ส่วนรุ่น 5 ที่นั่งก็ให้พื้นที่กระโปรงหลังกว้างขวางขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นเรื่องความจุในการเก็บสัมภาระ ด้านสมรรถนะ SUV คันนี้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร ที่แสดงความสามารถได้อย่างโดดเด่นบนเส้นทางภูเขาในไทย คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน สิ่งที่น่าสนใจคือระยะความสูงจากพื้นรถที่มาก พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ ที่ช่วยให้ขับเคลื่อนบนถนนลื่นๆในช่วงฤดูฝนของไทยได้อย่างมั่นใจ ระบบ SYNC 4 ยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย ทำให้น่าใช้ยิ่งขึ้น พื้นที่เก็บของสามารถขยายได้ถึง 898 ลิตรเมื่อพับแถวที่นั่งสาม เหมาะสมอย่างยิ่งกับการไปจ่ายตลาดสุดสัปดาห์แบบคนไทย ที่ชอบซื้อของทีละมากๆ ตัวถังรถยังใช้วัสดุโบรอนสตีลที่คงความแข็งแรงได้แม้ในสภาพอากาศร้อนจัดของไทย
Q
รถยนต์ Ford Everest รุ่นปี 2022 มีแบบไฮบริดให้เลือกหรือไม่?
รุ่น Ford Everest ปี 2022 ในตลาดไทยยังไม่มีเวอร์ชันไฮบริดให้เลือก โดยตัวรถในไทยจะเน้นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล V6 เทอร์โบ 3.0 ลิตร คู่กับเกียร์ออโต้ 10 สปีด ที่เน้นสมรรถนะออฟโรดและความประหยัดพื้นที่ ส่วนความสนใจในรถไฮบริดและรถไฟฟ้าของคนไทยนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ Ford ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงโฟกัสที่รถเครื่องยนต์สันดาปอยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทรนด์รถไฟฟ้าโลกมาแรง แนวโน้มในอนาคต Everest อาจจะมีตัวเลือกไฮบริดหรือปลั๊ก-อินไฮบริดเพื่อตอบโจทย์ตลาด รัฐบาลไทยเองก็มีนโยบายส่งเสริมรถพลังงานสะอาด เช่น ลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต ซึ่งอาจดันให้หลายแบรนด์นำเข้ารถโมเดลพลังงานใหม่มาไทยมากขึ้น ตอนนี้ในตลาดไทยมี SUV ไฮบริดให้เลือกอย่าง Toyota Fortuner Hybrid และ Mitsubishi Outlander PHEV ที่ลูกค้าเลือกได้ตามความต้องการและเรื่องประหยัดน้ำมัน ส่วน Ford Everest ด้วยโครงสร้างแข็งแรงและความสามารถออฟโรดระดับพรีเมียมนั้นโด่งดังในเขตภูเขาและต่างจังหวัดของไทย ถ้าหากมีรุ่นไฮบริดออกมาในอนาคต คงช่วยเพิ่มจุดแข่งในตลาดได้ไม่น้อย
Q
“รถ Ford Everest ปี 2022 มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) ไหม?”
Ford Everest รุ่นปี 2022 ในตลาดไทยมีรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) ที่มาพร้อมระบบอัจฉริยะช่วยกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลังอัตโนมัติตามสภาพถนน ทำให้เหมาะกับสภาพเส้นทางหลากหลายของไทย ทั้งถนนภูเขาทางเหนือหรือผิวถนนลื่นช่วงฤดูฝน นอกจากรุ่น 4WD แล้วยังมีรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) ให้เลือกตามความต้องการและงบประมาณ โดยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นที่นิยมในหมู่คนไทยที่ชอบท่องเที่ยวด้วยตัวเองหรือต้องเจอกับเส้นทางยากๆ เพราะช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะและความคล่องตัว โดยเฉพาะในไทย Ford Everest ยังมาพร้อมโหมดขับขี่หลายแบบ เช่น โหมดปกติ โหมดโคลน/หิมะ โหมดทราย ช่วยให้รถปรับตัวได้ดีในทุกสภาพแวดล้อม สำหรับคนไทยที่กำลังมองหา SUV การเข้าใจระบบขับเคลื่อนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะส่งผลโดยตรงต่อสมรรถนะและการใช้งาน ไม่ว่าจะขับในเมืองหรือออกไปผจญภัย Ford Everest รุ่น 2022 ก็ตอบโจทย์ได้ดี
Q
ช่วงราคารถ Everest ปี 2022 คือเท่าไหร่?
รถ Ford Everest รุ่นปี 2022 ในตลาดไทยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1.4 - 2 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและอุปกรณ์เสริมที่เลือก เช่น รุ่น Trend ราคาจับต้องได้เหมาะสำหรับคนงบประมาณไม่สูง ส่วนรุ่น Sport หรือ Titanium+ ที่เป็นรุ่นท็อปจะมาพร้อมฟีเจอร์หรูอย่างซันรูฟพาโนรามิก ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ ทำให้ราคาสูงขึ้นหน่อย ในไทยรถคันนี้ค่อนข้างโดนใจทั้งครอบครัวและคนชอบออกไปเที่ยวธรรมชาติ เพราะทั้งแรงและพื้นที่ในรถกว้างขวาง เหมาะกับสภาพถนนหลายแบบของไทย จะขับในเมืองหรือทริปยาวๆ ก็ไม่มีปัญหา แถมยังมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ V6 3.0 ลิตร ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน ตอบโจทย์คนไทยที่ต้องการทั้งประโยชน์ใช้สอยและความประหยัดในตัวเดียว เวลาจะซื้อแนะนำให้ไปที่โชว์รูม Ford อย่างเป็นทางการเพื่อสอบถามโปรโมชั่นล่าสุด เพราะบางทีมีบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรีหรือโปรผ่อนดาวน์เบาๆ แถมยังได้ทดลองขับรถรุ่นต่างๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ จะได้รู้ว่ารุ่นไหนเหมาะกับสไตล์การใช้ชีวิตของไทยที่สุด
Q
Ford Everest 2022 คืออะไร?
Ford Everest รุ่นปี 2022 เป็น SUV ขนาดกลางที่ออกแบบมาสำหรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะที่ประเทศไทยได้รับความนิยมจากครอบครัวและนักท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ด้วยสมรรถนะออฟโรดที่ยอดเยี่ยมและพื้นที่ใช้งานที่กว้างขวาง รถรุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ให้กำลังสูงถึง 226 แรงม้าและแรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและโหมดขับขี่หลากหลายภูมิประเทศ เหมาะสมกับสภาพถนนหลากหลายแบบในไทย ทั้งเส้นทางขรุขระแถบภาคเหนือหรือถนนลื่นในช่วงฤดูฝน ด้านภายในติดตั้งระบบความบันเทิง SYNC 4 ที่รองรับเสียงสั่งงานภาษาไทยและ Apple CarPlay แบบไร้สาย ส่วนเบาะหลังพับได้อย่างคล่องตัว เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุดถึง 2,010 ลิตร สำหรับใส่กระเป๋าไปตั้งแคมป์หรือของช้อปปิ้งชิ้นใหญ่ ระบบความปลอดภัยครบครันด้วย 7 หมอนอิงและ Ford Co-Pilot360 ที่สำคัญ Ford Everest เวอร์ชั่นไทยยังได้รับการปรับปรุงระบบปรับอากาศให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น และเพิ่มการป้องกันสนิมเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นในระดับเดียวกันแล้ว Everest โดดเด่นเรื่องสมรรถนะออฟโรดและพื้นที่เก็บของ แต่อาจกินน้ำมันมากกว่ารถญี่ปุ่นบ้างเมื่อขับในเมือง ปัจจุบันรถรุ่นนี้ผลิตที่โรงงานระยอง พร้อมรับประกัน 5 ปีหรือ 150,000 กิโลเมตรตามมาตรฐานไทย
Q
Ford Everest 2025 ราคาเท่าไหร่?
คาดว่าราคาของ Ford Everest รุ่นปี 2025 ในตลาดไทยจะอยู่ที่ประมาณ 1.8 ถึง 2.5 ล้านบาท โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามระดับเครื่องแต่งตัว เช่น รุ่นพื้นฐาน XL และรุ่นสูงสุด Platinum ที่มีราคาห่างกันค่อนข้างมาก แนะนำให้ผู้ซื้อติดตามราคาอัปเดตล่าสุดจากตัวแทนจำหน่ายท้องถิ่น รุ่นนี้ยังคงดีไซน์แนว SUV ทรหด พร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร หรือเครื่องยนต์ดีเซล V6 เทอร์โบชาร์จ 3.0 ลิตร ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบเต็มเวลาและระบบจัดการการขับขี่บนพื้นผิวต่างๆ เหมาะสมกับสภาพเส้นทางภูเขาและฤดูฝนของไทยเป็นอย่างยิ่ง จุดเด่นของรุ่นปี 2025 คือการอัปเกรดหน้าจอแสดงผลดิจิทัลขนาด 12.4 นิ้วและหน้าจอกลางขนาด 12 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สายและภาพพาโนรามา 360 องศา ซึ่งเป็นการอัปเกรดที่ชัดเจนในส่วนของเทคโนโลยี ในตลาดไทย Everest มีคู่แข่งหลักอย่าง Toyota Fortuner และ Isuzu MU-X ผู้บริโภคควรเปรียบเทียบนโยบายหลังการขายที่แต่ละแบรนด์เสนอ เช่น Ford ไทยปัจจุบันให้บริการรับประกัน 5 ปีหรือ 150,000 กิโลเมตร และบางตัวแทนยังมีโปรโมชั่นบริการฟรีให้อีกด้วย เนื่องจากรัฐบาลไทยมีนโยบายลดภาษีสำหรับรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รุ่นดีเซลของ Everest จึงได้เปรียบด้านภาษีมากกว่ารุ่นเบนซิน นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คนไทยนิยม SUV ระบบดีเซล
Q
“Ford Everest จะเปิดตัวในปี 2025 ใช่หรือไม่?”
ขณะนี้ทาง Ford ประเทศไทยยังไม่ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับแผนการนำเข้า Ford Everest รุ่นปี 2025 แต่ด้วยความนิยมของรุ่นนี้ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประสิทธิภาพที่โดดเด่นของ Everest รุ่นปัจจุบันในไทย คาดว่าความเป็นไปได้ที่จะมีการนำเข้ารุ่นใหม่ค่อนข้างสูง สำหรับ Everest 2025 คาดว่าจะยังคงตำแหน่ง SUV แข็งแกร่ง พร้อมอาจอัพเกรดเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด รวมถึงระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะและระบบความบันเทิงที่ทันสมัยขึ้น ซึ่งอัพเดตเหล่านี้เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายรูปแบบในไทยและความต้องการเทคโนโลยีของผู้บริโภค แนะนำให้ติดตามข้อมูลล่าสุดผ่านเว็บไซต์ Ford ประเทศไทยหรือตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ สำหรับคนไทยที่กำลังมองหา SUV ทาง Everest Series ได้รับความนิยมจากสมรรถนะออฟโรดและพื้นที่กว้างขวางโดยเฉพาะในเขตภูเขาและชนบททางภาคเหนือของไทย ส่วนรุ่นอื่นในระดับเดียวกันเช่น Toyota Fortuner หรือ Mitsubishi Pajero Sport ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ควรทดลองขับและเปรียบเทียบตามความต้องการและงบประมาณของแต่ละคน

ข้อดี

เครื่องยนต์ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบเทวิน 2.0 มีกำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาด PPV
พื้นที่ภายในรถที่มีประโยชน์จัดเป็น 7 ที่นั่ง 3 แถว ที่นั่งแถวที่สามสามารถพับลงอย่างถูกต้องด้วยกลไกไฟฟ้า
ติดตั้งอุปกรณ์ให้ครบครันเช่นประตูหลังไฟฟ้า กุญแจอัจฉริยะและระบบเริ่มต้นด้วยกดปุ่มเดียว ระบบควบคุมด้วยเสียง
การออกแบบภายนอกที่สวยงาม ติดตั้งล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้วสำหรับแบบที่ราคาสูงสุด กระจังหน้าและแถบป้องกันด้านหลังใหม่ การส่องสว่าง LED ทั้งรถ
บริการหลังการขายมีชื่อเสียงบ้าง

ข้อเสีย

10 เกียร์อัตโนมัติประสบปัญหาในการใช้งาน เช่น การเปลี่ยนเกียร์ขัดข้อง ฟอร์ดกำลังแก้ไข
การปรับปรุงรุ่นรถช้า ห่างจากการปรับปรุงครั้งล่าสุดเกือบ 2 ปี
บริการหลังการขายได้รับความคิดเห็นลบบนอินเทอร์เน็ต ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้ซื้อ

Q&A ล่าสุด

Q
ความสามารถในการลากจูงของ Radar RD6 คือเท่าไหร่?
RIDDARA RD6 ในฐานะรถกระบะไฟฟ้า 100% ที่มีความสามารถในการลากจูง (towing capacity) ที่โดดเด่นในตลาดไทย ข้อมูลทางการระบุว่าสามารถลากน้ำหนักได้สูงสุดถึง 2.5 ตัน ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการทั่วไปของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นการลากรถบ้าน เรือยอชต์ขนาดเล็ก หรืออุปกรณ์ก่อสร้าง โดยเฉพาะในเขตชายทะเลหรือจุดท่องเที่ยวชื่อดังของไทย ที่ความสามารถนี้จะใช้งานได้จริง สิ่งที่น่าสนใจคือประสิทธิภาพการลากจูงของรถไฟฟ้าจะแตกต่างจากรถน้ำมันทั่วไป โดย RIDDARA RD6 ใช้ประโยชน์จากแรงบิดทันทีของมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้การออกตัวและการปีนเขาราบรื่นกว่า พร้อมกับการออกแบบแบตเตอรี่ที่ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถ เพิ่มความมั่นคงขณะลากจูง สำหรับการใช้รถกระบะไฟฟ้าในไทย ควรคำนึงถึงความครอบคลุมของสถานีการชาร์จด้วย แนะนำให้วางแผนเส้นทางล่วงหน้า โดยเฉพาะเมื่อต้องลากจูงระยะไกล เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีสถานีการชาร์จเพียงพอ นอกจากนี้สภาพอากาศร้อนของไทยอาจส่งผลต่อระยะทางแบตเตอรี่บ้าง จึงควรตรวจสอบระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่เป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการลากจูงน้ำหนักมากติดต่อกันภายใต้สภาพอากาศร้อนจัด เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ สำหรับผู้ที่ต้องลากของหนักบ่อยๆ สามารถเลือกติดตั้งอุปกรณ์เสริมอย่างตะขอลากของแท้จากโรงงานและระบบควบคุมความมั่นคงอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น
Q
Riddara RD6 ราคาเท่าไหร่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ?
รถ Riddara RD6 มีหลายรุ่น แต่ละรุ่นราคาไม่เท่ากันนะ ราคาเป็นบาทไทยอยู่ที่ 899,000 บาท ไปจนถึง 1,335,000 บาท ถ้าจะคิดเป็นดอลลาร์ก็ต้องดูอัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้นเลย เพราะค่าเงินมันขึ้นลงตลอดเวลา ตัวอย่างเช่นถ้า 1 ดอลลาร์เท่ากับ 35 บาท เงิน 899,000 บาทก็จะประมาณ 25,685.71 ดอลลาร์ ส่วน 1,335,000 บาทก็ประมาณ 38,142.86 ดอลลาร์ รุ่นนี้เป็นรถไฟฟ้าที่มีความทนทานและวิธีการขับขี่ที่หลากหลายสำหรับตัวเลือกความแตกต่างของราคาในรุ่นการกำหนดค่าที่แตกต่างกันยังสะท้อนให้เห็นในด้านประสิทธิภาพความทนทานและอื่น ๆ ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามความต้องการ
Q
แบตเตอรี่ของ Riddara RD6 มีความจุเท่าไหร่?
รถบรรทุกไฟฟ้า Riddara RD6 เป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในตลาดไทย ด้วยความจุแบตเตอรี่ 59.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งการเดินทางไปทำงานและการขนส่งระยะใกล้ถึงกลาง โดยในเงื่อนไขการทดสอบ NEDC สามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 305 กิโลเมตร ซึ่งเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยทั้งในเมืองและพื้นที่รอบข้าง สำหรับผู้บริโภคไทย ความจุแบตเตอรี่ของรถบรรทุกไฟฟ้ามีผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายและความถี่ในการชาร์จ จุดเด่นของ RD6 คือระบบชาร์จเร็วที่สามารถเติมพลังงานจาก 30% เป็น 80% ได้ในเวลาเพียงประมาณ 30 นาที ซึ่งสะดวกมากเมื่อเทียบกับโครงข่ายสถานีชาร์จที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศร้อนของไทยอาจส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ แนะนำให้เจ้าของรถหลีกเลี่ยงการจอดตากแดดเป็นเวลานาน และควรตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ ด้วยนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย ทำให้รถบรรทุกไฟฟ้าแบบ RD6 กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจแทนที่รถบรรทุกน้ำมัน ด้วยจุดเด่นด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า คาดว่าในอนาคตเมื่อสถานีชาร์จไฟฟ้าแพร่หลายมากขึ้น รุ่นนี้จะมีความเติบโตในตลาดไทยอย่างแน่นอน
Q
น้ำหนักบรรทุกของ Riddara RD6 คือเท่าไหร่?
รถกระบะ Riddara RD6 เป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย ด้วยความสามารถในการบรรทุกสูงสุด (payload) ที่ประมาณ 1,000 กิโลกรัม ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าเกษตร งานก่อสร้าง หรือการขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจขนาดเล็กก็ทำได้ง่ายดาย ในประเทศไทย รถกระบะเป็นที่ชื่นชอบเนื่องจากความทนทานและความหลากหลายในการใช้งาน ส่วน RD6 ก็โดดเด่นในเรื่องความสามารถในการบรรทุกที่เหมาะสำหรับทั้งการใช้ในครอบครัวและเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ RD6 ยังมาพร้อมกับระบบช่วงล่างและการตั้งค่าตัวรถที่ทันสมัย ช่วยให้การขับขี่มีความมั่นคงแม้อยู่ในสภาวะบรรทุกหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะกับสภาพถนนในไทยที่หลากหลาย ทั้งในเมืองและถนนลูกรัง สำหรับผู้ที่ต้องการความสามารถในการบรรทุกสูงเป็นพิเศษ แนะนำให้ตรวจสอบความดันลมยางและระบบช่วงล่างอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานระยะยาว ส่วนคนไทยที่กำลังมองหารถกระบะ นอกจากเรื่องความสามารถในการบรรทุกแล้ว ยังควรพิจารณาประหยัดน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา และความสะดวกในการบริการหลังการขาย เพราะปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อประสบการณ์การใช้งานและค่าใช้จ่ายโดยรวมของรถด้วย
Q
Riddara RD6 มีสีอะไรบ้าง?
รถกระบะ Riddara RD6 ที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย มีตัวเลือกสีรถที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความชอบของผู้บริโภคแต่ละคน โดยมีทั้งโทนสีพื้นฐานคลาสสิกอย่างขาว ดำ เงิน รวมไปถึงสีสันสดใสอย่างน้ำเงินและแดงที่โดดเด่นกว่า สีเหล่านี้ไม่เพียงดูดีทนตา แต่ยังเหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย เพราะกระบวนการพ่นสีได้คำนึงถึงการป้องกันการกัดกร่อนและรังสียูวีไว้แล้ว ในประเทศไทยการเลือกสีรถกระบะมักเกี่ยวข้องกับประโยชน์ใช้สอยและความนิยมตามวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่นโทนสีอ่อนที่ช่วยสะท้อนแสงแดดและลดความร้อนภายในรถซึ่งเป็นที่นิยมในเขตร้อน ในขณะที่สีเข้มให้ความรู้สึกมั่นคงและดูแลรักษาง่าย นอกจากนี้ผู้บริโภคไทยยังคำนึงถึงผลกระทบของสีรถต่อมูลค่าขายต่อด้วย โดยสีกลางๆมักจะรักษามูลค่าได้ดีกว่า การออกแบบสีของ Riddara RD6 นั้นตอบทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยครบครัน เหมาะสำหรับทุกความต้องการตั้งแต่การใช้ในครอบครัวไปจนถึงเชิงพาณิชย์ แนะนำให้ไปดูสีรถจริงที่โชว์รูมก่อนซื้อ เพราะแสงและสภาพแวดล้อมอาจทำให้สีดูแตกต่างกัน
ดูเพิ่มเติม