Q

ฟอร์ดเอเวอเรสต์มีที่นั่งกี่ที่

ฟอร์ด เอสเคปเป็น SUV ยอดนิยมในตลาดไทย มาพร้อมกับการจัดเรียงเบาะแบบ 2+3 ที่นั่งมาตรฐาน 5 ที่นั่ง เหมาะสำหรับครอบครัวไทยที่เน้นการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยเบาะหลังสามารถพับลงได้บางส่วนเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระให้ยืดหยุ่นขึ้น ในสภาพอากาศร้อนของไทย รุ่นนี้ติดตั้งช่องปรับอากาศด้านหลังเป็นมาตรฐานทุกรุ่น และยังมีตัวเลือกเบาะระบายอากาศเพื่อเพิ่มความสบายให้ผู้โดยสาร ถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างโตโยต้า RAV4 และฮอนด้า CR-V ที่ก็ใช้การออกแบบ 5 ที่นั่งแบบเดียวกัน แต่เบาะของเอสเคปจะนุ่มกว่า ทำให้ขับทางไกลได้สบายตัวมากขึ้น ข้อสังเกตสำหรับรุ่นที่ขายในอเมริกาอาจมีแบบ 7 ที่นั่ง แต่ในไทยเรานำเข้าเฉพาะรุ่น 5 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่งตอบโจทย์ทั้งความนิยมของคนไทยและนโยบายภาษีรถยนต์ ส่วนพื้นห้องโดยสารด้านหลังมีการยกตัวต่ำ ทำให้ผู้โดยสารที่นั่งกลางมีพื้นที่วางขาได้กว้างขวางขึ้น แถมยังติดตั้งจุดยึด ISOFIX สำหรับติดตั้งที่นั่งเด็กมาตรฐานทุกคัน ซึ่งตอบโจทย์ครอบครัวไทยที่มีลูกเล็กหลายคนได้เป็นอย่างดี
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
วิธีการเปิดฝากระโปรง Ford Everest
การเปิดฝากระโปรงหน้ารถ Ford Everest นั้นง่ายมากครับ ขั้นแรกให้มั่นใจว่ารถอยู่ในสภาวะดับเครื่องและจอดบนพื้นเรียบ จากนั้นให้มองหาแถบดึงปลดล็อกฝากระโปรงที่บริเวณเท้าคนขับด้านซ้าย มักจะอยู่ใต้พวงมาลัยด้านซ้ายหรือด้านข้างแผงหน้าปัด ค่อยๆ ดึงแถบนี้จะได้ยินเสียงฝากระโปรงหลุดออก แล้วเดินไปที่หน้าตัวรถ จะพบสลักนิรภัยอยู่ตรงกลางใต้ฝากระโปรง ให้ใช้นิ้วดันสลักขึ้นด้านบนพร้อมกับยกฝากระโปรง ถ้ารู้สึกหนักเกินไปสามารถใช้ค้ำยันช่วยได้ ในสภาพอากาศร้อนของไทยแนะนำให้ตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็นและน้ำมันเครื่องเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนเดินทางไกล ภายในห้องเครื่องของ Everest นั้นจัดวางอย่างเป็นระบบ ช่วยให้เจ้าของรถตรวจเช็คพื้นฐานได้สะดวก แต่ถ้าพบเสียงผิดปกติหรือมีรอยรั่วของน้ำมันเครื่อง แนะนำให้รีบติดต่อศูนย์บริการฟอร์ดประเทศไทยเพื่อตรวจเช็คอย่างมืออาชีพ จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจลุกลามในสภาพอากาศร้อน แถมช่วงฤดูฝนของไทยต้องระวังเรื่องใบไม้และเศษขยะในห้องเครื่องด้วย ควรทำความสะอาดและตรวจสอบท่อระบายน้ำให้โล่งอยู่เสมอ การดูแลรายละเอียดเล็กน้อยแบบนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานรถได้
Q
ยาว Ford Everest เท่าไหร่
รถ Ford Everest มีความยาวตัวรถประมาณ 4914 มิลลิเมตร เป็น SUV ขนาดกลางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดไทย โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวหรือการขับขี่ออฟโรด ด้วยพื้นที่ภายในที่กว้างขวางและสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง ทำให้ตอบโจทย์สภาพถนนที่หลากหลายของไทยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมืองหรือเส้นทางลูกรังในชนบท ก็ขับเคลื่อนได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ Everest ยังมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยอันทันสมัย เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและระบบเตือนจุดบอด ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่บนท้องถนนที่ค่อนข้างวุ่นวายของไทย ส่วนระยะช่วงล่างที่สูงและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ก็ทำให้การขับขี่ในฤดูฝนหรือเส้นทางที่ไม่ใช่ถนนลาดยางเป็นเรื่องง่าย เหมาะสมกับสภาพอากาศและภูมิประเทศที่หลากหลายของไทยเป็นพิเศษ ถ้าสนใจรถ Everest แนะนำให้ไปทดลองขับที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน เพื่อสัมผัสความสบายและสมรรถนะการขับขี่ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์เฉพาะสำหรับตลาดไทย เช่น ระบบปรับอากาศที่ออกแบบมาสำหรับภูมิอากาศแบบร้อน หรือแผนบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์คนไทยโดยเฉพาะ
Q
Ford Everest 2022 มีสีอะไรบ้าง
Ford Everest รุ่นปี 2022 ในตลาดไทยมีตัวเลือกสีสันที่หลากหลายและทันสมัยมาให้เลือกกัน ไม่ว่าจะเป็น Meteor Grey (สีเทาอุกกาบาต) ที่ดูคลาสสิกและหรูหรา Aluminium Metallic (สีอะลูมิเนียมเมทัลลิก) ที่ให้ความรู้สึกโมเดิร์น Equinox Bronze (สีบรอนซ์อิควิน็อกซ์) ที่มีความพิเศษเฉพาะตัว Absolute Black (สีดำสนิท) ที่เรียบหรูและเข้ากับทุกสไตล์ Snow Flake White Pearl (สีขาวไข่มุก) ที่ดูสะอาดตาและหรูหรา หรือจะเป็น Luxe Yellow (สีเหลือง Luxury) ที่โดดเด่นสะดุดตา สีเหล่านี้ไม่เพียงตอบโจทย์ความชอบของลูกค้าแต่ละคน แต่ยังเหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย โดยเฉพาะสีเมทัลลิกและสีไข่มุกที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศและรังสียูวีเป็นพิเศษ ในประเทศไทยการเลือกสีรถนอกจากจะขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวแล้ว ยังต้องคำนึงถึงเรื่องมูลค่าการขายต่อและความสะดวกในการดูแลรักษาด้วย เช่น สีอ่อนในเขตร้อนจะดูแลง่ายกว่าและความร้อนภายในรถน้อยกว่าสีเข้มที่ต้องดูแลทำความสะอาดบ่อยกว่า Ford Everest ในฐานะ SUV เอนกประสงค์ การออกแบบสียังคำนึงถึงความทันสมัยสำหรับการขับขี่ในเมืองและความ практиงาตสำหรับการใช้งานกลางแจ้ง แนะนำให้ลูกค้าเลือกสีรถตามลักษณะการใช้งานและความสะดวกในการดูแลรักษา พร้อมทั้งควรทำการเคลือบแว็กซ์หรือเคลือบสีเป็นประจำเพื่อรักษาความสวยงามของสีรถให้ทนทานยิ่งขึ้น
Q
วิธีสตาร์ทฟอร์ด Everest ด้วยกุญแจ
การสตาร์ทรถ Ford Everest ด้วยกุญแจนั้นทำได้ง่ายมาก ขั้นแรกให้แน่ใจว่ารถอยู่ในตำแหน่งจอด (เกียร์ P) จากนั้นนำกุญแจสอดเข้าไปในช่องกุญแจด้านขวาของพวงมาลัย แล้วหมุนตามเข็มนาฬิกาไปที่ตำแหน่ง "ON" หน้าปัดจะสว่างขึ้นและทำการตรวจสอบระบบเอง จากนั้นหมุนกุญแจต่อไปยังตำแหน่ง "START" เมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้วก็ปล่อยกุญแจได้เลย ในสภาพอากาศร้อนของไทยแนะนำให้รอสักครู่หลังสตาร์ทเพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลเวียนเต็มที่ก่อนออกรถ จะช่วยถนอมเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น ถ้าพบปัญหาสตาร์ทไม่ติด อาจเป็นเพราะแบตเตอรี่หมดหรือชิปในกุญแจมีปัญหา ลองตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่หรือใช้กุญแจสำรองดู ระบบกุญแจอัจฉริยะของ Ford Everest ในสภาพแวดล้อมชื้นของไทยควรระวังเรื่องน้ำโดนกุญแจ เพราะอาจทำให้ส่งสัญญาณไม่ดี เวลาซ่อมบำรุงทั่วไปควรตรวจสอบระบบสตาร์ทและสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่ารถพร้อมสตาร์ทได้ทุกเวลาโดยเฉพาะเมื่อขับบนเส้นทางภูเขาในไทย ถ้าไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานาน อาจถอดขั้วลบของแบตเตอรี่ออกเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่
Q
รถ Ford Everest ติดเครื่องยนต์อะไร
Ford Everest ในตลาดไทยมาพร้อมกับเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง 2 แบบหลักๆ คือเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร EcoBlue เทอร์โบคู่ และเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร EcoBoost เทอร์โบ โดยรุ่นดีเซลให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายในไทย ส่วนรุ่นเบนซินให้กำลัง 281 แรงม้า สำหรับคนชอบความแรงในการเร่ง ทั้งสองรุ่นผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อมของไทย นอกจากนี้ Everest ยังติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและโหมดขับขี่หลายรูปแบบ ช่วยให้ขับผ่านทั้งถนนลื่นช่วงฝนตกหรือทางเขาชันได้สบายๆ SUV แบบนี้กำลังฮิตในไทยเพราะใช้งานได้ทั้งในเมืองและทริปครอบครัว รุ่นคู่แข่งอย่าง Toyota Fortuner และ Mitsubishi Pajero Sport ก็ใช้แนวคิดเครื่องยนต์คล้ายๆ กัน ลูกค้าเลือกได้ตามความชอบว่าจะเอารุ่นดีเซลที่เงียบหรือเบนซินที่แรงกว่า
Q
วิธีการเปิดถังน้ำมัน Ford Everest
การเปิดฝาถังน้ำมันของ Ford Everest ทำได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนของไทยที่ต้องระวังเรื่องรายละเอียดการใช้งาน ขั้นแรกให้ตรวจสอบว่าตัวรถอยู่ในสถานะปลดล็อกแล้ว จากนั้นกดที่ขอบด้านขวาของฝาถังน้ำมันเพื่อเปิดออก สำหรับรุ่นท็อปบางรุ่นยังมีฟังก์ชันเปิดแบบไม่ต้องสัมผัส แค่ถือกุญแจเข้าใกล้บริเวณฝาถังน้ำมันแล้วกดเบาๆ ที่ขอบฝา ระบบจะปลดล็อกให้อัตโนมัติ ซึ่งการออกแบบนี้สะดวกมากในช่วงฤดูฝนหรือเวลาที่มือทั้งสองถือของ ข้อควรระวังในไทยที่ปั๊มส่วนใหญ่เป็นระบบบริการตนเอง แนะนำให้ดับเครื่องยนต์แล้วรอสัก 30 วินาทีก่อนเปิดฝาถังน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันกระเด็นออกเนื่องจากความดันที่เหลืออยู่ในระบบ ในเวลาเดียวกันพอร์ตถังน้ำมันของ Everest ใช้การออกแบบป้องกันข้อผิดพลาดบวกได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดบวกดีเซล ซึ่งมีประโยชน์มากในไทยที่ปั๊มส่วนใหญ่มีทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล แนะนำให้ตรวจสอบสภาพยางซีลของฝาถังน้ำมันเป็นประจำ โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยที่อาจทำให้ยางแข็งตัวและเกิดการรั่วของไอน้ำมัน ซึ่งทั้งส่งผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันและอาจเป็นอันตรายได้ ถ้าพบว่าฝาเปิดปิดไม่ลื่นไหล ให้ทาวาสลีนเล็กน้อยที่บริเวณบานพับเพื่อช่วยหล่อลื่น
Q
Ford Everest มีที่นั่งกี่ที่
Ford Everest เป็น SUV ขนาดกลาง-ใหญ่ที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย มีให้เลือกทั้งแบบ 7 ที่นั่งและ 5 ที่นั่ง โดยรุ่น 7 ที่นั่งจะมีการจัดวางแบบ 2+3+2 แถวที่นั่งสองสามารถเลื่อนไปมาได้และพับเก็บได้ในสัดส่วน 60:40 ส่วนแถวสามเหมาะสำหรับนั่งระยะสั้นหรือเด็กๆ การออกแบบพื้นที่ภายในที่ยืดหยุ่นแบบนี้ตอบโจทย์ครอบครัวไทยที่ชอบออกทริปสุดสัปดาห์หรือต้องเดินทางพร้อมผู้โดยสารหลายคน ที่สำคัญถึงแม้จะใช้งานแบบ 7 ที่นั่งเต็มความจุ กระโปรงหลังของ Everest ยังสามารถบรรจุกระเป๋าเล็กๆ ได้ และหากพับแถวที่นั่งสามลงทั้งหมดก็จะได้พื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดไทยระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกอย่างช่องลมแอร์และพอร์ต USB สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง โดยรุ่นท็อปยังมีระบบควบคุมแอร์แยกสำหรับแถวหลังเพื่อตอบสนองสภาพอากาศร้อนของไทย ซึ่งการออกแบบรายละเอียดเหล่านี้แสดงถึงความเข้าใจในความต้องการของผู้ใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างลึกซึ้ง สำหรับผู้บริโภคไทยที่มักต้องเดินทางพร้อมผู้โดยสารเกิน 5 คนขึ้นไป Everest รุ่น 7 ที่นั่งนับเป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้จริงมากกว่า
Q
Ford Everest 2022 จะเปิดตัวเมื่อไหร่
รถยนต์ Ford Everest รุ่นปี 2022 เปิดตัวในตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 โดย SUV ระดับกลางรุ่นนี้มาพร้อมกับตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล V6 เทอร์โบชาร์จ 3.0 ลิตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 2 แบบคือ 4WD และ RWD เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ในตลาดไทย Everest ได้รับความสนใจอย่างมากจากสมรรถนะออฟโรดที่ยอดเยี่ยมและพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง โดยเฉพาะความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่หลากหลายของไทยและความต้องการใช้งานสำหรับครอบครัว รุ่นใหม่นี้ยังได้รับการอัปเกรดระบบสารสนเทศความบันเทิง SYNC 4 พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 12 นิ้ว และเพิ่มฟังก์ชันช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่างๆ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่มากขึ้น โดยในตลาดไทย Ford Everest มีคู่แข่งสำคัญอย่าง Toyota Fortuner และ Isuzu MU-X แต่ด้วยพลังขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งและอุปกรณ์ครบครัน ทำให้ Everest ยังคงมีความสามารถในการแข่งขันสูงในตลาด SUV ระดับกลาง สำหรับผู้บริโภคไทย รถรุ่นนี้ไม่เพียงเหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง แต่ยังสามารถตอบโจทย์การเดินทางบนถนนชนบทหรือท่องเที่ยวระยะไกลได้เป็นอย่างดี ถือเป็นตัวเลือก SUV ที่ใช้งานได้จริงและคุ้มค่าอย่างแท้จริง
Q
Ford Everest ผลิตที่ไหน
รถ Ford Everest ในปัจจุบันมีการผลิตในหลายประเทศ รวมถึงไทย จีน อินเดีย และเวียดนาม สำหรับตลาดไทยนั้น Everest ส่วนใหญ่ผลิตมาจากโรงงานฟอร์ดที่จังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของฟอร์ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงงานแห่งนี้ใช้มาตรฐานการผลิตระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รถ Everest ที่ผลิตในไทยนอกจากจะจัดจำหน่ายในประเทศแล้ว ยังส่งออกไปยังตลาดใกล้เคียงอีกด้วย รุ่นนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมในไทย เพราะตอบโจทย์ทั้งการขับเคลื่อนออฟโรดและความประหยัดพื้นที่สำหรับครอบครัว เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายแบบของไทย Everest เวอร์ชั่นไทยมักติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0L และมีตัวเลือกการจัดสรรค์หลายแบบ รวมทั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน ผู้บริโภคไทยยังได้ประโยชน์จากเครือข่ายบริการหลังการขายที่มีประจำท้องถิ่น ทั้งการบำรุงรักษาตามระยะและอะไหล่พร้อมจำหน่าย นอกจากนี้ ไทยเป็นตลาดรถพวงมาลัยขวา Everest จึงถูกออกแบบให้เหมาะสมกับตลาดนี้โดยเฉพาะ เช่น ตำแหน่งพวงมาลัยและการตั้งค่าแสงสว่าง สิ่งที่น่าสนใจคือนโยบายภาษีของรัฐบาลไทยสำหรับรถกระบะและ SUV ที่มีผลต่อราคาและการวางตำแหน่งตลาดของ Everest ในไทยด้วย
Q
ความแตกต่างระหว่าง Ford Everest Trend และ Titanium
สำหรับตลาดไทย ฟอร์ด Everest รุ่น Trend และ Titanium มีความแตกต่างหลักในเรื่องของอุปกรณ์และความหรูหรา โดยรุ่น Trend เป็นเวอร์ชันเริ่มต้นแต่จัดเต็มมาด้วยอุปกรณ์พื้นฐานที่ครบครัน เช่น ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว จอทัชสกรีน 8 นิ้ว กล้องถอยหลัง แอร์ออโต้ ขณะที่รุ่น Titanium จะอัพเกรดขึ้นไปอีกด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว หลังคาพานอรามา ระบบเสียง B&O 10 ลำโพง ประตูท้ายไฟฟ้า หนังหุ้มเบาะ และระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ Ford Co-Pilot360 เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเทคโนโลยีและความสบายระดับพรีเมียม ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร และเกียร์ออโต้ 10 สปีดเหมือนกัน ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เท่ากัน แต่ในสภาพอากาศร้อนของไทย ฟีเจอร์ระบายอากาศบนเบาะหน้าของรุ่น Titanium ถือเป็นจุดเด่นที่ใช้งานได้จริง ทั้งคู่ได้รับการปรับเซตติ้งช่วงล่างให้เหมาะกับถนนไทย โดยมีความสูงช่วงล่าง 225 มม. พร้อมรับมือกับเส้นทางลูกรังในบางพื้นที่ ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการ โดยรุ่น Trend ให้ความคุ้มค่า ส่วนรุ่น Titanium นั้นตอบโจทย์ประสบการณ์การขับขี่ระดับหรูอย่างครบวงจร

ข้อดี

เครื่องยนต์ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบเทวิน 2.0 มีกำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาด PPV
พื้นที่ภายในรถที่มีประโยชน์จัดเป็น 7 ที่นั่ง 3 แถว ที่นั่งแถวที่สามสามารถพับลงอย่างถูกต้องด้วยกลไกไฟฟ้า
ติดตั้งอุปกรณ์ให้ครบครันเช่นประตูหลังไฟฟ้า กุญแจอัจฉริยะและระบบเริ่มต้นด้วยกดปุ่มเดียว ระบบควบคุมด้วยเสียง
การออกแบบภายนอกที่สวยงาม ติดตั้งล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้วสำหรับแบบที่ราคาสูงสุด กระจังหน้าและแถบป้องกันด้านหลังใหม่ การส่องสว่าง LED ทั้งรถ
บริการหลังการขายมีชื่อเสียงบ้าง

ข้อเสีย

10 เกียร์อัตโนมัติประสบปัญหาในการใช้งาน เช่น การเปลี่ยนเกียร์ขัดข้อง ฟอร์ดกำลังแก้ไข
การปรับปรุงรุ่นรถช้า ห่างจากการปรับปรุงครั้งล่าสุดเกือบ 2 ปี
บริการหลังการขายได้รับความคิดเห็นลบบนอินเทอร์เน็ต ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้ซื้อ

Q&A ล่าสุด

Q
วิธีการตั้งเวลาที่นาฬิกาบน Mitsubishi Mirage
วิธีการตั้งนาฬิกาสำหรับรถ Mitsubishi Mirage นั้น ส่วนใหญ่สามารถทำได้ผ่านปุ่มนาฬิกาที่อยู่ด้านซ้ายของพวงมาลัยหรือที่แผงคอนโซลกลาง ขั้นตอนคือ กดปุ่มนาฬิกาค้างไว้จนตัวเลขเริ่มกระพริบ จากนั้นใช้ปุ่ม "+" และ "-" เพื่อปรับชั่วโมงและนาที เสร็จแล้วกดปุ่มยืนยันค้างอีกครั้งเพื่อตั้งค่าให้เสร็จสิ้น รุ่น Mirage แต่ละปีอาจมีรายละเอียดการตั้งค่าที่แตกต่างกันเล็กน้อย แนะนำให้ดูคู่มือการใช้รถที่มากับตัวรถเพื่อคำแนะนำที่ถูกต้องที่สุด สำหรับสภาพอากาศในประเทศไทยที่ทั้งร้อนและฝนชุก แนะนำให้ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่ต้องระวังความชื้นในห้องโดยสาร เพราะความชื้นอาจส่งผลต่อความไวของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้รถที่ใช้งานในประเทศไทยมักเจอกับแสงแดดแรงเป็นประจำ การตากแดดเป็นเวลานานอาจทำให้หน้าจอ LCD เสื่อมสภาพเร็วขึ้น อาจพิจารณาใช้แผงบังแดดเพื่อช่วยปกป้องหน้าปัดรถและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หากพบว่านาฬิการถรีเซ็ตบ่อยๆ อาจเป็นเพราะแบตเตอรี่กำลังจะหมดหรือมีปัญหาการสัมผัสของวงจรไฟฟ้า ควรนำรถไปตรวจเช็กที่ศูนย์บริการ Mitsubishi ที่ได้รับอนุญาตทันที เพื่อให้มั่นใจว่าระบบอิเล็กทรอนิกส์ของรถทำงานได้ปกติ
Q
Mitsubishi Mirage มีกี่กระบอกสูบ
รถยนต์ Mitsubishi Mirage ที่วางขายในตลาดไทยส่วนใหญ่จะใช้เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 3 สูบ แบบดูดธรรมดา (รหัส 3A92) ดังนั้นจึงเป็นสเปคมาตรฐานที่ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ (3กระบอกสูบ) โดยเครื่องยนต์รุ่นนี้ขึ้นชื่อในเรื่องประหยัดน้ำมันและค่าบำรุงรักษาต่ำ เหมาะมากกับการใช้งานในสภาพการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ หรือการเดินทางระหว่างจังหวัด แม้โครงสร้างเครื่องยนต์ 3 สูบจะมีการสั่นสะเทือนขณะเดินเบามากกว่าเครื่องยนต์ 4 สูบบ้าง แต่ก็มีการพัฒนาให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีบาลานซ์ชาฟต์ นอกจากนี้เครื่องยนต์ขนาดเล็กยังได้ประโยชน์จากภาษีที่ถูกกว่าในไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้รถรุ่นนี้ขายดีในประเทศ หากผู้ซื้อสนใจรถมือสองควรระวังรุ่นปี 2012-2015 ที่อาจใช้เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบ (รหัส 3B21) ส่วนในปี 2020 เป็นต้นไปบางตลาดอาจมีรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 4 สูบแบบ MIVEC (รหัส 4A92) แต่สำหรับช่องทางทางการในไทยยังคงนำเข้าเฉพาะรุ่น 3 สูบเท่านั้น สำหรับผู้ที่เน้นความเรียบของเครื่องยนต์ แนะนำให้ลองขับทดสอบเพื่อสัมผัสการทำงานของเครื่องยนต์ 3 สูบด้วยตัวเอง และเนื่องจากสภาพอากาศร้อนของไทย ควรตรวจสอบระบบระบายความร้อนเป็นประจำ เพราะเครื่องยนต์ขนาดเล็กเมื่อต้องทำงานหนักเพื่อใช้แอร์ในรถจำเป็นต้องดูแลเรื่องการระบายความร้อนเป็นพิเศษ
Q
วิธีตรวจสอบน้ำมันเกียร์ Mitsubishi Mirage
ก่อนจะตรวจสอบสภาพน้ำมันเกียร์ของรถ Mitsubishi Mirage ต้องจอดรถบนพื้นเรียบและสตาร์ทเครื่องยนต์ให้อุ่นถึงอุณหภูมิทำงานปกติก่อน จากนั้นเปิดฝากระโปรงหน้าเพื่อหาไม้วัดระดับน้ำมันเกียร์ (มักมีด้ามสีเหลืองหรือแดง) ดึงไม้วัดออกมาเช็ดให้สะอาดแล้วเสียบกลับเข้าไปใหม่ก่อนจะดึงออกมาอีกครั้ง ตรวจดูว่าระดับน้ำมันอยู่ระหว่างขีด "Hot" หรือไม่ พร้อมสังเกตสีของน้ำมันที่ควรเป็นสีแดงใสหรือชมพู ถ้าเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือมีกลิ่นไหม้ต้องเปลี่ยนทันที สำหรับอากาศร้อนแบบไทย แนะนำให้ตรวจสอบน้ำมันเกียร์ทุก 40,000 กม. หรือทุก 2 ปี โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่รถติดบ่อย การสตาร์ท-หยุดรถถี่ๆ จะทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพเร็วขึ้น รุ่น Mirage แต่ละแบบอาจใช้ DIAQUEEN ATF SP-III หรือน้ำมันเกียร์ CVT ชนิดพิเศษ ต้องดูคู่มือให้ดีว่าต้องใช้แบบไหน ใช้น้ำมันผิดประเภทอาจทำให้เกียร์กระตุกหรือเสียหายได้เวลาซ่อมบำรุงตามระยะ ควรให้ช่างตรวจสอบด้วยว่ากระทะน้ำมันเกียร์มีรอยรั่วหรือไม่ โดยเฉพาะในสภาพอากาศชื้นแบบไทยที่ฝนตกบ่อย ถ้าเริ่มมีอาการแปลกๆ เช่น เกียร์ตอบช้าหรือมีเสียงผิดปกติ ให้รีบไปที่ศูนย์บริการ Mitsubishi ทันที จะได้ไม่ลุกลามเป็นปัญหาใหญ่
Q
Mitsubishi Mirage สามารถมีน้ำมันเก็บอยู่กี่แกลลอน
ความจุถังน้ำมันของ Mitsubishi Mirage จะแตกต่างกันไปตามรุ่นและปีที่ผลิต ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 40-50 ลิตร (ประมาณ 10.5-13.2 แกลลอน) อย่างเช่นรุ่นปี 2023 ที่มีความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในเมืองและการเดินทางไกลของคนไทย เวลาเลือกซื้อควรดูเรื่องวัสดุถังน้ำมันด้วย (ส่วนใหญ่ทำจากโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง) และประหยัดน้ำมันแค่ไหน (ค่าเฉลี่ยประมาณ 15-18 กม./ลิตร) เพราะสองอย่างนี้มีผลต่อระยะทางจริงที่วิ่งได้ ในสภาพอากาศร้อนแบบไทย แนะนำให้รักษาระดับน้ำมันไว้อย่างน้อย 1/4 ถังเพื่อป้องกันปั๊มน้ำมันร้อนเกินไป และควรตรวจสอบความแน่นของถังน้ำมันเป็นประจำเพื่อป้องกันน้ำมันเอธานอลระเหย นอกจากนี้การวางแผนจุดเติมน้ำมันก็สำคัญ โดยเฉพาะเวลาจะเดินทางไกล แนะนำให้เช็คตำแหน่งสถานีน้ำมัน (เช่น ปตท. หรือบางจาก) ผ่านคอมพิวเตอร์ในรถหรือแอปในมือถือก่อนออกเดินทางจะดีที่สุด
Q
วิธีปิดโหมด Eco ใน Mitsubishi Mirage
ก่อนจะปิดโหมด Eco ของรถ Mitsubishi Mirage ให้เริ่มจากการสตาร์ทรถก่อน แล้วมองหาปุ่มโหมด Eco ที่แผงคอนโซลกลาง (ส่วนใหญ่จะมีสัญลักษณ์ใบไม้สีเขียว) กดปุ่มนั้นเพื่อปิดโหมด เมื่อปิดแล้วไฟแสดงสถานะโหมด Eco ที่หน้าปัดจะหายไป แสดงว่ารถได้เปลี่ยนมาใช้โหมดขับขี่ปกติแล้ว ข้อควรรู้คือโหมด Eco ออกแบบมาเพื่อปรับการตอบสนองของคันเร่งและระบบเกียร์ให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เหมาะกับสภาพการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ แต่ถ้าปิดโหมดนี้แล้วรถจะตอบสนองการเร่งดีขึ้น เหมาะสำหรับขับทางไกลหรือเวลาต้องแซง ส่วนในสภาพอากาศร้อนของไทย การปิดโหมด Eco ขณะเปิดแอร์เต็มๆ จะช่วยให้ความเย็นทำงานได้ดีขึ้น แต่จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันนิดหน่อย แนะนำว่าเวลาเดินทางในเมืองให้เปิดโหมด Eco ไว้ แต่ถ้าต้องขับทางไกลหรือขึ้นเขาให้ปิดชั่วคราว รุ่นปีต่างๆ ของ Mirage อาจมีวิธีการดำเนินงานต่างกันเล็กน้อย ถ้าหาปุ่มไม่เจอให้ดูในคู่มือหรือสอบถามตัวแทนจำหน่าย การใช้โหมดขับขี่ให้เหมาะสมไม่เพียงช่วยให้ขับขี่ในสภาพถนนหลากหลายของไทยได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยยืดอายุเครื่องยนต์และประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย
ดูเพิ่มเติม