Q
GLS ใหญ่กว่า X5 หรือไม่?
โดยปกติแล้ว Mercedes-Benz GLS จะมีขนาดใหญ่กว่า BMW X5 อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น รุ่น GLS 450 d 4MATIC AMG มีความยาว 5,215 มม. กว้าง 2,030 มม. สูง 1,823 มม. และมีระยะฐานล้อ 3,135 มม. ในขณะที่ BMW X5 โดยทั่วไปจะมีขนาดความยาว 5,060 มม. กว้าง 2,004 มม. สูง 1,776 มม. และระยะฐานล้อ 3,105 มม. จะเห็นได้ว่า GLS ใหญ่กว่า X5 ทุกด้าน ทั้งความยาว ความกว้าง ความสูง และระยะฐานล้อ ซึ่งส่งผลให้พื้นที่ภายในรถของ GLS กว้างขวางกว่า นอกจากนี้ การออกแบบ 7 ที่นั่งของ GLS ยังตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายกว่า ในขณะที่พื้นที่กระโปรงหลังก็มีความจุมากกว่าเมื่อเทียบกับ X5 ในชีวิตประจำวัน ทุกจุดนี้ชี้ให้เห็นว่า GLS มีความได้เปรียบทั้งในเรื่องขนาดตัวรถและการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ภายในเมื่อเทียบกับ X5
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto
Q&A เกี่ยวข้อง
Q
GLS เป็นน้ำมันเบนซินหรือดีเซล?
เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLS มีทั้งรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินและดีเซลให้เลือกตามความต้องการของผู้ขับขี่ ตัวอย่างเช่น รุ่น GLS 450 d 4MATIC AMG ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบดีเซล-ไฟฟ้า ด้วยเครื่องยนต์ความจุ 3.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ส่งกำลังสูงสุดถึง 367 แรงม้า ส่วนรุ่นอื่นๆอย่าง Gls450, Gls500, Gls550 และ Gls400 จะเป็นเครื่องเบนซิน เช่น Gls400 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.5T แบบอินไลน์ 6 สูบ
สำหรับลูกค้าที่กำลังตัดสินใจเลือกระหว่างรุ่นเบนซินและดีเซล สามารถเปรียบเทียบจุดเด่นของแต่ละประเภทได้ดังนี้: เครื่องยนต์เบนซินให้การตอบสนองที่รวดเร็วและทำงานเรียบเนียนกว่า ในขณะที่เครื่องดีเซลนั้นมีแรงบิดสูงและประหยัดน้ำมันกว่าชัดเจน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและการใช้งานของแต่ละคนครับ
Q
อายุการใช้งานของ Mercedes GLS คืออะไร?
สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลอย่าง Mercedes GLS ในทางทฤษฎีแล้วไม่มีอายุการใช้งานที่ตายตัว ตราบใดที่ยังผ่านการตรวจสอบประจำปีของสถานีตรวจสภาพรถในพื้นที่ได้ ก็สามารถใช้งานต่อไปได้เรื่อยๆ อายุการใช้งานจริงของรถจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการขับขี่ในชีวิตประจำวัน การดูแลรักษา และสภาพถนนที่ใช้งานเป็นประจำ ถ้าคนขับมีนิสัยการขับขี่ที่ดี เข้ารับการบำรุงรักษาอย่างมืออาชีพเป็นประจำ และใช้งานบนถนนสภาพปกติ ชิ้นส่วนต่างๆ ของรถก็จะอยู่ในสภาพดี Mercedes GLS ที่ใช้งานมานับสิบปีก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าขับรถแบบหักโหม ไม่ค่อยดูแลรักษา และใช้งานบนถนนสภาพเลวร้ายบ่อยๆ รถก็อาจจะเริ่มมีปัญหาบ่อยขึ้นและอายุการใช้งานสั้นลง ดังนั้น ถ้าอยากให้ Mercedes GLS ใช้งานได้นานๆ ต้องหมั่นดูแลรักษาและขับขี่อย่างถูกต้องนะครับ
Q
ราคาต่ำสุดของ Mercedes GLS คือเท่าไหร่?
ราคาของ Mercedes-Benz GLS แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกัน โดยข้อมูลปัจจุบันรุ่นที่ราคาถูกที่สุดคือ Mercedes-Benz GLS-Class 350 d 4MATIC AMG Premium ปี 2021 ราคา 6,880,000 บาท รุ่นนี้เป็นรถหรูระดับพรีเมียมแบบ 7 ที่นั่ง มีขนาดความยาว 5,207 มม. ความกว้าง 2,030 มม. และความสูง 1,823 มม. ระยะฐานล้อ 2,925 มม. ให้พื้นที่ภายในค่อนข้างกว้างขวาง ระบบเชื้อเพลิงเป็นแบบดีเซล พร้อมเทอร์โบชาร์จ เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้การส่งกำลังราบรื่น นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยและความสะดวกสบายพื้นฐานครบครัน เช่น ถุงลมนิรภัยคนขับ ถุงลมนิรภัยผู้โดยสาร เตือนเมื่อไม่คาดเข็มขัดนิรภัย อย่างไรก็ตาม ราคารถในตลาดมีความผันผวน แนะนำให้สอบถามราคาล่าสุดจากตัวแทนจำหน่ายก่อนตัดสินใจซื้อจะดีที่สุด
Q
Mercedes GLS เป็นรถที่ปลอดภัยหรือไม่?
เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLS เป็นรถที่โดดเด่นในเรื่องความปลอดภัย พร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสูงมากมาย เริ่มจากระบบเบรกอัตโนมัติและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่เป็นมาตรฐาน ระบบนี้จะคอยสแกนถนนข้างหน้าอยู่เสมอ และจะทำงานทันทีเมื่อตรวจพบความเสี่ยงที่จะเกิดการชน เพื่อช่วยลดความรุนแรงหรือป้องกันการชนได้ทันเวลา นอกจากนี้ยังมีระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ที่จะส่งสัญญาณเตือนผู้ขับเมื่อรถเริ่มเบี่ยงออกจากเลน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงระบบเตือนการชนด้านหน้าที่จะแจ้งเตือนผู้ขับล่วงหน้าเพื่อให้ระมัดระวังมากขึ้น
ด้านความปลอดภัยแบบ Passive ก็ไม่น้อยหน้า รถคันนี้ติดตั้งถุงลมนิรภัยครบครัน ทั้งถุงลมสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ถุงลมด้านข้างทั้งแถวหน้าและหลัง รวมถึงม่านถุงลมนิรภัยที่ปกป้องศีรษะผู้โดยสารทุกตำแหน่ง ตัวถังยังออกแบบมาให้แข็งแรงเป็นพิเศษเพื่อดูดซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น และระบบเตือนเมื่อไม่คาดเข็มขัดนิรภัยก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับทุกคนในรถ
ด้วยฟีเจอร์ความปลอดภัยครบวงจรแบบนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLS จึงเหมือนมีเกราะป้องกันที่มั่นใจได้ ช่วยให้ทุกการเดินทางปลอดภัยและอุ่นใจมากขึ้น
Q
Mercedes GLS มีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงหรือไม่?
รุ่นต่างๆ ของ Mercedes-Benz GLS จะมีประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิดที่แตกต่างกันออกไป สำหรับรุ่นปี 2024 อย่าง Mercedes-Benz GLS 450 d 4MATIC AMG ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนดีเซลผสมไฟฟ้า มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันตามมาตรฐานอยู่ที่ 9.0 ลิตร/100 กิโลเมตร ส่วนรุ่นปี 2021 อย่าง Mercedes-Benz GLS-Class 350 d 4MATIC AMG Premium ที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซลล้วน มีอัตราสิ้นเปลืองแบบผสมตามที่ผู้ผลิตระบุไว้ที่ 7.7 ลิตร/100 กิโลเมตร
แต่จริงๆ แล้วการกินน้ำมันของรถอาจขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การขับ ถนนหนทาง หรือน้ำหนักบรรทุก ถ้าคุณขับแบบเหยียบๆ หยุดๆ เร่งกระชาก หรือต้องเจอรถติดบ่อยๆ น้ำมันก็จะหมดเร็วเกินกว่าตัวเลขที่บริษัทบอกไว้ แต่ถ้าขับแบบเนียนๆ ทางเรียบ ไม่บรรทุกหนัก การใช้น้ำมันก็อาจจะใกล้เคียงกับค่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตระบุมา
Q
Mercedes GLS จะใช้งานได้นานเท่าไร
ถ้าเป็นรถส่วนตัวตามหลักการแล้ว Mercedes GLS จะไม่มีอายุการใช้งานที่ตายตัว ตราบใดที่ยังผ่านการตรวจสอบประจำปีของสถานีตรวจรถยนต์ในพื้นที่ ก็สามารถใช้งานต่อไปได้เรื่อยๆ ระยะเวลาการใช้งานจริงของรถจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการขับขี่ในชีวิตประจำวัน การดูแลรักษา และสภาพแวดล้อมในการขับขี่ เป็นต้น การขับขี่อย่างเหมาะสมและการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถได้ เช่น การเข้าศูนย์บริการตามกำหนดเวลา การใช้ชิ้นส่วนอะไหล่คุณภาพสูง และการหลีกเลี่ยงการขับรถแบบหักโหม ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้รถอยู่ในสภาพดีและใช้งานได้ยาวนาน ในทางกลับกัน หากขับขี่แบบไม่ระวังและขาดการบำรุงรักษา ก็อาจทำให้รถเกิดปัญหาต่างๆ และอายุการใช้งานจริงจะสั้นลง
Q
Mercedes GLS มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูงหรือไม่?
การบำรุงรักษารถ Mercedes-Benz GLS มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรถทั่วไป ค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันไปตามรุ่นรถ ระยะทางที่ขับ และรายการบำรุงรักษา โดยทั่วไปควรเข้าศูนย์ทุก 10,000 กิโลเมตรหรือ 12 เดือน ค่าบำรุงรักษาแรกจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาท สำหรับการบำรุงรักษาปกติ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองจะมีราคาประมาณ 1,000 บาท โดยน้ำมันเครื่องควรเปลี่ยนทุก 12,000 กิโลเมตรหรือทุก 8 เดือน ส่วนไส้กรองน้ำมันเครื่องก็เปลี่ยนตามระยะเดียวกัน ไส้กรองอากาศควรเปลี่ยนทุกปี ส่วนไส้กรองแอร์เปลี่ยนทุก 20,000 กิโลเมตร สำหรับน้ำมันเกียร์ ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาควรเปลี่ยนทุก 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ควรเปลี่ยนทุก 3 ปีหรือ 60,000 กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายรวมเมื่อครบ 60,000 กิโลเมตรหรือ 6 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 27,975 บาท หรือเฉลี่ยปีละ 4,663 บาท ส่วนการบำรุงรักษาใหญ่ที่ระยะ 60,000 กิโลเมตรจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 12,765 บาท เมื่อถึงระยะ 100,000 กิโลเมตร จะมีรายการบำรุงเพิ่มเติม เช่น การล้างระบบเชื้อเพลิง การเปลี่ยนใบปัดน้ำมันฝนหน้า เป็นต้น ทั้งนี้ราคาจริงอาจแตกต่างกันไปตามพื้นที่และศูนย์บริการ ดังนั้นแนะนำให้สอบถามราคาที่ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ใกล้บ้านคุณหรือตรวจสอบจากคู่มือการบำรุงรักษารถเพื่อความถูกต้อง
Q
ปีที่ดีที่สุดสำหรับ Mercedes GLS คือปีใด?
สำหรับบรรณาธิการด้านรถยนต์แล้ว คงตอบยากว่า Mercedes-Benz GLS ปีไหนดีที่สุด เพราะแต่ละรุ่นปีมีความโดดเด่นต่างกันไป อย่างรุ่นปี 2024 อย่าง Mercedes-Benz GLS 450 d 4MATIC AMG ราคา 6,980,000 บาท ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กม./ชม. เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.1 วินาทีตามข้อมูลทางการ ถือว่าแรงไม่เล่นเลย รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบพร้อมเทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 367 แรงม้า เหมาะกับคนที่ชอบขับแรงๆ ส่วนเรื่องความสะดวกสบายก็ไม่ต้องพูดถึง ด้วยขนาดตัวถังยาว 5,215 มม. กว้าง 2,030 มม. สูง 1,823 มม. ระยะฐานล้อ 3,135 มม. และจัดวางแบบ 7 ที่นั่ง ครอบครัวใหญ่ก็จุได้สบายๆ
ส่วนรุ่นปี 2021 อย่าง Mercedes-Benz GLS-Class 350 d 4MATIC AMG Premium ราคา 6,880,000 บาท ทำความเร็วสูงสุด 227 กม./ชม. เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7 วินาที แต่จุดเด่นคือประหยัดน้ำมันมาก ค่าบริโภคเพียง 7.7 ลิตร/100 กม. ถ้าใครมองหาความคุ้มค่าและประหยัดน้ำมัน รุ่นนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
ส่วนรุ่นปี 2020 ที่ราคา 8,859,000 บาท มีระยะฐานล้อ 3,075 มม. ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ถ้าถามว่ารุ่นไหนเด็ดที่สุด ก็ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ ถ้าอยากได้รถแรงๆ เทคโนโลยีอัพเดท เลือกรุ่น 2024 ได้เลย แต่ถ้าชอบความประหยัดและราคาดี รุ่น 2021 ก็ตอบโจทย์ไม่น้อยเหมือนกัน
Q
Mercedes GLS นั่งสบายหรือไม่?
เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLS นั่งสบายมากครับ เบาะนั่งทำจากหนังแท้คุณภาพสูง พร้อมระบบปรับไฟฟ้าหลายทิศทาง ระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และนวดอัตโนมัติ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งบนเครื่องบินชั้นหนึ่งเลยครับ โครงสร้างภายในมีเบาะ 3 แถว จุผู้ใหญ่ได้ถึง 7 คนสบายๆ แถวแรกและแถวสองกว้างขวาง ส่วนแถวสามเหมาะกับผู้ใหญ่ตัวเล็กหรือเด็กๆ และยังมีระบบปรับไฟฟ้าทั้งแถวสองและแถวสามให้เลือกปรับตามใจ
อีกทั้งยังมาพร้อมระบบปรับอากาศอัจฉริยะที่สามารถตั้งค่าโซนสภาพอากาศได้ถึง 5 โซน แต่ละคนสามารถปรับอุณหภูมิและลมได้ตามต้องการ แถมยังมีฟังก์ชันบันทึกการตั้งค่าสภาพอากาศแบบอัจฉริยะ ปรับเพียงครั้งเดียวก็ใช้ได้เลยครับ
ที่เด็ดกว่านั้นคือระบบช่วงล่างแอร์แมทอัจฉริยะ ที่ช่วยให้การขับขี่ลื่นไหลไม่ว่าจะขับบนทางหลวงหรือเส้นทางขรุขระ ก็ยังคงความมั่นคงและนุ่มนวลตลอดการเดินทางครับ
Q
GLS เป็น V6 หรือไม่?
ใช่แล้วครับ รุ่น GLS นั้นเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์แบบ V6 ครับ สำหรับ Mercedes-Benz GLS ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบที่จัดวางในรูปแบบ V6 ตัวอย่างเช่น รุ่น Mercedes-Benz GLS 450 d 4MATIC AMG จะใช้เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร มีความจุกระบอกสูบอยู่ที่ 2,989 ซีซี เครื่องยนต์ V6 นี้ถูกออกแบบมาให้มีความสมดุลระหว่างพลัง性能和ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง มันสามารถผลิตแรงม้าและแรงบิดได้ในระดับที่น่าพอใจ ทำให้รถสามารถเร่งความเร็วได้อย่างนุ่มนวลและขับเคลื่อนได้อย่างคล่องตัวในทุกสภาพถนน นอกจากนี้ การจัดวางแบบ V6 ยังช่วยให้การออกแบบห้องเครื่องมีความกะทัดรัดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการจัดวางองค์ประกอบต่างๆของรถและเพิ่มสมรรถนะโดยรวมครับ
Q&A ล่าสุด
Q
Ford Ranger มีขนาดเท่าไหร่ ใหญ่แค่ไหน
Ford Ranger เป็นกระบะยอดนิยมในตลาดไทย มาพร้อมมิติตัวรถยาว 5,370 มม. กว้าง 1,918 มม. สูง 1,880 มม. และระยะฐานล้อ 3,270 มม. ขนาดกระบะหลังอยู่ที่ 1,458×1,584×529 มม. พร้อมระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 237 มม. ทำให้ Ranger มีความคล่องตัวในเมือง และสมรรถนะลุยทางขรุขระได้ดี ขนาดโดยรวมเมื่อเทียบกับ Isuzu D-MAX (5,265×1,870×1,850 มม.) จะใหญ่กว่าเล็กน้อย และระยะฐานล้อยาวกว่า 145 มม. เหมาะกับภูมิประเทศหลากหลายในไทยและรองรับงานบรรทุกได้ดี ถังน้ำมันขนาด 80 ลิตร กับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 3.2 ลิตร ให้ระยะทางวิ่งไกลและแรงบิดสูง พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดและยางขนาด 265/65R17 ที่ช่วยเพิ่มการควบคุมการขับขี่ ขณะที่เมื่อเทียบกับ Ford F-150 Raptor (5,930×2,199×1,992 มม.) Ranger มีขนาดกะทัดรัดกว่าและเหมาะกับถนนแคบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่า อีกทั้งยังมาพร้อมเบาะหนังเทียมและไฟหน้า LED รวมฟังก์ชันใช้งานจริงอย่างสมดุลระหว่างการบรรทุก ลุย และความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร
Q
สีของ Ford Ranger มีอะไรบ้าง คุณชอบสีไหน
ในตลาดประเทศไทยตอนนี้ Ford Ranger มีตัวเลือกสีหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความชอบที่แตกต่างของผู้บริโภค เช่น สีขาว Arctic White, สีเทา Meteor Grey, สีน้ำเงิน Blue Lightning, สีดำ Absolute Black, สีแดง Race Red และสีเฉพาะรุ่น Wildtrak/Raptor อย่างสีส้มสดใส Orange กับสีเทา Conquer Grey ที่มีความโดดเด่น ส่วนตัวแนะนำสีเทา Meteor Grey เพราะให้ความรู้สึกเรียบหรู ดูพรีเมียม และทนต่อคราบสกปรกได้ดี เหมาะกับสภาพอากาศที่มีฝุ่นในไทยและการใช้งานทั่วไป หากชอบสไตล์สปอร์ต สีส้ม Wildtrak Orange ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ให้ความสดใสและโดดเด่นบนท้องถนน แน่นอนว่าการเลือกสีขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนตัวและการใช้งานจริง สีเข้มอย่างสีดำ Absolute Black ดูเป็นทางการและหรูหราแต่จะเห็นรอยขีดข่วนง่าย ขณะที่สีอ่อนอย่างขาว Arctic White จะทนความร้อนได้ดีและดูแลรักษาง่าย แนะนำให้ไปดูรถจริงที่โชว์รูมฟอร์ดในไทยเพื่อประเมินความชอบและคำนึงถึงต้นทุนการดูแลระยะยาวก่อนตัดสินใจซื้อจริงค่ะ
Q
ราคารถ Ford Ranger คือเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายเท่าไร
Ford Ranger ในตลาดไทยมีช่วงราคาประมาณ 749,000 ถึง 1,499,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและเครื่องยนต์ รุ่นพื้นฐานเป็นรุ่น 2.0L XL กระบะตอนเดียว เครื่องยนต์ดีเซล เกียร์ธรรมดา ราคาประมาณ 749,000 บาท เน้นความคุ้มค่า เหมาะสำหรับลูกค้าธุรกิจที่มีงบจำกัด รุ่นกลาง 2.0L XLT SuperCab เกียร์อัตโนมัติ ราคาอยู่ที่ประมาณ 999,000 บาท เพิ่มความสะดวกสบายด้วยพื้นที่โดยสารที่กว้างขึ้นและจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รุ่นท็อป 2.0L Wildtrak 4x4 เกียร์อัตโนมัติ ราคาสูงสุดราว 1,499,000 บาท มาพร้อมหลังคากระจก Panoramic จอใหญ่ 12 นิ้ว ระบบช่วยขับขั้นสูง และชุดแต่งออฟโรด เหมาะกับผู้ที่ต้องการทั้งความหรูหราและสมรรถนะ สำหรับรุ่นพิเศษอย่าง Raptor หรือรุ่นสีพิเศษ ราคาจะสูงขึ้นอีก แต่บางดีลเลอร์อาจมีโปรโมชันผ่อนชำระหรือส่วนลดเงินสด โดยเฉพาะช่วงปลายปีหรือตอนเปิดตัวรถรุ่นใหม่ หากงบจำกัด ยังสามารถเลือกซื้อรถมือสองจากศูนย์รับรองที่มีอายุ 2-3 ปี โดยราคาจะถูกกว่ารถใหม่ประมาณ 30-40% แต่ควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือเพื่อป้องกันปัญหาสภาพรถ นอกจากนี้ต้องเผื่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ประกันภัย ค่าจดทะเบียน และภาษี ซึ่งภาษีรถกระบะในไทยอยู่ที่ประมาณ 3% ของราคารถ รวมแล้วจะมีผลต่อราคาสุทธิที่ลูกค้าต้องจ่าย
Q
Ford Ranger Specs คืออะไร นี่คือรายละเอียด specifications เต็มรูปแบบ
Ford Ranger ในตลาดไทยมีรุ่นเครื่องยนต์และฟังก์ชันหลากหลาย รุ่นยอดนิยม เช่น 2.0L Wildtrak และ 2.0L XL มีรายละเอียดสำคัญดังนี้ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ กำลัง 180-213 แรงม้า ขึ้นกับการจูน กำลังแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด รุ่นเริ่มต้นมีเกียร์ธรรมดา 6 สปีดให้เลือก เหมาะกับภูมิประเทศและการบรรทุกของในไทย ตัวรถแบบแค็บคู่ ความยาว 5370 มิลลิเมตร ฐานล้อ 3270 มิลลิเมตร กระบะบรรจุของได้ประมาณ 1.5 ลูกบาศก์เมตร น้ำหนักบรรทุกสูงสุดประมาณ 1 ตัน รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อมีระบบแยกกำลังไฟฟ้า 4H/4L และล็อกดิฟเฟอเรนเชียล ออกแบบสำหรับการลุยภูเขาและเส้นทางโคลนในไทย รุ่น Wildtrak ระดับสูงติดตั้งจอสัมผัสกลาง 12 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย กล้อง 360 องศา ระบบครูซคอนโทรลปรับตามระยะ และระบบช่วยควบคุมรถในเลน รุ่นพื้นฐาน XL เน้นใช้งานจริง พร้อมแอร์ธรรมดาและจอ 8 นิ้ว ระบบความปลอดภัยครบทั้งถุงลม 7 จุด ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP และระบบช่วยลงทางลาดชัน แนะนำให้ผู้ใช้ Ford Ranger ในไทยเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรที่ขายดีในประเทศ เนื่องจากประหยัดน้ำมันประมาณ 10-12 กิโลเมตรต่อลิตร หากขับในเมืองบ่อยควรติดตามรุ่นปลั๊กอินไฮบริดที่จะออกมาในอนาคต ต้นทุนการบำรุงรักษาสูงกว่ารถกระบะญี่ปุ่นเล็กน้อย แต่มีศูนย์บริการครอบคลุมและอะไหล่พร้อม ใช้เวลาทดลองขับและเปรียบเทียบกับรถระดับเดียวกัน เช่น Toyota Hilux หรือ Isuzu D-MAX เพื่อเลือกสเปกที่เหมาะสมตามงบประมาณและความต้องการ
Q
ข้อเสียของ Toyota Veloz คืออะไร
Toyota Veloz ในฐานะ MPV ขนาดเล็กสำหรับครอบครัวในตลาดไทย มีจุดเด่นด้านความใช้งานจริงอย่างชัดเจน แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ แม้จะใช้เบาะ 2+3+2 แบบ 7 ที่นั่ง แต่ด้วยความยาวฐานล้อ 2750 มิลลิเมตรและความยาวตัวรถ 4475 มิลลิเมตร พื้นที่วางขาในแถวสามค่อนข้างจำกัด ผู้ใหญ่เมื่อนั่งเต็มจำนวนในระยะทางไกลอาจไม่สะดวกสบาย เหมาะกับการเดินทางระยะสั้นหรือเด็กนั่งมากกว่า ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร แบบดูดอากาศธรรมดา ให้กำลังสูงสุด 104 แรงม้า แรงบิด 136 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ในสภาพอากาศร้อนและเปิดแอร์พร้อมไต่เขา อาจพบว่ากำลังสำรองไม่เพียงพอ เกียร์ 4 สปีดรุ่นเก่าทำให้รอบเครื่องยนต์สูงขณะขับทางไกล ส่งผลต่อความประหยัดน้ำมันและเสียงรบกวนทั่วไป โดยทั่วไป MPV เครื่องยนต์เล็กมักมีข้อจำกัดระหว่างกำลังและพื้นที่ใช้งาน Veloz จึงเน้นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จุดแข็งคือเบาะ 7 ที่นั่งเป็นมาตรฐาน อัตราสิ้นเปลืองต่ำเพียง 6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และระบบบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้ของโตโยต้า เหมาะกับครอบครัวที่ใช้ในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพฯ หากต้องการกำลังแรงขึ้น แนะนำพิจารณารุ่นที่ใช้เทคโนโลยีไฮบริดซึ่งผสานความประหยัดน้ำมันกับการตอบสนองกำลังได้ดีกว่า
ดูเพิ่มเติมข่าวที่เกี่ยวข้อง

งานนิทรรศการรถยนต์กรุงเทพฯ: GLS 450 d 4MATIC AMG Dynamic มาในรูปแบบใหม่เปิดตัวในตลาด, ราคา 6980000 บาทไทย
Kevin WongMar 26, 2024

Benz-AMG CLS 53 4MATIC+ FINAL Editionข้อเสนอราคาพิเศษ 4,190,000 บาท
ธนวัฒน์Jul 2, 2025

Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ ลดราคา 1,890,000 บาท
สุรเดชJun 16, 2025

"Benz ประกาศเปิดตัวสีทาพลังงานแสงอาทิตย์ที่สามารถให้ระยะทางการเดินทางของรถยนต์ไฟฟ้าได้ 12000 กิโลเมตรต่อปี"
พงศธรApr 25, 2025

Mercedes - Benz กำลังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเริ่มต้นในตระกูล G-Class โดยจะใช้ชื่อว่า "g"
LienApr 15, 2025
ดูเพิ่มเติม
ข้อดี
ข้อเสีย