Q
Jaguar I-Pace เป็นรถไฟฟ้าหรือไฮบริด?
Jaguar I-PACE เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน ไม่ใช่รถยนต์ไฮบริด โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในและไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ตัวรถติดตั้งแบตเตอรี่ความจุ 90kWh ซึ่งสามารถจ่ายพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลัง การขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบช่วยมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบ ไร้แรงกระตุกจากการเปลี่ยนเกียร์ และให้การตอบสนองที่ฉับไว โดย I-PACE สามารถเร่งจาก 0–100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.8 วินาทีตามข้อมูลจากผู้ผลิต การชาร์จไฟฟ้าทำได้ผ่านแหล่งจ่ายไฟภายนอกและระบบเบรกแบบสร้างพลังงานกลับ โดยไม่ต้องเติมน้ำมันเหมือนรถไฮบริด ซึ่งใช้ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ทำงานร่วมกันหรือแยกกันตามสภาพการขับขี่ ดังนั้น Jaguar I-PACE จึงจัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนอย่างชัดเจน ไม่ใช่รถยนต์ไฮบริด
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto
Q&A เกี่ยวข้อง
Q
Jaguar I-PACE เป็นรถ hybrid หรือไม่?
Jaguar I-PACE ไม่ใช่รถยนต์ไฮบริด แต่เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน (BEV – Battery Electric Vehicle) โดยเฉพาะ รถยนต์ไฮบริดคือรถที่มีแหล่งพลังงานสองประเภท ได้แก่ เครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งทำงานแยกกันหรือร่วมกันในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ แต่ในกรณีของ Jaguar I-PACE นั้น ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 90kWh ในการจ่ายพลังงาน สามารถชาร์จไฟได้ทั้งจากแหล่งพลังงานภายนอกและระบบเบรกแบบสร้างพลังงานกลับ (Regenerative Braking) ทำให้รถปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ (Zero Emission) และแสดงถึงคุณสมบัติหลักของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างชัดเจน I-PACE มีอัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 4.8 วินาที ให้ประสบการณ์ขับขี่ที่เงียบและราบรื่นโดยไม่มีแรงสะดุดจากการเปลี่ยนเกียร์ ดังนั้นจากโครงสร้างระบบขับเคลื่อนและลักษณะการทำงานทั้งหมด สามารถยืนยันได้ว่า Jaguar I-PACE ไม่จัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริด
Q
ความแตกต่างระหว่าง Jaguar I-PACE และ E-PACE คืออะไร?
Jaguar I-PACE และ E-PACE มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในหลายด้าน ในด้านระบบขับเคลื่อน I-PACE เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ติดตั้งมอเตอร์แม่เหล็กถาวรแบบแกนร่วม 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 696 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ภายใน 4.8 วินาทีตามข้อมูลจากผู้ผลิต ขณะที่ E-PACE เป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน มีเครื่องยนต์ Ingenium ให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 1.5 ลิตรเทอร์โบ และ 2.0 ลิตรเทอร์โบ โดยรุ่นสูงสุดให้กำลัง 249 แรงม้า และแรงบิด 365 นิวตันเมตรที่รอบต่ำเพียง 1,300 รอบ/นาที ด้านการออกแบบตัวถัง I-PACE พัฒนาบนแพลตฟอร์มเฉพาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ได้การจัดวางที่มีระยะยื่นด้านหน้าสั้น ห้องโดยสารขยับไปด้านหน้า ส่งผลให้ภายในกว้างขวาง ขนาดตัวถังยาว 4,682 มม. กว้าง 2,011 มม. สูง 1,565 มม. และระยะฐานล้อ 2,990 มม. ในขณะที่ E-PACE เป็นรถ SUV ขนาดคอมแพ็คต์ มีมิติตัวถังที่เล็กกว่าอย่างชัดเจน ในด้านอุปกรณ์ภายใน I-PACE เน้นการใช้งานจริงด้วยระบบมัลติมีเดียแบบหน้าจอคู่ พร้อมปุ่มกดฟังก์ชันหลักแบบแยกเฉพาะ ส่วน E-PACE มาพร้อมคอนเซ็ปต์ห้องโดยสารแบบหุ้มรอบผู้ขับ ติดตั้งหน้าจอสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 11.4 นิ้ว และระบบอินโฟเทนเมนต์ใหม่ล่าสุด InControl OS 2.0
Q
ความแตกต่างระหว่าง I-PACE และ F-PACE คืออะไร?
I-PACE เป็นรถ SUV พลังงานไฟฟ้าขนาดกลางรุ่นแรกของ Jaguar ส่วน F-PACE เป็นรถ SUV พลังงานเชื้อเพลิงแบบสปอร์ตหรู ทั้งสองรุ่นมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านระบบขับเคลื่อนและการออกแบบ ในด้านสมรรถนะ I-PACE ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า–หลัง ให้กำลังสูงสุด 400 แรงม้า แรงบิด 696 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ภายใน 4.8 วินาที ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ขณะที่ F-PACE ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน มีให้เลือกทั้งแบบ 2.0 ลิตรเทอร์โบ และ 3.0 ลิตรเทอร์โบ รุ่นสมรรถนะสูงอย่าง F-PACE SVR รุ่นปรับกำลัง สามารถเร่งจาก 0–100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.0 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 286 กม./ชม. พร้อมเสียงท่อไอเสียที่เป็นเอกลักษณ์ ด้านการออกแบบ ถึงแม้จะมีอัตลักษณ์แบบเดียวกันในตระกูล Jaguar แต่ I-PACE มีรูปทรงตัวถังเตี้ยกว่า ลักษณะคล้ายแฮทช์แบ็กขนาดใหญ่ สะท้อนดีไซน์แนวอนาคตอย่างชัดเจน ส่วน F-PACE มีเส้นสายตัวถังที่ปราดเปรียว หน้ารถออกแบบอย่างมีพลังและประณีต พร้อมรักษาความเป็น SUV แบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ภายในห้องโดยสาร I-PACE เน้นการให้ประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีล้ำสมัย ขณะที่ F-PACE โดดเด่นด้วยความเรียบหรู วัสดุภายในใช้วัสดุนุ่มคุณภาพสูง พร้อมแผงตกแต่งลายไม้เพิ่มความพรีเมียมให้กับคอนโซลกลาง สรุปแล้ว I-PACE เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาประสบการณ์ขับขี่แบบไฟฟ้าทันสมัยและเน้นเทคโนโลยี ขณะที่ F-PACE เหมาะกับผู้ที่ต้องการความรู้สึกจากเครื่องยนต์เชื้อเพลิงและความหรูหราแบบดั้งเดิม
Q
Jaguar I-Pace ใช้ธรรมชาติไฟฟ้าหรือแก๊ส?
Jaguar I-PACE ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน จัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) โดยมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 90kWh ซึ่งการเลือกใช้พลังงานประเภทนี้มีข้อได้เปรียบหลายด้าน ในแง่สิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีการปล่อยไอเสียขณะขับขี่ ช่วยลดมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแนวโน้มการเดินทางแบบรักษ์โลกในปัจจุบัน ในด้านสมรรถนะ Jaguar I-PACE มีอัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 4.8 วินาที ให้แรงบิดทันใจ ตอบสนองรวดเร็ว และให้ความเร้าใจในการขับขี่อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ายังให้การขับขี่ที่เงียบและนุ่มนวล สร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่ผ่อนคลาย เหมาะทั้งสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวันและการขับขี่ระยะไกลอย่างสะดวกสบาย
Q
แจกัวร์ I-Pace สามารถวิ่งเร็วได้แค่ไหน?
Jaguar I-PACE มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถรุ่นนี้จัดอยู่ในกลุ่ม SUV ไฟฟ้าระดับหรูที่มาพร้อมสมรรถนะอันทรงพลัง ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถให้กำลังสูงสุดถึง 400 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 696 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0–100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาเพียง 4.8 วินาทีตามข้อมูลจากผู้ผลิต แม้น้ำหนักตัวรถค่อนข้างมาก แต่ด้วยจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำและระบบพวงมาลัยที่ตอบสนองไว ทำให้ I-PACE มีความคล่องตัวและควบคุมได้ดีขณะขับขี่ ความเร็วสูงสุดที่ 200 กม./ชม. ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งสามารถตอบโจทย์ผู้ขับที่ต้องการความเร็ว ทั้งในการขับขี่บนทางด่วนในเมืองหรือการเดินทางไกลบนทางหลวง พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยม
Q
Jaguar I-pace เป็นรถสปอร์ตหรือไม่?
เจ็กวา I-Pace ไม่สามารถถูกนิยามอย่างง่ายๆ ว่าเป็นรถสปอร์ตในความหมายแบบดั้งเดิม แต่ก็มีคุณสมบัติบางประการที่ใกล้เคียงกับรถสปอร์ต โดย I-PACE เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังตอบสนองฉับไว อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ภายใน 4.8 วินาที และความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม. การเร่งความเร็วให้แรงดึงหลังที่ชัดเจน คล้ายกับรถสปอร์ตในด้านสมรรถนะ รถรุ่นนี้มีการกระจายน้ำหนักหน้า–หลังในอัตรา 50:50 และจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทำให้มีความได้เปรียบด้านการควบคุม โดยเฉพาะในการเข้าโค้งและการบังคับเลี้ยวที่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ในเชิงขนาดและการจัดประเภทตัวถัง I-PACE อยู่ในกลุ่มรถระดับ D-Segment มีขนาดความยาว 4,682 มม. กว้าง 2,011 มม. และสูง 1,565 มม. ซึ่งมอบทั้งความสะดวกสบายในการใช้งานและความสามารถในการขับขี่บนถนนทั่วไป แตกต่างจากรถสปอร์ตที่เน้นน้ำหนักเบาและสมรรถนะสูงสุดเพียงอย่างเดียว ดังนั้น Jaguar I-PACE จึงสามารถมองได้ว่าเป็นรถยนต์ที่ผสานสมรรถนะในแบบรถสปอร์ตเข้ากับความอเนกประสงค์ในการใช้งานจริงได้อย่างลงตัว
Q
Jaguar I-pace มีการชาร์จแบบเร็วหรือไม่?
Jaguar I-PACE รองรับการชาร์จแบบเร็ว (DC Fast Charging) โดยสามารถรองรับกำลังชาร์จสูงสุดได้ถึง 100 กิโลวัตต์ ที่สถานีชาร์จเร็ว ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม รถสามารถชาร์จจาก 20% ถึง 80% ได้ภายในประมาณ 35 นาที นอกจากนี้ หลังจากอัปเดตซอฟต์แวร์แล้ว กำลังชาร์จสูงสุดจะเพิ่มขึ้นเป็น 105 กิโลวัตต์ โดยช่วงชาร์จที่รวดเร็วที่สุดอยู่ระหว่าง 10% ถึง 40% ซึ่งในช่วงนี้กำลังชาร์จจะเกิน 100 กิโลวัตต์ เมื่อใช้การชาร์จแบบเร็วด้วยกระแสตรง (DC) ที่กำลังไฟ 100 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่สามารถชาร์จจาก 0% ถึง 80% ได้ภายในเวลาประมาณ 40 นาที และการชาร์จเพียง 15 นาที สามารถเพิ่มระยะทางวิ่งได้ประมาณ 100 กิโลเมตร คุณสมบัติการชาร์จเร็วนี้ช่วยลดเวลารอคอยในการชาร์จได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในชีวิตประจำวันหรือขับขี่ระยะไกล ก็สามารถตอบโจทย์ได้ดี ลดค่าใช้จ่ายด้านเวลาในการชาร์จ
Q
I-Pace เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อหรือไม่?
ใช่ครับ I-PACE เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบ AWD ขั้นสูง เป็นรถยนต์มอเตอร์คู่ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าแยกที่เพลาหน้าและเพลาหลัง มอเตอร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีกำลังสูงสุด 147 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 348 นิวตันเมตร ซึ่งให้พลังขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยมและการควบคุมที่แม่นยำ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อช่วยให้ I-PACE กระจายแรงขับได้ดีขึ้นในสภาพถนนที่หลากหลาย เช่น พื้นถนนลื่นหรือเส้นทางแบบออฟโรดเบา ๆ ส่งผลให้รถมีเสถียรภาพในการขับขี่และสมรรถนะในการผ่านอุปสรรคดีขึ้น ตัวรถมีขนาดความยาว 4,682 มิลลิเมตร กว้าง 2,011 มิลลิเมตร สูง 1,565 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 2,990 มิลลิเมตร ซึ่งให้พื้นที่ภายในที่กว้างขวางและสะดวกสบาย โดยรวมแล้ว I-PACE แสดงถึงความสมดุลทั้งในด้านสมรรถนะและการใช้งานจริงได้อย่างดี
Q
แบตเตอรี่ Jaguar I-Pace ใช้งานได้นานเท่าไหร่
Jaguar I-PACE มีสมรรถนะด้านระยะทางที่โดดเด่น โดยภายใต้มาตรฐานการทดสอบ NEDC สามารถวิ่งได้ไกลถึง 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หากประเมินตามมาตรฐาน WLTP ระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 470 กิโลเมตร เมื่อต่อกับเครื่องชาร์จเร็วกระแสตรง (DC) กำลังไฟ 100 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ถึง 80% ภายในเวลา 40 นาที หากใช้กล่องชาร์จติดผนังที่บ้าน จะใช้เวลาประมาณ 9.1 ชั่วโมงในการชาร์จถึง 80% แบตเตอรี่ของรถถูกออกแบบแบบแยกโมดูล พร้อมระบบจัดการแบตเตอรี่ที่ทำหน้าที่เหมือน “สมอง” คอยตรวจสอบพารามิเตอร์ของแบตเตอรี่แบบเรียลไทม์ และควบคุมกระบวนการชาร์จ–คายประจุอย่างแม่นยำ เพื่อให้แบตเตอรี่ทำงานในสภาวะที่เหมาะสมที่สุดและช่วยยืดอายุการใช้งาน นอกจากนี้ Jaguar ยังรับประกันแบตเตอรี่ของ I-PACE เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน
Q
จากัวร์ I-Pace ต้องการบริการบำรุงรักษาบ่อยเพียงใด?
Jaguar I-PACE ในฐานะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มีรอบการบำรุงรักษาที่แตกต่างจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปแบบดั้งเดิม โดยทั่วไป รถยนต์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนทางกลที่เคลื่อนไหวน้อยกว่า ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือทำการบำรุงรักษาหลายรายการเช่นรถน้ำมัน โดยปกติแล้ว I-PACE ควรเข้ารับการตรวจเช็กเบื้องต้นทุก ๆ 12 เดือน หรือทุก 20,000 – 30,000 กิโลเมตร แล้วแต่ว่าระยะใดถึงก่อน รายการตรวจสอบหลักได้แก่ การตรวจสภาพยาง ดูอัตราการสึกหรอ และตรวจสอบแรงดันลมยาง ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่และระยะทางวิ่ง การตรวจสอบระบบเบรก เพื่อให้แน่ใจว่ายังมีประสิทธิภาพที่ดี และการตรวจสอบสถานะของแบตเตอรี่ แม้ I-PACE จะใช้แบตเตอรี่ขนาด 90kWh ซึ่งมีอายุการใช้งานที่มั่นคงภายใต้การใช้งานปกติ แต่การตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำจะช่วยให้สามารถพบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นอกจากนี้ ทุก 2 – 3 ปี อาจจำเป็นต้องเข้ารับการบำรุงรักษาในระดับลึกมากขึ้น เช่น การตรวจสอบระบบไฟฟ้า ระบบช่วงล่าง และระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เพื่อรักษาสภาพการทำงานของรถให้อยู่ในระดับที่ดีที่สุด ทั้งนี้ คำแนะนำในการบำรุงรักษาที่เหมาะสมควรอ้างอิงตามคู่มือผู้ใช้ของตัวรถ และคำแนะนำจากศูนย์บริการหรือผู้จำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ
Q&A ล่าสุด
Q
ข้อเสียของ Honda Jazz คืออะไร
Honda Jazz ในฐานะรถยนต์แฮทช์แบ็กขนาดกะทัดรัดที่ได้รับความนิยมในตลาดไทยนั้น จุดด้อยหลัก ๆ อยู่ที่พื้นที่ภายในและสมรรถนะของเครื่องยนต์ แม้ว่า Jazz จะมีการออกแบบที่โดดเด่นด้วยฟังก์ชัน Magic Seat แต่ในสภาพอากาศร้อนของไทย พื้นที่ขาเบาะหลังอาจรู้สึกคับแคบสำหรับผู้โดยสารที่สูงโดยเฉพาะเมื่อเดินทางไกล นอกจากนี้ เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร แบบดูดอากาศธรรมชาติ เมื่อใช้งานในเส้นทางภูเขาหรือเมื่อต้องบรรทุกเต็มที่ การเร่งความเร็วอาจรู้สึกไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเวลาที่เปิดแอร์เต็มกำลังจะเห็นการลดทอนของพละกำลังและอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องการเก็บเสียงเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง เสียงลมและเสียงยางจะค่อนข้างเด่น ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคที่เน้นความเงียบสงบรู้สึกไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านี้เป็นเรื่องที่พิจารณาในบริบทของการจัดวางตำแหน่งรถยนต์รุ่นนี้ โดยเมื่อพิจารณาถึงความคล่องตัวในการขับขี่ในเมืองและความประหยัดน้ำมัน รวมถึงสภาพการจราจรที่หนาแน่นในไทย Jazz ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานในเมือง ผู้บริโภคในไทยสามารถชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียตามความต้องการส่วนตัว หากต้องการรถที่เหมาะกับการเดินทางแบบครอบครัวหรือสมรรถนะที่แรงขึ้น อาจพิจารณารถรุ่นอื่นในระดับเดียวกันเป็นทางเลือกเพิ่มเติมได้
Q
Honda Jazz อยู่ในกลุ่มตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก
Honda Jazz ในตลาดรถยนต์ของประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่ม B-Segment หรือที่เรียกว่ารถยนต์ขนาดเล็ก (Subcompact Car) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เน้นการใช้งานในเมืองและครอบครัวในชีวิตประจำวัน โดยมีจุดเด่นที่ขนาดตัวถังกะทัดรัด ประหยัดน้ำมัน และออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้อย่างลงตัว Honda Jazz มีฟังก์ชัน Magic Seat ที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายในการจัดเก็บสัมภาระ เหมาะอย่างยิ่งกับการขับขี่ในเมืองใหญ่ที่การจราจรหนาแน่น เช่น กรุงเทพฯ ขณะที่เครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังขับเคลื่อนที่นุ่มนวลและเหมาะสมกับสภาพถนนของไทย กลุ่ม B-Segment ในไทยยังมีคู่แข่งที่ได้รับความนิยมอย่าง Toyota Yaris และ Mazda2 ซึ่งเน้นความประหยัดและใช้งานได้จริง ผู้บริโภคจึงมักเลือกตามความชอบในแบรนด์ ฟีเจอร์ และบริการหลังการขาย ความต้องการรถยนต์ขนาดเล็กในไทยยังคงสูงเนื่องจากราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ต้นทุนการบำรุงรักษาต่ำ และเหมาะกับถนนที่ค่อนข้างแคบ Honda Jazz จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมในกลุ่มนี้ด้วยความน่าเชื่อถือและอัตราการเก็บมูลค่าที่ดี
Q
มูลค่าการขายต่อของ Honda Jazz คืออะไร
ในตลาดประเทศไทย Honda Jazz ถือเป็นรถมือสองที่มีอัตราการคงมูลค่อนข้างดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือคุณภาพที่เชื่อถือได้ ความประหยัดน้ำมัน และภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ Honda ในประเทศไทย จากข้อมูลในอุตสาหกรรมพบว่า Jazz ที่มีอายุไม่เกิน 3 ปีมักมีอัตราการคงมูลอยู่ที่ประมาณ 60% - 70% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพรถ ระดับอุปกรณ์ และประวัติการบำรุงรักษา สำหรับประเทศไทยซึ่งมีถนนในเมืองที่แออัดและราคาน้ำมันสูง รถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานอย่าง Jazz จึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการที่ Honda มีฐานการผลิตในประเทศ ทำให้ชิ้นส่วนอะไหล่หาได้ง่ายและค่าบำรุงรักษาไม่สูง จึงช่วยเพิ่มมูลค่าของรถมือสองได้อีกทาง หนึ่งในแนวโน้มสำคัญคือ Jazz รุ่นไฮบริดเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในไทย ซึ่งมักมีมูลค่าขายต่อสูงกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซินแบบธรรมดา แนะนำให้เจ้าของรถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการอย่างสม่ำเสมอและเก็บเอกสารประวัติการบำรุงรักษาไว้ให้ครบถ้วน เพราะสามารถช่วยเพิ่มราคาขายต่อได้ นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยมักนิยมรถสีโทนกลางอย่างสีขาวหรือสีเงิน ซึ่งขายต่อได้ง่ายกว่า หากต้องการทราบราคาประเมินที่แม่นยำมากขึ้น ควรอ้างอิงจากคู่มือราคารถมือสองของสมาคมรถยนต์ในประเทศไทย หรือปรึกษากับตัวแทนจำหน่ายรถมือสองที่เชื่อถือได้ในพื้นที่
Q
ฮอนด้า แจ๊ส มีกี่ซีซี
Honda Jazz ที่วางจำหน่ายในตลาดประเทศไทยส่วนใหญ่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินแบบดูดอากาศธรรมดาขนาด 1.5 ลิตร มีปริมาตรกระบอกสูบ 1497 ซีซี โดยเครื่องยนต์รุ่นนี้ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพสูงและความประหยัดน้ำมัน เหมาะกับสภาพการจราจรในเมืองที่มีการหยุด-เคลื่อนบ่อยครั้งในประเทศไทย อีกทั้งยังจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่ช่วยให้การขับขี่ลื่นไหลยิ่งขึ้น Jazz ถือเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่คุ้มค่าและได้รับความนิยมอย่างมากในไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการรถสำหรับใช้งานในครอบครัวหรือเดินทางในเมือง จุดเด่นของรุ่นนี้อยู่ที่ขนาดตัวรถที่คล่องตัวแต่ภายในกว้างขวาง นอกจากนี้ผู้บริโภคยังควรพิจารณาเทคโนโลยีเครื่องยนต์เพิ่มเติม เช่น ระบบ i-VTEC ของ Honda ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการส่งกำลังและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ทั้งนี้มาตรฐานมลพิษในไทย เช่น Euro 5 ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผู้ซื้อควรตรวจสอบ รวมถึงต้นทุนการใช้งานในระยะยาว ซึ่งมีผลต่อประสบการณ์การขับขี่และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถยนต์
Q
เครื่องยนต์ใน Honda Jazz คืออะไร
Honda Jazz ในตลาดประเทศไทยส่วนใหญ่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร i-VTEC แบบดูดอากาศธรรมดา มาพร้อมเทคโนโลยี VTEC อันเป็นเอกลักษณ์ของ Honda ให้กำลังสูงสุดประมาณ 120 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มนวลและประหยัดน้ำมัน เหมาะอย่างยิ่งกับการขับขี่ในสภาพการจราจรติดขัดของกรุงเทพฯ รุ่น RS ที่วางจำหน่ายในไทยยังได้รับการจูนให้ตอบสนองเร็วขึ้นแต่ยังคงประหยัดน้ำมันที่ประมาณ 5.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร สำหรับสภาพอากาศร้อนในไทย เครื่องยนต์รุ่นนี้มาพร้อมระบบระบายความร้อนที่ได้รับการปรับปรุงโดยเฉพาะ และระบบปรับอากาศที่ปรับให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมเขตร้อน ช่วยให้การขับขี่ในระยะทางไกลมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น จุดเด่นอีกอย่างคือห้องเครื่องของ Jazz ออกแบบให้กะทัดรัดเพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร ตอบโจทย์ผู้ใช้ชาวไทยที่ให้ความสำคัญกับความกว้างขวางภายในรถ ซึ่งสะท้อนแนวคิด MM หรือ “Man-Maximum, Machine-Minimum” ของ Honda ได้อย่างชัดเจน แม้ว่าในอนาคตอาจมีการแนะนำรุ่น e:HEV ไฮบริดตามนโยบายส่งเสริมรถพลังงานสะอาดของรัฐบาลไทย แต่ในปัจจุบัน รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ยังคงเป็นทางเลือกหลักที่ได้รับความนิยมสูง ด้วยความทนทานและค่าบำรุงรักษาต่ำ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทางในเมือง
ดูเพิ่มเติมข่าวที่เกี่ยวข้อง

Jaguar Type 00 คอนเซปต์การ์ ที่น่าตื่นตาตื่นใจสู่โลก! ปรัชญาการออกแบบ "Copy Nothing"!
Kevin WongDec 4, 2024

Jaguar อย่างใหม่ LOGO ปรากฏตัว หรือใช้สำหรับ 2 ธันวาคม ปล่อยรถรุ่นใหม่!
Kevin WongNov 20, 2024

JAGUAR รถยนต์ไฟฟ้าแบบใหม่เต็มรูปแบบปรากฏก่อนเป้าหมาย Porsche และ Maserati
สุรเดชNov 18, 2024

วิกฤตห่วงโซ่อุปทาน! การผลิต Jaguar Land Rover อาจได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนอลูมิเนียม
AshleyAug 7, 2024
ข้อดี
ข้อเสีย