Q

Ford Everest 2007 ดีไหม

ฟอร์ด Everest รุ่นปี 2007 ในตลาดไทยเป็น SUV ที่เหมาะสำหรับทั้งครอบครัวและการใช้งานออฟโรด ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.5L หรือ 3.0L ที่ให้กำลังดีเยี่ยม เหมาะกับสภาพพื้นที่ภูเขาและการขับขี่ระยะยาวในไทย ประหยัดน้ำมันพอสมควร ค่าบำรุงรักษาก็ไม่แพงอะไรมาก อะไหล่ก็หาง่ายในตลาดไทย ภายในรถกว้างขวาง โดยเฉพาะตอนหลังและกระโปรงท้าย ที่เหมาะสำหรับการเดินทางกับครอบครัวหรือขนของ ตัวรถสูงหน่อย ก็ช่วยให้ขับผ่านบางพื้นที่ที่ถนนไม่ค่อยดีในไทยได้สบายๆ แต่ต้องระวังหน่อยว่ารถรุ่นนี้เก่าแล้ว ถ้าจะซื้อมือสองควรตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เกียร์ และช่วงล่างให้ดี แนะนำให้ตรวจสภาพกับช่างมืออาชีพก่อนซื้อ สำหรับคนไทยที่งบไม่มากแต่ต้องการ SUV ที่ใช้งานได้จริงและทนทาน ฟอร์ด Everest 2007 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าเทียบกับรถใหม่แล้วมันจะขาดความปลอดภัยและฟีเจอร์เทคโนโลยีบางอย่างไปหน่อย เช่น ไม่มี ESP หรือกล้องถอยหลังเหมือนรถสมัยใหม่ ส่วนในสภาพอากาศร้อนๆ แบบไทย แนะนำให้ตรวจแอร์และพวกยางต่างๆ ให้ดี เพราะพวกนี้อาจมีผลต่อการใช้งานในระยะยาว
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
วิธีการเปิดฝากระโปรง Ford Everest
การเปิดฝากระโปรงหน้ารถ Ford Everest นั้นง่ายมากครับ ขั้นแรกให้มั่นใจว่ารถอยู่ในสภาวะดับเครื่องและจอดบนพื้นเรียบ จากนั้นให้มองหาแถบดึงปลดล็อกฝากระโปรงที่บริเวณเท้าคนขับด้านซ้าย มักจะอยู่ใต้พวงมาลัยด้านซ้ายหรือด้านข้างแผงหน้าปัด ค่อยๆ ดึงแถบนี้จะได้ยินเสียงฝากระโปรงหลุดออก แล้วเดินไปที่หน้าตัวรถ จะพบสลักนิรภัยอยู่ตรงกลางใต้ฝากระโปรง ให้ใช้นิ้วดันสลักขึ้นด้านบนพร้อมกับยกฝากระโปรง ถ้ารู้สึกหนักเกินไปสามารถใช้ค้ำยันช่วยได้ ในสภาพอากาศร้อนของไทยแนะนำให้ตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็นและน้ำมันเครื่องเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนเดินทางไกล ภายในห้องเครื่องของ Everest นั้นจัดวางอย่างเป็นระบบ ช่วยให้เจ้าของรถตรวจเช็คพื้นฐานได้สะดวก แต่ถ้าพบเสียงผิดปกติหรือมีรอยรั่วของน้ำมันเครื่อง แนะนำให้รีบติดต่อศูนย์บริการฟอร์ดประเทศไทยเพื่อตรวจเช็คอย่างมืออาชีพ จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจลุกลามในสภาพอากาศร้อน แถมช่วงฤดูฝนของไทยต้องระวังเรื่องใบไม้และเศษขยะในห้องเครื่องด้วย ควรทำความสะอาดและตรวจสอบท่อระบายน้ำให้โล่งอยู่เสมอ การดูแลรายละเอียดเล็กน้อยแบบนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานรถได้
Q
ยาว Ford Everest เท่าไหร่
รถ Ford Everest มีความยาวตัวรถประมาณ 4914 มิลลิเมตร เป็น SUV ขนาดกลางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดไทย โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวหรือการขับขี่ออฟโรด ด้วยพื้นที่ภายในที่กว้างขวางและสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง ทำให้ตอบโจทย์สภาพถนนที่หลากหลายของไทยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมืองหรือเส้นทางลูกรังในชนบท ก็ขับเคลื่อนได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ Everest ยังมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยอันทันสมัย เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและระบบเตือนจุดบอด ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่บนท้องถนนที่ค่อนข้างวุ่นวายของไทย ส่วนระยะช่วงล่างที่สูงและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ก็ทำให้การขับขี่ในฤดูฝนหรือเส้นทางที่ไม่ใช่ถนนลาดยางเป็นเรื่องง่าย เหมาะสมกับสภาพอากาศและภูมิประเทศที่หลากหลายของไทยเป็นพิเศษ ถ้าสนใจรถ Everest แนะนำให้ไปทดลองขับที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน เพื่อสัมผัสความสบายและสมรรถนะการขับขี่ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์เฉพาะสำหรับตลาดไทย เช่น ระบบปรับอากาศที่ออกแบบมาสำหรับภูมิอากาศแบบร้อน หรือแผนบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์คนไทยโดยเฉพาะ
Q
Ford Everest 2022 มีสีอะไรบ้าง
Ford Everest รุ่นปี 2022 ในตลาดไทยมีตัวเลือกสีสันที่หลากหลายและทันสมัยมาให้เลือกกัน ไม่ว่าจะเป็น Meteor Grey (สีเทาอุกกาบาต) ที่ดูคลาสสิกและหรูหรา Aluminium Metallic (สีอะลูมิเนียมเมทัลลิก) ที่ให้ความรู้สึกโมเดิร์น Equinox Bronze (สีบรอนซ์อิควิน็อกซ์) ที่มีความพิเศษเฉพาะตัว Absolute Black (สีดำสนิท) ที่เรียบหรูและเข้ากับทุกสไตล์ Snow Flake White Pearl (สีขาวไข่มุก) ที่ดูสะอาดตาและหรูหรา หรือจะเป็น Luxe Yellow (สีเหลือง Luxury) ที่โดดเด่นสะดุดตา สีเหล่านี้ไม่เพียงตอบโจทย์ความชอบของลูกค้าแต่ละคน แต่ยังเหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย โดยเฉพาะสีเมทัลลิกและสีไข่มุกที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศและรังสียูวีเป็นพิเศษ ในประเทศไทยการเลือกสีรถนอกจากจะขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวแล้ว ยังต้องคำนึงถึงเรื่องมูลค่าการขายต่อและความสะดวกในการดูแลรักษาด้วย เช่น สีอ่อนในเขตร้อนจะดูแลง่ายกว่าและความร้อนภายในรถน้อยกว่าสีเข้มที่ต้องดูแลทำความสะอาดบ่อยกว่า Ford Everest ในฐานะ SUV เอนกประสงค์ การออกแบบสียังคำนึงถึงความทันสมัยสำหรับการขับขี่ในเมืองและความ практиงาตสำหรับการใช้งานกลางแจ้ง แนะนำให้ลูกค้าเลือกสีรถตามลักษณะการใช้งานและความสะดวกในการดูแลรักษา พร้อมทั้งควรทำการเคลือบแว็กซ์หรือเคลือบสีเป็นประจำเพื่อรักษาความสวยงามของสีรถให้ทนทานยิ่งขึ้น
Q
วิธีสตาร์ทฟอร์ด Everest ด้วยกุญแจ
การสตาร์ทรถ Ford Everest ด้วยกุญแจนั้นทำได้ง่ายมาก ขั้นแรกให้แน่ใจว่ารถอยู่ในตำแหน่งจอด (เกียร์ P) จากนั้นนำกุญแจสอดเข้าไปในช่องกุญแจด้านขวาของพวงมาลัย แล้วหมุนตามเข็มนาฬิกาไปที่ตำแหน่ง "ON" หน้าปัดจะสว่างขึ้นและทำการตรวจสอบระบบเอง จากนั้นหมุนกุญแจต่อไปยังตำแหน่ง "START" เมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้วก็ปล่อยกุญแจได้เลย ในสภาพอากาศร้อนของไทยแนะนำให้รอสักครู่หลังสตาร์ทเพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลเวียนเต็มที่ก่อนออกรถ จะช่วยถนอมเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น ถ้าพบปัญหาสตาร์ทไม่ติด อาจเป็นเพราะแบตเตอรี่หมดหรือชิปในกุญแจมีปัญหา ลองตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่หรือใช้กุญแจสำรองดู ระบบกุญแจอัจฉริยะของ Ford Everest ในสภาพแวดล้อมชื้นของไทยควรระวังเรื่องน้ำโดนกุญแจ เพราะอาจทำให้ส่งสัญญาณไม่ดี เวลาซ่อมบำรุงทั่วไปควรตรวจสอบระบบสตาร์ทและสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่ารถพร้อมสตาร์ทได้ทุกเวลาโดยเฉพาะเมื่อขับบนเส้นทางภูเขาในไทย ถ้าไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานาน อาจถอดขั้วลบของแบตเตอรี่ออกเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่
Q
รถ Ford Everest ติดเครื่องยนต์อะไร
Ford Everest ในตลาดไทยมาพร้อมกับเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง 2 แบบหลักๆ คือเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร EcoBlue เทอร์โบคู่ และเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร EcoBoost เทอร์โบ โดยรุ่นดีเซลให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายในไทย ส่วนรุ่นเบนซินให้กำลัง 281 แรงม้า สำหรับคนชอบความแรงในการเร่ง ทั้งสองรุ่นผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อมของไทย นอกจากนี้ Everest ยังติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและโหมดขับขี่หลายรูปแบบ ช่วยให้ขับผ่านทั้งถนนลื่นช่วงฝนตกหรือทางเขาชันได้สบายๆ SUV แบบนี้กำลังฮิตในไทยเพราะใช้งานได้ทั้งในเมืองและทริปครอบครัว รุ่นคู่แข่งอย่าง Toyota Fortuner และ Mitsubishi Pajero Sport ก็ใช้แนวคิดเครื่องยนต์คล้ายๆ กัน ลูกค้าเลือกได้ตามความชอบว่าจะเอารุ่นดีเซลที่เงียบหรือเบนซินที่แรงกว่า
Q
วิธีการเปิดถังน้ำมัน Ford Everest
การเปิดฝาถังน้ำมันของ Ford Everest ทำได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนของไทยที่ต้องระวังเรื่องรายละเอียดการใช้งาน ขั้นแรกให้ตรวจสอบว่าตัวรถอยู่ในสถานะปลดล็อกแล้ว จากนั้นกดที่ขอบด้านขวาของฝาถังน้ำมันเพื่อเปิดออก สำหรับรุ่นท็อปบางรุ่นยังมีฟังก์ชันเปิดแบบไม่ต้องสัมผัส แค่ถือกุญแจเข้าใกล้บริเวณฝาถังน้ำมันแล้วกดเบาๆ ที่ขอบฝา ระบบจะปลดล็อกให้อัตโนมัติ ซึ่งการออกแบบนี้สะดวกมากในช่วงฤดูฝนหรือเวลาที่มือทั้งสองถือของ ข้อควรระวังในไทยที่ปั๊มส่วนใหญ่เป็นระบบบริการตนเอง แนะนำให้ดับเครื่องยนต์แล้วรอสัก 30 วินาทีก่อนเปิดฝาถังน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันกระเด็นออกเนื่องจากความดันที่เหลืออยู่ในระบบ ในเวลาเดียวกันพอร์ตถังน้ำมันของ Everest ใช้การออกแบบป้องกันข้อผิดพลาดบวกได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดบวกดีเซล ซึ่งมีประโยชน์มากในไทยที่ปั๊มส่วนใหญ่มีทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล แนะนำให้ตรวจสอบสภาพยางซีลของฝาถังน้ำมันเป็นประจำ โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยที่อาจทำให้ยางแข็งตัวและเกิดการรั่วของไอน้ำมัน ซึ่งทั้งส่งผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันและอาจเป็นอันตรายได้ ถ้าพบว่าฝาเปิดปิดไม่ลื่นไหล ให้ทาวาสลีนเล็กน้อยที่บริเวณบานพับเพื่อช่วยหล่อลื่น
Q
Ford Everest มีที่นั่งกี่ที่
Ford Everest เป็น SUV ขนาดกลาง-ใหญ่ที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย มีให้เลือกทั้งแบบ 7 ที่นั่งและ 5 ที่นั่ง โดยรุ่น 7 ที่นั่งจะมีการจัดวางแบบ 2+3+2 แถวที่นั่งสองสามารถเลื่อนไปมาได้และพับเก็บได้ในสัดส่วน 60:40 ส่วนแถวสามเหมาะสำหรับนั่งระยะสั้นหรือเด็กๆ การออกแบบพื้นที่ภายในที่ยืดหยุ่นแบบนี้ตอบโจทย์ครอบครัวไทยที่ชอบออกทริปสุดสัปดาห์หรือต้องเดินทางพร้อมผู้โดยสารหลายคน ที่สำคัญถึงแม้จะใช้งานแบบ 7 ที่นั่งเต็มความจุ กระโปรงหลังของ Everest ยังสามารถบรรจุกระเป๋าเล็กๆ ได้ และหากพับแถวที่นั่งสามลงทั้งหมดก็จะได้พื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดไทยระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกอย่างช่องลมแอร์และพอร์ต USB สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง โดยรุ่นท็อปยังมีระบบควบคุมแอร์แยกสำหรับแถวหลังเพื่อตอบสนองสภาพอากาศร้อนของไทย ซึ่งการออกแบบรายละเอียดเหล่านี้แสดงถึงความเข้าใจในความต้องการของผู้ใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างลึกซึ้ง สำหรับผู้บริโภคไทยที่มักต้องเดินทางพร้อมผู้โดยสารเกิน 5 คนขึ้นไป Everest รุ่น 7 ที่นั่งนับเป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้จริงมากกว่า
Q
Ford Everest 2022 จะเปิดตัวเมื่อไหร่
รถยนต์ Ford Everest รุ่นปี 2022 เปิดตัวในตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 โดย SUV ระดับกลางรุ่นนี้มาพร้อมกับตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล V6 เทอร์โบชาร์จ 3.0 ลิตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 2 แบบคือ 4WD และ RWD เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ในตลาดไทย Everest ได้รับความสนใจอย่างมากจากสมรรถนะออฟโรดที่ยอดเยี่ยมและพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง โดยเฉพาะความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่หลากหลายของไทยและความต้องการใช้งานสำหรับครอบครัว รุ่นใหม่นี้ยังได้รับการอัปเกรดระบบสารสนเทศความบันเทิง SYNC 4 พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 12 นิ้ว และเพิ่มฟังก์ชันช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่างๆ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่มากขึ้น โดยในตลาดไทย Ford Everest มีคู่แข่งสำคัญอย่าง Toyota Fortuner และ Isuzu MU-X แต่ด้วยพลังขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งและอุปกรณ์ครบครัน ทำให้ Everest ยังคงมีความสามารถในการแข่งขันสูงในตลาด SUV ระดับกลาง สำหรับผู้บริโภคไทย รถรุ่นนี้ไม่เพียงเหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง แต่ยังสามารถตอบโจทย์การเดินทางบนถนนชนบทหรือท่องเที่ยวระยะไกลได้เป็นอย่างดี ถือเป็นตัวเลือก SUV ที่ใช้งานได้จริงและคุ้มค่าอย่างแท้จริง
Q
Ford Everest ผลิตที่ไหน
รถ Ford Everest ในปัจจุบันมีการผลิตในหลายประเทศ รวมถึงไทย จีน อินเดีย และเวียดนาม สำหรับตลาดไทยนั้น Everest ส่วนใหญ่ผลิตมาจากโรงงานฟอร์ดที่จังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของฟอร์ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงงานแห่งนี้ใช้มาตรฐานการผลิตระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รถ Everest ที่ผลิตในไทยนอกจากจะจัดจำหน่ายในประเทศแล้ว ยังส่งออกไปยังตลาดใกล้เคียงอีกด้วย รุ่นนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมในไทย เพราะตอบโจทย์ทั้งการขับเคลื่อนออฟโรดและความประหยัดพื้นที่สำหรับครอบครัว เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายแบบของไทย Everest เวอร์ชั่นไทยมักติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0L และมีตัวเลือกการจัดสรรค์หลายแบบ รวมทั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน ผู้บริโภคไทยยังได้ประโยชน์จากเครือข่ายบริการหลังการขายที่มีประจำท้องถิ่น ทั้งการบำรุงรักษาตามระยะและอะไหล่พร้อมจำหน่าย นอกจากนี้ ไทยเป็นตลาดรถพวงมาลัยขวา Everest จึงถูกออกแบบให้เหมาะสมกับตลาดนี้โดยเฉพาะ เช่น ตำแหน่งพวงมาลัยและการตั้งค่าแสงสว่าง สิ่งที่น่าสนใจคือนโยบายภาษีของรัฐบาลไทยสำหรับรถกระบะและ SUV ที่มีผลต่อราคาและการวางตำแหน่งตลาดของ Everest ในไทยด้วย
Q
ความแตกต่างระหว่าง Ford Everest Trend และ Titanium
สำหรับตลาดไทย ฟอร์ด Everest รุ่น Trend และ Titanium มีความแตกต่างหลักในเรื่องของอุปกรณ์และความหรูหรา โดยรุ่น Trend เป็นเวอร์ชันเริ่มต้นแต่จัดเต็มมาด้วยอุปกรณ์พื้นฐานที่ครบครัน เช่น ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว จอทัชสกรีน 8 นิ้ว กล้องถอยหลัง แอร์ออโต้ ขณะที่รุ่น Titanium จะอัพเกรดขึ้นไปอีกด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว หลังคาพานอรามา ระบบเสียง B&O 10 ลำโพง ประตูท้ายไฟฟ้า หนังหุ้มเบาะ และระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ Ford Co-Pilot360 เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเทคโนโลยีและความสบายระดับพรีเมียม ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร และเกียร์ออโต้ 10 สปีดเหมือนกัน ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เท่ากัน แต่ในสภาพอากาศร้อนของไทย ฟีเจอร์ระบายอากาศบนเบาะหน้าของรุ่น Titanium ถือเป็นจุดเด่นที่ใช้งานได้จริง ทั้งคู่ได้รับการปรับเซตติ้งช่วงล่างให้เหมาะกับถนนไทย โดยมีความสูงช่วงล่าง 225 มม. พร้อมรับมือกับเส้นทางลูกรังในบางพื้นที่ ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการ โดยรุ่น Trend ให้ความคุ้มค่า ส่วนรุ่น Titanium นั้นตอบโจทย์ประสบการณ์การขับขี่ระดับหรูอย่างครบวงจร

ข้อดี

เครื่องยนต์ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบเทวิน 2.0 มีกำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาด PPV
พื้นที่ภายในรถที่มีประโยชน์จัดเป็น 7 ที่นั่ง 3 แถว ที่นั่งแถวที่สามสามารถพับลงอย่างถูกต้องด้วยกลไกไฟฟ้า
ติดตั้งอุปกรณ์ให้ครบครันเช่นประตูหลังไฟฟ้า กุญแจอัจฉริยะและระบบเริ่มต้นด้วยกดปุ่มเดียว ระบบควบคุมด้วยเสียง
การออกแบบภายนอกที่สวยงาม ติดตั้งล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้วสำหรับแบบที่ราคาสูงสุด กระจังหน้าและแถบป้องกันด้านหลังใหม่ การส่องสว่าง LED ทั้งรถ
บริการหลังการขายมีชื่อเสียงบ้าง

ข้อเสีย

10 เกียร์อัตโนมัติประสบปัญหาในการใช้งาน เช่น การเปลี่ยนเกียร์ขัดข้อง ฟอร์ดกำลังแก้ไข
การปรับปรุงรุ่นรถช้า ห่างจากการปรับปรุงครั้งล่าสุดเกือบ 2 ปี
บริการหลังการขายได้รับความคิดเห็นลบบนอินเทอร์เน็ต ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้ซื้อ

Q&A ล่าสุด

Q
Honda เป็นรถยนต์ราคาประหยัดหรือไม่?
ในตลาดไทย Honda มีไลน์อัพผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมหลายเซ็กเมนต์ตั้งแต่รถประหยัดราคาจนถึงระดับกลางและพรีเมียม ดังนั้นการจะบอกว่าเป็น "รถประหยัด" หรือไม่ต้องวิเคราะห์เป็นรุ่นๆไป รุ่นเริ่มต้นอย่าง Honda Brio และHonda City ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายประมาณ 5-8 แสนบาท ประหยัดน้ำมัน (เช่นรุ่นซิตี้ไฮบริดที่กินน้ำมันแค่ 3.5ลิตร/100กม.) และความได้เปรียบด้านต้นทุนจากการผลิตในประเทศ จัดว่าเหมาะกับความต้องการของคนไทยที่มองหาราคาประหยัด โดยเฉพาะครอบครัวที่ใช้รถในกรุงเทพฯที่การจราจรติดขัด แต่ Honda ก็มีรุ่นพรีเมียมอย่าง CR-V และแอคคอร์ดที่ราคาเกิน 1.5 ล้านบาท ซึ่งให้ฟีเจอร์ที่ดีกว่าในเรื่องวัสดุกันเสียงและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ (เช่น Honda SENSING) ที่น่าสนใจคือคนไทยควรพิจารณาความเข้ากันได้กับน้ำมัน E20 (เช่นเครื่องยนต์ 1.5ลิตรใน Jazz ที่ออกแบบมาสำหรับเชื้อเพลิงชีวภาพโดยเฉพาะ) และสภาพถนนที่น้ำท่วมบ่อย (แนะนำให้เลือกรุ่นอย่าง HR-V ที่มีความสูงช่วงล่าง 160มม.ขึ้นไป) ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าฮอนด้าให้ความสำคัญกับตลาดไทย แนะนำว่าก่อนซื้อควรไปทดลองขับที่โชว์รูมในกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่เพื่อสัมผัสสมรรถนะจริง
Q
"รถ Honda Civic Hatchback ปี 2021 มีมูลค่าเท่าไหร่?"
ราคาขายต่อของ Honda Civic Hatchback รุ่นปี 2021 ในตลาดมือสองประเทศไทยจะมีความแตกต่างกันไปตามสภาพรถ ระยะไมล์ อุปกรณ์และพื้นที่ โดยทั่วไปราคาอยู่ที่ประมาณ 700,000 ถึง 900,000 บาท ถ้าจะเจาะลึกหน่อย รุ่นที่ระยะไมล์ต่ำ (เช่นไม่เกิน 20,000 กิโลเมตร) และดูแลมาอย่างดีพร้อมอุปกรณ์สูงสุดอาจพุ่งไปถึง 900,000 บาท ส่วนรถที่ระยะไมล์สูงหรือเป็นรุ่นพื้นฐานก็จะถูกลง สำหรับในไทยแล้ว Civic เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่เพราะความน่าเชื่อถือ ประหยัดน้ำมันและการออกแบบสปอร์ต โดยเฉพาะรุ่น Hatchback ที่ตอบโจทย์ทั้งความประหยัดและความสนุกในการขับขี่ ควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและตรวจสอบประวัติรถให้ชัดเจน ทั้งประวัติการซ่อมและการบริการตามระยะ เพราะ Civic เป็นรถที่ครองราคาได้ดีในตลาดมือสอง แถมรถญี่ปุ่นในไทยยังมีอัตราคงราคาสูงอยู่แล้ว ถ้าอยากประหยัดกว่านี้ก็อาจมองรถยี่ห้ออื่นในปีเดียวกัน แต่ต้องระวังเรื่องศูนย์บริการและอะไหล่ในระยะยาวด้วย
Q
2021 Honda มีความน่าเชื่อถือหรือไม่?
รถ Honda รุ่นปี 2021 ในตลาดไทยแสดงความน่าเชื่อถือได้ค่อนข้างดี ทั้งนี้เพราะแบรนด์ Honda มีชื่อเสียงเรื่องความทนทานและการออกแบบที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น โดยเฉพาะระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่านการปรับแต่งให้ทำงานเสถียรในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงและความชื้นมาก เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนตลอดปีของไทย นอกจากนี้เครือข่ายบริการหลังการขายของ Honda ในไทยยังครอบคลุมทั่วประเทศและมีอะไหล่พร้อมสต็อก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการบำรุงรักษาระยะยาว หากพูดถึงรุ่นยอดนิยมอย่าง Honda City และ Honda HR-V ปี 2021 จากรายงานของผู้บริโภคไทยพบว่ามีอัตราการเสียหายค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะเกียร์ CVT ที่ผ่านการพัฒนาหลายครั้งจนมีความนุ่มลื่นและทนทานมากขึ้น ที่น่าสนใจคือรถ Honda ที่ผลิตในไทยยังคงได้มาตรฐานการประกอบระดับโลกและมีการเสริมความแข็งแรงให้ระบบช่วงล่างเพื่อรองรับสภาพถนนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับคนที่กำลังมองหารถมือสอง แนะนำให้เลือกรถมือสองรับประกันจาก Honda โดยตรงซึ่งผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดและมีประกันยาวนานกว่า ทำให้มั่นใจในความน่าเชื่อถือได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การบริการรักษาตามระยะเป็นสิ่งสำคัญมากในการรักษาประสิทธิภาพของรถยนต์ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนของไทยที่ควรตรวจสอบระบบเบรกและป้องกันความชื้นในระบบไฟฟ้าเป็นพิเศษ
Q
ราคาแบตเตอรี่สำหรับ Honda Civic ปี 2021 อยู่ที่เท่าไหร่?
สำหรับรถ Honda Civic รุ่นปี 2021 ในตลาดไทย ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่จะอยู่ที่ประมาณ 3,500-6,500 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทและยี่ห้อของแบตเตอรี่ แบตเตอรี่แท้จากศูนย์มักจะราคาสูงกว่า ในขณะที่แบตเตอรี่จากแบรนด์อื่นอย่าง Boliden หรือ GS Yuasa จะคุ้มค่ากว่า สภาพอากาศร้อนของไทยส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ค่อนข้างมาก แนะนำให้ตรวจสอบแบตเตอรี่ทุก 2-3 ปี เมื่อเลือกซื้อควรดูค่า CCA (กระแสสตาร์ทเครื่องในสภาพอากาศเย็น) ด้วย โดยในเขตเมืองร้อนควรเลือกแบตเตอรี่ที่มีค่า CCA อย่างน้อย 500 ขึ้นไป ในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่จะมีร้านจำหน่ายแบตเตอรี่รถยนต์มืออาชีพหลายแห่งที่บริการติดตั้งฟรี บางร้านยังรับซื้อคืนแบตเตอรี่เก่าเพื่อลดราคาให้ด้วย ในชีวิตประจำวันควรหลีกเลี่ยงการเปิดใช้เครื่องไฟฟ้าขณะดับเครื่องยนต์เป็นเวลานาน เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ ก่อนเข้าฤดูฝนควรตรวจสอบแบตเตอรี่อย่างละเอียด ศูนย์บริการรถยนต์ส่วนใหญ่ในไทยก็มีบริการตรวจสอบและเปลี่ยนแบตเตอรี่ แต่ราคามักจะสูงกว่าร้านนอกประมาณ 20%-30%
Q
รถ Honda Civic ปี 2021 จะใช้งานได้นานแค่ไหน?
รถ Honda Civic รุ่นปี 2021 ในตลาดไทยทั่วไปสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 150,000-200,000 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของเจ้าของรถและสภาพการขับขี่ สภาพอากาศที่ร้อนชื้นของไทยทำให้ต้องดูแลรถเป็นพิเศษ แนะนำให้เปลี่ยนน้ำหล่อเย็นและไส้กรองแอร์เป็นประจำเพื่อป้องกันความร้อนทำลายเครื่องยนต์และระบบแอร์ นอกจากนี้บางพื้นที่ในไทยถนนสภาพไม่ดี ต้องตรวจสอบช่วงล่างและระบบกันสะเทือนบ่อยๆ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตรงเวลา (แนะนำทุก 6 เดือนหรือ 10,000 กิโลเมตร) และใช้อะไหล่แท้จะช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ได้มาก สำหรับคนไทยควรเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะกับอากาศร้อน (เช่น 5W-30 หรือ 10W-30) ส่วนเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5L ของซีวิคที่ต้องสตาร์ท-หยุดบ่อยในเมืองไทย แนะนำให้เข้าศูนย์บ่อยกว่าปกติเพื่อรักษาสภาพเครื่องให้ดีที่สุด ถ้าดูแลดี รถคันนี้ใช้งานในไทยเกิน 10 ปีแน่นอน ทั้งความทนทานและมูลค่าขายต่อในตลาดไทยก็อยู่ในระดับดีเลยทีเดียว
ดูเพิ่มเติม