Q

ความแตกต่างระหว่าง Ford Everest Trend และ Titanium

สำหรับตลาดไทย ฟอร์ด Everest รุ่น Trend และ Titanium มีความแตกต่างหลักในเรื่องของอุปกรณ์และความหรูหรา โดยรุ่น Trend เป็นเวอร์ชันเริ่มต้นแต่จัดเต็มมาด้วยอุปกรณ์พื้นฐานที่ครบครัน เช่น ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว จอทัชสกรีน 8 นิ้ว กล้องถอยหลัง แอร์ออโต้ ขณะที่รุ่น Titanium จะอัพเกรดขึ้นไปอีกด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว หลังคาพานอรามา ระบบเสียง B&O 10 ลำโพง ประตูท้ายไฟฟ้า หนังหุ้มเบาะ และระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ Ford Co-Pilot360 เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเทคโนโลยีและความสบายระดับพรีเมียม ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร และเกียร์ออโต้ 10 สปีดเหมือนกัน ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เท่ากัน แต่ในสภาพอากาศร้อนของไทย ฟีเจอร์ระบายอากาศบนเบาะหน้าของรุ่น Titanium ถือเป็นจุดเด่นที่ใช้งานได้จริง ทั้งคู่ได้รับการปรับเซตติ้งช่วงล่างให้เหมาะกับถนนไทย โดยมีความสูงช่วงล่าง 225 มม. พร้อมรับมือกับเส้นทางลูกรังในบางพื้นที่ ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการ โดยรุ่น Trend ให้ความคุ้มค่า ส่วนรุ่น Titanium นั้นตอบโจทย์ประสบการณ์การขับขี่ระดับหรูอย่างครบวงจร
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
วิธีการเปิดฝากระโปรง Ford Everest
การเปิดฝากระโปรงหน้ารถ Ford Everest นั้นง่ายมากครับ ขั้นแรกให้มั่นใจว่ารถอยู่ในสภาวะดับเครื่องและจอดบนพื้นเรียบ จากนั้นให้มองหาแถบดึงปลดล็อกฝากระโปรงที่บริเวณเท้าคนขับด้านซ้าย มักจะอยู่ใต้พวงมาลัยด้านซ้ายหรือด้านข้างแผงหน้าปัด ค่อยๆ ดึงแถบนี้จะได้ยินเสียงฝากระโปรงหลุดออก แล้วเดินไปที่หน้าตัวรถ จะพบสลักนิรภัยอยู่ตรงกลางใต้ฝากระโปรง ให้ใช้นิ้วดันสลักขึ้นด้านบนพร้อมกับยกฝากระโปรง ถ้ารู้สึกหนักเกินไปสามารถใช้ค้ำยันช่วยได้ ในสภาพอากาศร้อนของไทยแนะนำให้ตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็นและน้ำมันเครื่องเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนเดินทางไกล ภายในห้องเครื่องของ Everest นั้นจัดวางอย่างเป็นระบบ ช่วยให้เจ้าของรถตรวจเช็คพื้นฐานได้สะดวก แต่ถ้าพบเสียงผิดปกติหรือมีรอยรั่วของน้ำมันเครื่อง แนะนำให้รีบติดต่อศูนย์บริการฟอร์ดประเทศไทยเพื่อตรวจเช็คอย่างมืออาชีพ จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจลุกลามในสภาพอากาศร้อน แถมช่วงฤดูฝนของไทยต้องระวังเรื่องใบไม้และเศษขยะในห้องเครื่องด้วย ควรทำความสะอาดและตรวจสอบท่อระบายน้ำให้โล่งอยู่เสมอ การดูแลรายละเอียดเล็กน้อยแบบนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานรถได้
Q
ยาว Ford Everest เท่าไหร่
รถ Ford Everest มีความยาวตัวรถประมาณ 4914 มิลลิเมตร เป็น SUV ขนาดกลางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดไทย โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวหรือการขับขี่ออฟโรด ด้วยพื้นที่ภายในที่กว้างขวางและสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง ทำให้ตอบโจทย์สภาพถนนที่หลากหลายของไทยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมืองหรือเส้นทางลูกรังในชนบท ก็ขับเคลื่อนได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ Everest ยังมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยอันทันสมัย เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและระบบเตือนจุดบอด ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่บนท้องถนนที่ค่อนข้างวุ่นวายของไทย ส่วนระยะช่วงล่างที่สูงและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ก็ทำให้การขับขี่ในฤดูฝนหรือเส้นทางที่ไม่ใช่ถนนลาดยางเป็นเรื่องง่าย เหมาะสมกับสภาพอากาศและภูมิประเทศที่หลากหลายของไทยเป็นพิเศษ ถ้าสนใจรถ Everest แนะนำให้ไปทดลองขับที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน เพื่อสัมผัสความสบายและสมรรถนะการขับขี่ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์เฉพาะสำหรับตลาดไทย เช่น ระบบปรับอากาศที่ออกแบบมาสำหรับภูมิอากาศแบบร้อน หรือแผนบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์คนไทยโดยเฉพาะ
Q
Ford Everest 2022 มีสีอะไรบ้าง
Ford Everest รุ่นปี 2022 ในตลาดไทยมีตัวเลือกสีสันที่หลากหลายและทันสมัยมาให้เลือกกัน ไม่ว่าจะเป็น Meteor Grey (สีเทาอุกกาบาต) ที่ดูคลาสสิกและหรูหรา Aluminium Metallic (สีอะลูมิเนียมเมทัลลิก) ที่ให้ความรู้สึกโมเดิร์น Equinox Bronze (สีบรอนซ์อิควิน็อกซ์) ที่มีความพิเศษเฉพาะตัว Absolute Black (สีดำสนิท) ที่เรียบหรูและเข้ากับทุกสไตล์ Snow Flake White Pearl (สีขาวไข่มุก) ที่ดูสะอาดตาและหรูหรา หรือจะเป็น Luxe Yellow (สีเหลือง Luxury) ที่โดดเด่นสะดุดตา สีเหล่านี้ไม่เพียงตอบโจทย์ความชอบของลูกค้าแต่ละคน แต่ยังเหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย โดยเฉพาะสีเมทัลลิกและสีไข่มุกที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศและรังสียูวีเป็นพิเศษ ในประเทศไทยการเลือกสีรถนอกจากจะขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวแล้ว ยังต้องคำนึงถึงเรื่องมูลค่าการขายต่อและความสะดวกในการดูแลรักษาด้วย เช่น สีอ่อนในเขตร้อนจะดูแลง่ายกว่าและความร้อนภายในรถน้อยกว่าสีเข้มที่ต้องดูแลทำความสะอาดบ่อยกว่า Ford Everest ในฐานะ SUV เอนกประสงค์ การออกแบบสียังคำนึงถึงความทันสมัยสำหรับการขับขี่ในเมืองและความ практиงาตสำหรับการใช้งานกลางแจ้ง แนะนำให้ลูกค้าเลือกสีรถตามลักษณะการใช้งานและความสะดวกในการดูแลรักษา พร้อมทั้งควรทำการเคลือบแว็กซ์หรือเคลือบสีเป็นประจำเพื่อรักษาความสวยงามของสีรถให้ทนทานยิ่งขึ้น
Q
วิธีสตาร์ทฟอร์ด Everest ด้วยกุญแจ
การสตาร์ทรถ Ford Everest ด้วยกุญแจนั้นทำได้ง่ายมาก ขั้นแรกให้แน่ใจว่ารถอยู่ในตำแหน่งจอด (เกียร์ P) จากนั้นนำกุญแจสอดเข้าไปในช่องกุญแจด้านขวาของพวงมาลัย แล้วหมุนตามเข็มนาฬิกาไปที่ตำแหน่ง "ON" หน้าปัดจะสว่างขึ้นและทำการตรวจสอบระบบเอง จากนั้นหมุนกุญแจต่อไปยังตำแหน่ง "START" เมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้วก็ปล่อยกุญแจได้เลย ในสภาพอากาศร้อนของไทยแนะนำให้รอสักครู่หลังสตาร์ทเพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลเวียนเต็มที่ก่อนออกรถ จะช่วยถนอมเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น ถ้าพบปัญหาสตาร์ทไม่ติด อาจเป็นเพราะแบตเตอรี่หมดหรือชิปในกุญแจมีปัญหา ลองตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่หรือใช้กุญแจสำรองดู ระบบกุญแจอัจฉริยะของ Ford Everest ในสภาพแวดล้อมชื้นของไทยควรระวังเรื่องน้ำโดนกุญแจ เพราะอาจทำให้ส่งสัญญาณไม่ดี เวลาซ่อมบำรุงทั่วไปควรตรวจสอบระบบสตาร์ทและสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่ารถพร้อมสตาร์ทได้ทุกเวลาโดยเฉพาะเมื่อขับบนเส้นทางภูเขาในไทย ถ้าไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานาน อาจถอดขั้วลบของแบตเตอรี่ออกเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่
Q
รถ Ford Everest ติดเครื่องยนต์อะไร
Ford Everest ในตลาดไทยมาพร้อมกับเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง 2 แบบหลักๆ คือเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร EcoBlue เทอร์โบคู่ และเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร EcoBoost เทอร์โบ โดยรุ่นดีเซลให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายในไทย ส่วนรุ่นเบนซินให้กำลัง 281 แรงม้า สำหรับคนชอบความแรงในการเร่ง ทั้งสองรุ่นผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อมของไทย นอกจากนี้ Everest ยังติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและโหมดขับขี่หลายรูปแบบ ช่วยให้ขับผ่านทั้งถนนลื่นช่วงฝนตกหรือทางเขาชันได้สบายๆ SUV แบบนี้กำลังฮิตในไทยเพราะใช้งานได้ทั้งในเมืองและทริปครอบครัว รุ่นคู่แข่งอย่าง Toyota Fortuner และ Mitsubishi Pajero Sport ก็ใช้แนวคิดเครื่องยนต์คล้ายๆ กัน ลูกค้าเลือกได้ตามความชอบว่าจะเอารุ่นดีเซลที่เงียบหรือเบนซินที่แรงกว่า
Q
วิธีการเปิดถังน้ำมัน Ford Everest
การเปิดฝาถังน้ำมันของ Ford Everest ทำได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนของไทยที่ต้องระวังเรื่องรายละเอียดการใช้งาน ขั้นแรกให้ตรวจสอบว่าตัวรถอยู่ในสถานะปลดล็อกแล้ว จากนั้นกดที่ขอบด้านขวาของฝาถังน้ำมันเพื่อเปิดออก สำหรับรุ่นท็อปบางรุ่นยังมีฟังก์ชันเปิดแบบไม่ต้องสัมผัส แค่ถือกุญแจเข้าใกล้บริเวณฝาถังน้ำมันแล้วกดเบาๆ ที่ขอบฝา ระบบจะปลดล็อกให้อัตโนมัติ ซึ่งการออกแบบนี้สะดวกมากในช่วงฤดูฝนหรือเวลาที่มือทั้งสองถือของ ข้อควรระวังในไทยที่ปั๊มส่วนใหญ่เป็นระบบบริการตนเอง แนะนำให้ดับเครื่องยนต์แล้วรอสัก 30 วินาทีก่อนเปิดฝาถังน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันกระเด็นออกเนื่องจากความดันที่เหลืออยู่ในระบบ ในเวลาเดียวกันพอร์ตถังน้ำมันของ Everest ใช้การออกแบบป้องกันข้อผิดพลาดบวกได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดบวกดีเซล ซึ่งมีประโยชน์มากในไทยที่ปั๊มส่วนใหญ่มีทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล แนะนำให้ตรวจสอบสภาพยางซีลของฝาถังน้ำมันเป็นประจำ โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยที่อาจทำให้ยางแข็งตัวและเกิดการรั่วของไอน้ำมัน ซึ่งทั้งส่งผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันและอาจเป็นอันตรายได้ ถ้าพบว่าฝาเปิดปิดไม่ลื่นไหล ให้ทาวาสลีนเล็กน้อยที่บริเวณบานพับเพื่อช่วยหล่อลื่น
Q
Ford Everest มีที่นั่งกี่ที่
Ford Everest เป็น SUV ขนาดกลาง-ใหญ่ที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย มีให้เลือกทั้งแบบ 7 ที่นั่งและ 5 ที่นั่ง โดยรุ่น 7 ที่นั่งจะมีการจัดวางแบบ 2+3+2 แถวที่นั่งสองสามารถเลื่อนไปมาได้และพับเก็บได้ในสัดส่วน 60:40 ส่วนแถวสามเหมาะสำหรับนั่งระยะสั้นหรือเด็กๆ การออกแบบพื้นที่ภายในที่ยืดหยุ่นแบบนี้ตอบโจทย์ครอบครัวไทยที่ชอบออกทริปสุดสัปดาห์หรือต้องเดินทางพร้อมผู้โดยสารหลายคน ที่สำคัญถึงแม้จะใช้งานแบบ 7 ที่นั่งเต็มความจุ กระโปรงหลังของ Everest ยังสามารถบรรจุกระเป๋าเล็กๆ ได้ และหากพับแถวที่นั่งสามลงทั้งหมดก็จะได้พื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดไทยระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกอย่างช่องลมแอร์และพอร์ต USB สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง โดยรุ่นท็อปยังมีระบบควบคุมแอร์แยกสำหรับแถวหลังเพื่อตอบสนองสภาพอากาศร้อนของไทย ซึ่งการออกแบบรายละเอียดเหล่านี้แสดงถึงความเข้าใจในความต้องการของผู้ใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างลึกซึ้ง สำหรับผู้บริโภคไทยที่มักต้องเดินทางพร้อมผู้โดยสารเกิน 5 คนขึ้นไป Everest รุ่น 7 ที่นั่งนับเป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้จริงมากกว่า
Q
Ford Everest 2022 จะเปิดตัวเมื่อไหร่
รถยนต์ Ford Everest รุ่นปี 2022 เปิดตัวในตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 โดย SUV ระดับกลางรุ่นนี้มาพร้อมกับตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล V6 เทอร์โบชาร์จ 3.0 ลิตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 2 แบบคือ 4WD และ RWD เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ในตลาดไทย Everest ได้รับความสนใจอย่างมากจากสมรรถนะออฟโรดที่ยอดเยี่ยมและพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง โดยเฉพาะความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่หลากหลายของไทยและความต้องการใช้งานสำหรับครอบครัว รุ่นใหม่นี้ยังได้รับการอัปเกรดระบบสารสนเทศความบันเทิง SYNC 4 พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 12 นิ้ว และเพิ่มฟังก์ชันช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่างๆ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่มากขึ้น โดยในตลาดไทย Ford Everest มีคู่แข่งสำคัญอย่าง Toyota Fortuner และ Isuzu MU-X แต่ด้วยพลังขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งและอุปกรณ์ครบครัน ทำให้ Everest ยังคงมีความสามารถในการแข่งขันสูงในตลาด SUV ระดับกลาง สำหรับผู้บริโภคไทย รถรุ่นนี้ไม่เพียงเหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง แต่ยังสามารถตอบโจทย์การเดินทางบนถนนชนบทหรือท่องเที่ยวระยะไกลได้เป็นอย่างดี ถือเป็นตัวเลือก SUV ที่ใช้งานได้จริงและคุ้มค่าอย่างแท้จริง
Q
Ford Everest ผลิตที่ไหน
รถ Ford Everest ในปัจจุบันมีการผลิตในหลายประเทศ รวมถึงไทย จีน อินเดีย และเวียดนาม สำหรับตลาดไทยนั้น Everest ส่วนใหญ่ผลิตมาจากโรงงานฟอร์ดที่จังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของฟอร์ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงงานแห่งนี้ใช้มาตรฐานการผลิตระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รถ Everest ที่ผลิตในไทยนอกจากจะจัดจำหน่ายในประเทศแล้ว ยังส่งออกไปยังตลาดใกล้เคียงอีกด้วย รุ่นนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมในไทย เพราะตอบโจทย์ทั้งการขับเคลื่อนออฟโรดและความประหยัดพื้นที่สำหรับครอบครัว เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายแบบของไทย Everest เวอร์ชั่นไทยมักติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0L และมีตัวเลือกการจัดสรรค์หลายแบบ รวมทั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน ผู้บริโภคไทยยังได้ประโยชน์จากเครือข่ายบริการหลังการขายที่มีประจำท้องถิ่น ทั้งการบำรุงรักษาตามระยะและอะไหล่พร้อมจำหน่าย นอกจากนี้ ไทยเป็นตลาดรถพวงมาลัยขวา Everest จึงถูกออกแบบให้เหมาะสมกับตลาดนี้โดยเฉพาะ เช่น ตำแหน่งพวงมาลัยและการตั้งค่าแสงสว่าง สิ่งที่น่าสนใจคือนโยบายภาษีของรัฐบาลไทยสำหรับรถกระบะและ SUV ที่มีผลต่อราคาและการวางตำแหน่งตลาดของ Everest ในไทยด้วย
Q
วิธีปิดไฟวิ่งกลางวัน Ford Everest
สำหรับรถ Ford Everest ที่ขายในตลาดไทย การปิดไฟกลางวันสามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้ ก่อนอื่นให้สตาร์ทรถแต่ยังไม่ต้องติดเครื่องยนต์ จากนั้นหมุนปุ่มควบคุมไฟไปที่ตำแหน่งปิด (OFF) หลังจากนั้นให้ดึงเบรกมือขึ้น (หากเป็นเบรกมืออิเล็กทรอนิกส์ต้องเปิดใช้งาน) สุดท้ายให้กดไฟสูงสลับไปมา 5 ครั้งอย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงเตือน ไฟกลางวันก็จะปิดชั่วคราว และจะกลับมาใช้งานอีกครั้งเมื่อสตาร์ทรถใหม่ อย่างไรก็ตามตามกฎหมายจราจรของไทยมีการกำหนดให้ต้องใช้ไฟกลางวันอย่างชัดเจน ดังนั้นควรปิดเฉพาะในกรณีพิเศษเท่านั้น เช่นเวลาถ่ายภาพรถหรือเมื่อต้องตัดระบบไฟฟ้าทั้งรถเพื่อตรวจซ่อม สภาพอากาศในไทยที่ทั้งร้อนและฝนชุก ไฟกลางวันช่วยให้มองเห็นรถได้ชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะช่วงฝนตก ซึ่งเป็นคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่รถ SUV รุ่นอื่นๆ เช่น Toyota Fortuner และ Isuzu MU-X ก็มีเช่นกัน รุ่น Everest แต่ละปีอาจมีรายละเอียดการใช้งานที่แตกต่างกันบ้าง หากมีปัญหาสามารถปรึกษาตัวแทนจำหน่าย Ford ในไทยเพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องสำหรับรุ่นล่าสุด พวกเขายังสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลระบบไฟที่เหมาะสมกับสภาพถนนในไทยอีกด้วย

ข้อดี

เครื่องยนต์ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบเทวิน 2.0 มีกำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาด PPV
พื้นที่ภายในรถที่มีประโยชน์จัดเป็น 7 ที่นั่ง 3 แถว ที่นั่งแถวที่สามสามารถพับลงอย่างถูกต้องด้วยกลไกไฟฟ้า
ติดตั้งอุปกรณ์ให้ครบครันเช่นประตูหลังไฟฟ้า กุญแจอัจฉริยะและระบบเริ่มต้นด้วยกดปุ่มเดียว ระบบควบคุมด้วยเสียง
การออกแบบภายนอกที่สวยงาม ติดตั้งล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้วสำหรับแบบที่ราคาสูงสุด กระจังหน้าและแถบป้องกันด้านหลังใหม่ การส่องสว่าง LED ทั้งรถ
บริการหลังการขายมีชื่อเสียงบ้าง

ข้อเสีย

10 เกียร์อัตโนมัติประสบปัญหาในการใช้งาน เช่น การเปลี่ยนเกียร์ขัดข้อง ฟอร์ดกำลังแก้ไข
การปรับปรุงรุ่นรถช้า ห่างจากการปรับปรุงครั้งล่าสุดเกือบ 2 ปี
บริการหลังการขายได้รับความคิดเห็นลบบนอินเทอร์เน็ต ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้ซื้อ

Q&A ล่าสุด

Q
รถยนต์ที่ขายดีที่สุดในโลกในปี 2024 คือรุ่นอะไร?
จากข้อมูลยอดขายรถยนต์ทั่วโลกปี 2024Toyota Corolla ยังคงเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดในโลก ด้วยความน่าเชื่อถือ ประหยัดน้ำมัน และราคาคุ้มค่า ทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงในตลาดไทยด้วย โดยเฉพาะรุ่น Hybrid ที่ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและความต้องการรถประหยัดพลังงานของคนไทย ประเทศไทยเป็นตลาดรถยนต์สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสำเร็จของ Toyota Corolla ในไทยก็มาจากกลยุทธ์การผลิตภายในประเทศ โดยรถที่ผลิตจากโรงงานไทยนอกจากจะจำหน่ายในประเทศแล้วยังส่งออกไปยังตลาดเพื่อนบ้าน ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจาก Corolla แล้ว คนไทยยังนิยมรถปิกอัพอย่าง Toyota Hilux และ Isuzu D-MAX ที่ใช้งานได้ดีในพื้นที่ชนบทและภาคอุตสาหกรรม แต่ในระดับโลก รถเก๋งขนาดกะทัดรัดอย่าง Corolla ยังคงเป็นผู้นำด้านยอดขาย แม้ปัจจุบันจะมีการผลักดันรถ EV จากรัฐบาลไทยและอาจมีรถพลังงานใหม่เข้ามาในลิสต์ยอดขายในอนาคต แต่รถยนต์สันดาปภายในและ Hybrid ยังคงเป็นตัวเลือกหลักของตลาดในขณะนี้
Q
แบรนด์รถยนต์ใดมีการเรียกคืนสินค้ามากที่สุดในปี 2024?
ในปี 2564 ยอดเรียกคืนรถในตลาดไทยมีหลายแบรนด์ โดยเฉพาะรถอเมริกันและญี่ปุ่น เช่น Ford ที่เรียกคืนบางรุ่นเนื่องจากต้องอัปเกรดระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น ส่วน Toyotaได้ปรับปรุงระบบจัดการแบตเตอรี่ในรถไฮบริด การเรียกคืนครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าแบรนด์เหล่านี้ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมในไทยที่ทั้งร้อนและชื้น ผู้บริโภคไทยควรเข้าใจว่าการเรียกคืนรถเป็นมาตรการเชิงรุกของบริษัทเพื่อลดความเสี่ยง ไม่ใช่ปัญหาคุณภาพ โดยข้อมูลการเรียกคืนทั้งหมดจะประกาศผ่านเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก (DLT) เราแนะนำให้เจ้าของรถตรวจสอบข้อมูลการเรียกคืนเป็นระยะผ่านทางศูนย์บริการหรือเว็บไซต์ DLT ตามกฎหมายไทย ศูนย์บริการต้องซ่อมแซมรถที่ถูกเรียกคืนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ข้อสังเกตสำคัญคือประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รุ่นที่ผลิตในประเทศจะถูกปรับแต่งให้เหมาะกับถนนไทย แต่ชิ้นส่วนมาตรฐานระดับโลกอาจทำให้เกิดการเรียกคืนได้ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
Q
รถที่ดีที่สุดในโลกในปี 2024 คืออะไร?
ในปี 2024 รถหรูที่ทั่วโลกจับตามองที่สุดต้องยกให้ Rolls Royce Phantom Series II ที่ นิยามใหม่ประสบการณ์การขับขี่ระดับไฮเอนด์ด้วยงานคราฟต์แฮนด์เมดระดับมาสเตอร์พีซ เริ่มตั้งแต่กริลล์แบบพาร์เธนอนอันเป็นเอกลักษณ์ ไปจนถึงหลังคาดาวที่ทำให้ลูกค้าระดับท็อปของไทยรู้สึกถึงความพิเศษและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว แถมเครื่อง V12 ยังให้กำลังงานลื่นไหลสมบูรณ์แบบ ทั้งในสภาพการจราจรติดขัดหรือวิ่งเร็วบนถนนซับซ้อนของกรุงเทพฯ ส่วนด้านรถไฟฟ้า ตลาดไทยน่าจับตาที่สุดคือเทสลา โมเดล เอส เพลด ที่มาพร้อมสมรรถนะระดับ 1,020 แรงม้า จาก 3 มอเตอร์ เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.1 วินาที โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จในไทยที่พร้อมรับ และระบบจัดการความร้อนแบตเตอรี่ที่ทำงานได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น แบบไทย ที่น่าสนใจคือ Toyota Century SUV รถหรูสัญชาติญี่ปุ่นที่ถูกใจคนไทย ด้วยการผสมผสานระหว่างดีไซน์เอเชียนเอลิแกนซ์กับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด V6 พร้อมเบาะหลังแบบ Executive ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับวัฒนธรรมการทำงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม เวลาซื้อรถหรูในไทย ควรเช็กให้ดีว่าเป็นแบบพวงมาลัยขวา และควรเลือกรุ่นที่มีระบบปรับอากาศแรงพิเศษ พร้อมสารเคลือบเซรามิกเกรดสูง เพื่อรับมือกับสภาพอากาศร้อนชื้นและฝนตกบ่อย ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้สำคัญกว่าการเลือกแค่แบรนด์ดังๆ
Q
รถยนต์รุ่นใดในปี 2024 ที่จะมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด?
จากรายงานคาดการณ์ความทนทานของรถยนต์ปี 2024 และลักษณะเฉพาะของตลาดไทย รถปิกอัพอย่าง Toyota Hilux Revo และ Isuzu D-Max คาดว่าจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เพราะใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลที่พัฒนามาอย่างดี โครงสร้างแข็งแรง และค่าซ่อมบำรุงไม่สูง เหมาะสมกับสภาพถนนหลากหลาย terrain และอากาศร้อนของประเทศไทย ส่วนแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Honda CR-V และ Toyota Fortuner ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะมีผลงานด้านความทนทานระดับโลก และการผลิตในประเทศทำให้หาอะไหล่ได้ง่าย บำรุงรักษาสะดวก สำหรับรถไฟฟ้า อย่าง BYD ATTO 3 และ MG ZS EV มีศักยภาพในการใช้งานยาวนานจากประกันแบตเตอรี่ (มักให้ประกัน 8 ปีหรือ 150,000 กิโลเมตร) แต่ต้องคำนึงถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จในประเทศไทยด้วย ถ้าจะเลือกรถที่ใช้งานได้ยาวนาน แนะนำให้ดู 3 ปัจจัยหลัก คือ เครือข่ายบริการหลังการขายของแบรนด์ในไทย, อัตราการรักษามูลค่ารถ (resale value) และเสียงรีวิวจากผู้ใช้ในประเทศ เพราะปัจจัยเหล่านี้สะท้อนความทนทานของรถในสภาพจริงของไทยได้ดี นอกจากนี้การบำรุงรักษาสม่ำเสมอและการขับขี่ที่ถูกวิธีก็ช่วยยืดอายุรถได้ไม่ว่ายี่ห้อไหนก็ตาม
Q
รถยนต์ที่ถูกนำไปรีไซเคิลมากที่สุดในปี 2024 คือรุ่นอะไร?
คาดการณ์ว่าในปี 2024 รถยนต์ที่ถูกส่งไปกำจัดมากที่สุดในประเทศไทยยังคงเป็นรถเก๋งประหยัดน้ำมันจากญี่ปุ่นที่ใช้งานมานานกว่า 15 ปี โดยเฉพาะรุ่นยอดนิยมอย่าง Toyota Vios และ Honda City ที่ผลิตช่วงต้นปี 2000 ซึ่งชิ้นส่วนต่างๆเริ่มเสื่อมสภาพจากการใช้งานยาวนาน ทำให้ค่าซ่อมบำรุงสูงขึ้น แถมยังมีนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลไทยที่ให้เงินช่วยเหลือสำหรับการเปลี่ยนรถเก่าที่ปล่อยมลพิษสูง ส่งผลให้เจ้าของรถเลือกส่งรถไปกำจัดแทนที่จะซ่อมแซม ส่วนรถกระบะที่ผลิตในประเทศอย่าง Isuzu D-MAX หรือ Toyota Hilux แม้จะมีจำนวนเยอะแต่กลับไม่ค่อยถูกส่งไปกำจัดเพราะโครงสร้างแข็งแรงและหาอะไหล่ซ่อมง่าย ในแง่สิ่งแวดล้อม รัฐบาลไทยกำลังผลักดันมาตรฐานการปล่อยมลพิษยูโร 5 ซึ่งจะเร่งกำจัดรถเก่าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน โดยแนะนำให้เจ้าของรถตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์และระบบการปล่อยมลพิษอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนรถเก่าและรถใหม่ในเวลาที่เหมาะสม ทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมือง
ดูเพิ่มเติม