Q

MG EP ขนาดเท่าไหร่? มันใหญ่ขนาดไหน?

MG EP มีขนาดตัวถังยาว 4,544 มม. กว้าง 1,818 มม. และสูง 1,536 มม. พร้อมระยะฐานล้อ 2,665 มม. จัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์ขนาด C-Segment ซึ่งมิติที่กว้างขวางนี้ช่วยให้ห้องโดยสารภายในโปร่งโล่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารตอนหน้า หรือตอนหลังก็ได้รับพื้นที่ศีรษะและพื้นที่วางขาอย่างเหมาะสม ส่งผลให้การโดยสารมีความสะดวกสบาย ตัวรถมาพร้อมกับรูปแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง เหมาะกับการใช้งานของครอบครัว ขณะที่พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุอยู่ที่ 464 – 1,456 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลงจะสามารถเพิ่มพื้นที่เก็บของได้มากขึ้น รองรับการใช้งานหลากหลาย ทั้งการจับจ่ายใช้สอย การขนย้ายของ หรือการเดินทางไกล โดยรวมแล้ว MG EP มีจุดเด่นด้านความอเนกประสงค์ของพื้นที่ ใช้งานได้ดีทั้งในชีวิตประจำวันและในสถานการณ์การเดินทางรูปแบบต่าง ๆ
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
รถยนต์ไฟฟ้า MG EP มีปัญหาอะไรบ้าง? สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อมีอะไร?
สำหรับรถไฟฟ้า MG EP ที่วางขายในตลาดไทย ปัญหาที่พบส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับความเข้ากันได้ของระบบชาร์จ ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ และความเสถียรของระบบซอฟต์แวร์ ในสภาพอากาศร้อนของไทย กลไกป้องกันแบตเตอรี่ร้อนเกินอาจส่งผลต่อความเร็วในการชาร์จแบบเร็ว แนะนำให้เจ้าของรถใช้สถานีชาร์จที่ได้รับการรับรองจากทางบริษัทเพื่อความเข้ากันได้ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ควรอัปเดตระบบ OTA เป็นประจำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการแบตเตอรี่ ส่วนเรื่องระยะทางนั้น การใช้งานจริงจะได้รับผลกระทบจากความถี่ในการใช้แอร์และสภาพการจราจรติดขัดในเมือง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ผู้ใช้ในไทยยังต้องระมัดระวังเรื่องการขับรถลุยน้ำในช่วงฤดูฝนเพื่อปกป้องแบตเตอรี่ แม้ว่า MG EP จะมีมาตรการป้องกันระดับ IP67 แต่การแช่น้ำเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดปัญหาในระบบวงจรได้ ส่วนปัญหาสถานีชาร์จไม่เพียงพอซึ่งเป็นเรื่องปกติในรถไฟฟ้ารุ่นใกล้เคียงกัน ก็พบได้ในเมืองรองของไทยเช่นกัน แนะนำให้สำรวจจุดชาร์จรอบๆ ที่พักอาศัยก่อนตัดสินใจซื้อรถ ข้อดีคือรัฐบาลไทยมีนโยบายลดภาษีและให้เงินสนับสนุนรถไฟฟ้า ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการซื้อได้อย่างชัดเจน โดยสรุปแล้ว การใช้งานรถไฟฟ้าในไทยต้องพิจารณารวมกันหลายปัจจัย ทั้งสภาพอากาศ พฤติกรรมการใช้งาน และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน
Q
MG EP ใช้ยางขนาดเท่าไหร่?
MG EP มาพร้อมยางขนาด 205/60 R16 ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งเป็นขนาดที่ช่วยให้รถมีความมั่นคงในการขับขี่ โดยเลข 205 หมายถึงความกว้างของหน้ายาง ยางที่กว้างจะมีพื้นที่สัมผัสกับพื้นถนนมากขึ้น ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะ ส่วนเลข 60 คืออัตราส่วนแก้มยาง (ซีรี่ส์ยาง) ซึ่งค่าที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้สมดุลระหว่างความนุ่มนวลและการควบคุมรถได้ดี และ R16 หมายถึงยางเรเดียลที่ใช้กับล้อขนาด 16 นิ้ว ขนาดของยางมีผลต่อการควบคุมรถ การเบรก และอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ดังนั้นในการใช้งานประจำวันควรหมั่นตรวจสอบสภาพการสึกหรอของยางอยู่เสมอ เพื่อให้ยางอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและสบายตลอดเส้นทาง
Q
MG EP เป็นรถแบบไหน?
MG EP เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น C-Segment ที่มีขนาดความยาว 4,544 มม. กว้าง 1,818 มม. และสูง 1,536 มม. ระยะฐานล้อ 2,665 มม. ออกแบบมาแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง เหมาะสำหรับครอบครัว พื้นที่เก็บสัมภาระปรับได้ตั้งแต่ 464 ถึง 1,456 ลิตร เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย รุ่นนี้ทำความเร็วสูงสุดได้ 185 กม./ชม. เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 8.8 วินาที ตามข้อมูลทางการ มอเตอร์ไฟฟ้าสร้างกำลังสูงสุด 50.3 แรงม้า แรงบิดรวม 260 นิวตัน-เมตร วิ่งได้ไกล 380 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ด้วยแบตเตอรี่ความจุ 50.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ AT และขับเคลื่อนล้อหน้า สำหรับระบบความปลอดภัยและความสะดวก มี ABS ระบบเบรกอัตโนมัติ หลายถุงลมนิรภัย จุดยึดเก้าอี้เด็ก ISO FIX ระบบช่วยออกรถบนทางลาดชัน และหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว มาด้วยกันทั้งหมด ปัจจุบันรุ่นนี้สถานะการขายเป็น No ราคาอยู่ที่ 761,000 บาท
Q
จะคำนวณค่างวดผ่อน MG EP ยังไง?
การคำนวณค่างวดผ่อนรถ MG EP ต้องเริ่มจากการรู้ราคาของตัวรถก่อน เช่น MG EP ราคา 761,000 บาท และ MG EP Plus ราคา 771,000 บาท จากนั้นให้เลือกเปอร์เซ็นต์เงินดาวน์ที่ต้องการ โดยทั่วไปจะมีตั้งแต่ 20%, 30%, 40%, 50%, ไปจนถึง 60% เช่น ถ้าเลือกดาวน์ 30% สำหรับรุ่น MG EP ราคาจะคิดเป็น 761,000 × 30% = 228,300 บาท ส่วนยอดจัดไฟแนนซ์คือ 761,000 - 228,300 = 532,700 บาท ขั้นตอนถัดไปคือเลือกจำนวนงวดที่ต้องการผ่อน โดยทั่วไปมีให้เลือกตั้งแต่ 12, 18, 24, 36 งวด และแต่ละสถาบันการเงินจะมีอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน เช่น สมมติธนาคารแห่งหนึ่งเสนออัตราดอกเบี้ยรายปีที่ x% (ต้องสอบถามธนาคารโดยตรง) จากนั้นให้นำข้อมูลไปคำนวณค่างวดรายเดือนโดยใช้สูตรการผ่อนแบบ “เงินต้นและดอกเบี้ยคงที่” (Equal Monthly Installment หรือ EMI) ดังนี้ M = P \times \frac{r(1 + r)^n}{(1 + r)^n - 1} โดยที่ M คือค่างวดรายเดือน, P คือยอดเงินกู้, r คืออัตราดอกเบี้ยต่อเดือน (ดอกเบี้ยต่อปี ÷ 12), และ n คือจำนวนเดือนที่ผ่อน เมื่อได้ค่างวดรายเดือนแล้ว ก็สามารถหายอดรวมที่ต้องจ่ายทั้งหมดได้โดยนำ M × จำนวนเดือน และหาดอกเบี้ยรวมที่จ่ายทั้งหมดได้จาก ยอดรวมที่ต้องจ่าย - เงินต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการผ่อนอีกแบบที่เรียกว่า “แบบเงินต้นเท่ากัน” ซึ่งจะจ่ายค่างวดมากในช่วงแรก และลดลงในภายหลัง ผู้ซื้อสามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพการเงินของตัวเองได้
Q
ความเร็วสูงสุดของ MG EP คือเท่าไหร่?
MG EP เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 130 กม./ชม. ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานบนถนนในเมืองและทางหลวงของประเทศไทย ทั้งการเดินทางในชีวิตประจำวันหรือท่องเที่ยวระยะสั้นก็ตอบโจทย์ได้ดี ในสภาพอากาศร้อนของไทย ระบบจัดการแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก และ MG EP ก็มาพร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิประสิทธิภาพสูง ที่ช่วยให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างเสถียรแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมอุณหภูมิสูง แถมยังวิ่งได้ไกลถึง 305 กม. (มาตรฐาน NEDC) เหมาะกับการเดินทางในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการใช้งานรถไฟฟ้ายังถูกกว่ารถน้ำมันมาก โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลไทยออกนโยบายสนับสนุนรถไฟฟ้า ทำให้ MG EP มีความคุ้มค่าเพิ่มขึ้นอีก โครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จในไทยก็กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และ MG EP ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว ที่สามารถชาร์จได้ถึง 80% ในเวลาเพียง 30 นาที ทำให้สะดวกสบายมากขึ้น ถ้าคุณกำลังคิดจะซื้อรถไฟฟ้า นอกจากความเร็วสูงสุดแล้ว ลองศึกษาตำแหน่งสถานีชาร์จและนโยบายค่าไฟฟ้าในไทยเพิ่มเติมด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อประสบการณ์การใช้รถในชีวิตประจำวันแน่นอน
Q
MG EP ผ่อนต่อเดือนประมาณเท่าไหร่?
ราคารถ MG EP อยู่ที่ 761,000 บาท แต่จำนวนเงินผ่อนต่อเดือนจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เงินดาวน์ อัตราดอกเบี้ย และระยะเวลาผ่อนชำระ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจ่ายเงินดาวน์สูง เงินผ่อนต่อเดือนก็จะน้อยลง แต่ถ้าเลือกผ่อนยาวๆ เงินผ่อนแต่ละเดือนอาจจะเบาลง แต่อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมมากกว่า ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันก็ส่งผลต่อยอดผ่อนโดยตรงเช่นกัน เนื่องจากเราไม่ทราบเงื่อนไขการกู้ยืมที่แน่นอนของลูกค้า จึงไม่สามารถบอกยอดผ่อนต่อเดือนที่แน่นอนได้ แนะนำให้ไปที่ตัวแทนจำหน่าย MG ที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอคำปรึกษา พนักงานจะช่วยคำนวณเงินผ่อนให้เหมาะกับสภาพทางการเงินและความต้องการของลูกค้าได้ นอกจากนี้เมื่อซื้อรถยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึง เช่น ประกันรถ และค่าทำทะเบียนด้วยนะครับ
Q
MG EP มีสีอะไรบ้าง? คุณชอบสีไหน?
MG EP ในตลาดประเทศไทยมีตัวเลือกสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 3 สีคลาสสิก ได้แก่ ARCTIC WHITE (สีขาวอาร์กติก), METALLIC GREY (สีเทาเมทัลลิก) และ BLACK KNIGHT (สีดำแบล็คไนท์) สี ARCTIC WHITE เป็นสีขาวเงางาม ให้ความรู้สึกเรียบหรู สะอาดตา และยังดูแลรักษาง่าย เหมาะกับสภาพอากาศร้อนและฝุ่นเยอะของเมืองไทย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำคืนเพราะสีสว่างมองเห็นได้ง่าย METALLIC GREY เป็นสีเทาเมทัลลิกที่ให้ความรู้สึกสุภาพ เรียบง่าย แต่แฝงความหรูหรา เมื่อโดนแสงแดดจะสะท้อนความเงางามของเม็ดสีโลหะ เหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการภาพลักษณ์มืออาชีพ เช่น นักธุรกิจหรือผู้บริหาร BLACK KNIGHT มาในโทนสีดำสนิทพร้อมเคลือบเงา ให้ความรู้สึกหรูหราและลึกลับ โดดเด่นในด้านการเน้นเส้นสายของตัวรถ ซึ่งเป็นสีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ทั้ง 3 สีนี้ใช้เทคโนโลยีการพ่นสีขั้นสูงที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV และทนต่อการกัดกร่อนได้ดี ช่วยให้ตัวรถดูใหม่และเงางามได้ยาวนาน ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเลือกสีตามรสนิยม สภาพแวดล้อมการใช้งาน และความสะดวกในการดูแลรักษา โดยศูนย์บริการ MG ยังมีคำแนะนำด้านการดูแลรักษาสีรถอย่างมืออาชีพอีกด้วย
Q
MG EP ราคาเท่าไหร่?
รถ MG EP ราคาอยู่ที่ 761,000 บาท เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ระดับซีคลาส คันนี้จัดMG EP มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 761,000 บาท โดยเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในระดับ C-Segment มาพร้อมกับฟังก์ชันที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ตัวถังมีขนาดความยาว 4,544 มม. กว้าง 1,818 มม. สูง 1,536 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,665 มม. โครงสร้างตัวรถแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง เหมาะกับการใช้งานของครอบครัว พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสามารถจุได้ตั้งแต่ 464 – 1,456 ลิตร รองรับการใช้งานหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขับขี่ในเมืองหรือเดินทางไกล ด้านสมรรถนะ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 50.3 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร มีระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนตามมาตรฐานที่ระบุไว้ประมาณ 380 กิโลเมตร เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทางระยะสั้น ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐาน ตัวรถมาพร้อมระบบความปลอดภัย เช่น ระบบเบรก ABS, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง และจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก ISO FIX นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ เช่น ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย, ไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED และหน้าจอกลางขนาด 8 นิ้ว
Q
MG EP Specs คืออะไร?
MG EP มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 761,000 บาท โดยเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในระดับ C-Segment มาพร้อมกับฟังก์ชันที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ตัวถังมีขนาดความยาว 4,544 มม. กว้าง 1,818 มม. สูง 1,536 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,665 มม. โครงสร้างตัวรถแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง เหมาะกับการใช้งานของครอบครัว พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสามารถจุได้ตั้งแต่ 464 – 1,456 ลิตร รองรับการใช้งานหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขับขี่ในเมืองหรือเดินทางไกล ด้านสมรรถนะ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 50.3 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร มีระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนตามมาตรฐานที่ระบุไว้ประมาณ 380 กิโลเมตร เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทางระยะสั้น ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐาน ตัวรถมาพร้อมระบบความปลอดภัย เช่น ระบบเบรก ABS, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง และจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก ISO FIX นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ เช่น ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย, ไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED และหน้าจอกลางขนาด 8 นิ้ว
Q
MG EP มีโปรโมชั่นหรือข้อเสนอพิเศษอะไรบ้าง?
MG EP ในตลาดประเทศไทย โปรโมชั่นหรือข้อเสนอพิเศษอาจแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาการขายและกลยุทธ์ของตัวแทนจำหน่าย โดยทั่วไปแล้ว โปรโมชั่นที่พบได้บ่อย ๆ อาจรวมถึง ส่วนลดเงินสดในการซื้อรถ, แผนการเงินผ่อนดอกเบี้ยต่ำ, แพ็คเกจบริการดูแลรักษาฟรี หรือการแจกอุปกรณ์เสริมบางชนิดสำหรับรถยนต์ แต่ข้อเสนอและโปรโมชั่นที่เฉพาะเจาะจงนั้นควรสอบถามจากตัวแทนจำหน่าย MG ในพื้นที่เพื่อรับข้อมูลที่แม่นยำและล่าสุด

ข้อดี

ราคาของรถคุ้มค่าในรถยนต์ไฟฟ้า ราคา 988,000 บาท
การออกแบบร่างกายของรถเป็นเอกลักษณ์ โดยใช้ Station wagon ดีไซน์ ภายนอกน่าสนใจ
พื้นที่ภายในรถกว้างขวางมีพื้นที่เก็บของมาก
ระบบไดรฟ์ทำงานดี แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาว 380 กิโลเมตร
มีการจัดสรรหลายฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ เช่น เบรกไฟฟ้า ระบบรักษาการเบรกอัตโนมัติ ฯลฯ

ข้อเสีย

การออกแบบภายในและภายนอกบางส่วนล้าสมัย ขาดองค์ประกอบการออกแบบที่น่าไปสนใจ
ชาซีนุ่มเกินไป รถมักจะสั่นเสมอเมื่อขับขี่ ขาดความมั่นใจในการเลี้ยว
การตั้งค่าถูกลดลง เช่น ไม่มีการเข้าถึงอัจฉริยะ ไม่มีหน้าต่างดาว ฟังก์ชันของแดชบอร์ดถูกละเว้น ไม่มีระบบ i-Smart
จำนวนของศูนย์บริการน้อยกว่ายี่ห้อหลักอื่น ๆ

Q&A ล่าสุด

Q
แบตเตอรี่ของ BMW X1 มีความจุกี่กิโลวัตต์ชั่วโมง?
ความจุแบตเตอรี่ของ BMW X1 นั้นขึ้นอยู่กับรุ่นและระบบขับเคลื่อนที่เลือกใช้ สำหรับในตลาดไทย รุ่น plug-in hybrid อย่าง BMW X1 xDrive25e จะใช้แบตเตอรี่ลิเธียมความจุ 10kWh ให้ระยะทางไฟฟ้าล้วนประมาณ 50-55 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) เหมาะกับการขับขี่ในเมืองอย่างในกรุงเทพฯ ส่วนรุ่นที่ใช้น้ำมันจะใช้แบตเตอรี่ตะกั่วกรด 12V ความจุประมาณ 70Ah ในสภาพอากาศร้อนแบบประเทศไทย แนะนำให้เจ้าของรถตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ โดยเฉพาะระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่ในรุ่น plug-in hybrid เพราะความร้อนอาจส่งผลต่ออายุการใช้งาน BMW ศูนย์ไทยมีบริการตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ให้ และรัฐบาลไทยยังมีมาตรการลดภาษีสำหรับรถพลังงานสะอาดอย่างรุ่น plug-in hybrid ของ X1 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่ย่อมเสื่อมสภาพไปตามการใช้งาน แต่ BMW ให้การรับประกันแบตเตอรี่สูงถึง 8 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร สำหรับการเปลี่ยนแบตเตอรี่ แนะนำให้ใช้บริการผ่านช่องทางทางการเพื่อให้ได้อะไหล่แท้ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย เพราะแบตเตอรี่จากแหล่งอื่นอาจมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้
Q
ความยาวของ BMW X1 คือเท่าไหร่
รถ BMW X1 มีความยาวตัวรถประมาณ 4,500 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับรถ SUV คอมแพคต์ด้วยกัน ในไทยแล้ว ขนาดนี้เหมาะมากสำหรับการขับขี่ในเมือง เพราะให้พื้นที่ภายในกว้างขวางพอสมควร แถมยังจอดในที่แคบๆ อย่างในกรุงเทพฯ ได้ไม่ยากเลย ด้วยความที่ BMW X1 ขับเคลื่อนคล่องตัวและมาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสุดหรู ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่นิยมในหมู่ครอบครัววัยทำงานและคนเมืองที่รักสไตล์ นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างระบบจอดรถอัตโนมัติและระบบรักษาช่องทางเดินรถ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่บนถนนไทยที่ค่อนข้างวุ่นวาย ส่วนเรื่องประหยัดน้ำมันก็ทำได้ดี โดยเฉพาะรุ่นปลั๊กอินไฮบริดที่ยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากนโยบายส่งเสริมรถพลังงานสะอาดของรัฐบาลไทยด้วย ถ้าอยากได้รถที่ใหญ่กว่านี้ อาจจะมองไปที่ BMW X3 ที่เป็นรุ่นพี่ แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าและการใช้งานในเมืองแล้ว X1 ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
Q
วันที่วางจำหน่าย BMW X1 คือเมื่อไร
รถ BMW X1 รุ่นใหม่ล่าสุด เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา กับ SUV คอมแพคหรูระดับพรีเมียมที่มาพร้อมดีไซน์สปอร์ตโดดเด่น เทคโนโลยีล้ำสมัย และระบบขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูง จนกลายเป็นที่จับตามองของคนไทยทันที สำหรับตลาดไทย BMW นำเข้า 2 รุ่นหลัก ได้แก่ sDrive18i รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และ xDrive23e รุ่นปลั๊กอินไฮบริด ที่มาพร้อมระบบ iDrive 8 ล่าสุดและหน้าจอคู่แบบโค้งสุดโมเดิร์น พิเศษสำหรับคนไทยต้องยกให้รุ่น xDrive23e ที่วิ่งได้ไกลถึง 88 กิโลเมตรด้วยระบบไฟฟ้า 100% เหมาะมากสำหรับการขับขี่ในเมืองอย่างกรุงเทพฯ แถมยังได้สิทธิ์ลดภาษีรถ EV ของรัฐบาลไทยอีกด้วย ทางผู้จัดจำหน่ายยังเพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกัน 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมบริการฟรีเช็คระยะตามกำหนด เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz GLA และ Audi Q3 ที่เพิ่งออกใหม่ในไทยเหมือนกัน แต่ X1 ยังคงได้เปรียบด้วยพื้นที่เบาะหลังที่กว้างขวางกว่าและระบบช่วยขับอัตโนมัติที่มาสแตนดาร์ดทุกรุ่น แถมยังตอบโจทย์สภาพอากาศเมืองร้อนด้วยฟังก์ชันระบายอากาศเบาะและระบบเปิดแอร์ล่วงหน้าผมแอปฯ ได้ สนใจลองแวะทดลองขับได้ที่โชว์รูม BMW ในกรุงเทพฯ หรือพัทยาได้เลยครับ
Q
BMW X1 เปิดตัวครั้งแรกเมื่อไหร่?
รถ BMW X1 รุ่นใหม่ล่าสุด เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ด้วยดีไซน์ภายนอกที่สปอร์ตและเทคโนโลยีภายในที่อัพเกรด ทำให้ SUV คอมแพคต์หรูคันนี้กลายเป็นที่พูดถึงในตลาดรถไทยทันที สำหรับตลาดไทย BMW X1 มีให้เลือก 2 รุ่นคือ sDrive18i และ xDrive20i ทั้งคู่ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ คู่กับเกียร์ 7 จังหวะ DCT โดยรุ่น xDrive20i ยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ตอบโจทย์สภาพถนนช่วงฤดูฝนของไทยได้เป็นอย่างดี ที่น่าสนใจคือ X1 เวอร์ชั่นไทยมาพร้อมหน้าจอสัมผัส 10.25 นิ้วและหน้าปัดดิจิตอลมาตรฐาน พร้อมรองรับระบบ Apple CarPlay แบบไร้สาย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ชาวไทยที่ชื่นชอบเทคโนโลยี สำหรับ SUV ระดับเริ่มต้นจากแบรนด์หรูอย่าง X1 นั้น มีคู่แข่งสำคัญในไทยคือ Mercedes-Benz GLA และ Audi Q3 แต่ X1 โดดเด่นด้วยพื้นที่เบาะหลังที่กว้างขวางกว่าและความรู้สึกขับขี่ที่สปอร์ตกว่า ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีในตลาดไทย ผู้สนใจสามารถทดลองขับและสั่งซื้อรถรุ่นนี้ได้ที่ตัวแทนจำหน่าย BMW ในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยมีให้เลือกหลายสีทั้ง Mineral White, Jet Black และอีกหลายเฉดสีสวยๆ
Q
BMW X1 คุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่?
BMW X1 เป็น SUV ระดับคอมแพคต์หรูที่ขายดีในตลาดไทย จุดเด่นอยู่ที่แบรนด์คุณภาพสูง การขับขี่สมรรถนะดี และความประหยัดพื้นที่ เหมาะกับสภาพถนนในเมืองอย่างกรุงเทพฯ เครื่องยนต์ 2.0 เทอร์โบชาร์จให้กำลังดี คู่กับเกียร์ออโต้ 8 สปีด ทำให้ขับเคลื่อนคล่องตัวและประหยัดน้ำมัน ช่วยแก้ปัญหารถติดแบบไทยๆ ได้ดี โครงสร้างภายในกว้างขวาง โดยเฉพาะพื้นที่ขาผู้โดยสารหลังที่กว้างกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน เหมาะสำหรับครอบครัว ฝีมือการตกแต่งภายในเรียบหรู ระบบ iDrive มาตรฐานรองรับ Apple CarPlay ให้ความรู้สึกไฮเทค แอร์เย็นฉ่ำรับมืออากาศร้อนแบบไทยได้ดี เบาะนั่งก็สบาย ระบบบริการหลังการขายในไทยครอบคลุม ซ่อมบำรุงสะดวก ข้อควรระวังคือระบบช่วงล่างปรับแนวสปอร์ต อาจรู้สึกกระชากบ้างบนถนนบางสายในไทยที่สภาพไม่ดี ค่าเสื่อมราคาน้อยกว่าคู่แข่ง แต่ราคาสูงกว่าญี่ปุ่นหน่อย ถ้าชอบแบรนด์หรูและอารมณ์สปอร์ต X1 น่าจับตา แต่ควรทดลองขับดูก่อน สำหรับคนไทยที่รักสิ่งแวดล้อม มีรุ่นปลั๊กอินไฮบริดให้เลือกด้วย
ดูเพิ่มเติม