2021 Audi RS 5 Coupe quattro

การจะบอกว่า GT-R กับ Bugatti คันไหนเร็วกว่ากันแบบง่ายๆ นั้นทำไม่ได้ เพราะผลลัพธ์จะเปลี่ยนไปตามเกณฑ์ที่ใช้วัด ในสนามแข่งนูร์บูร์กริงนอร์ดชไลเฟ่ที่มีการทดสอบเวลา GT-R ทำเวลาได้ 7 นาที 29.03 วินาที ส่วน Bugatti Veyron 16.4 ทำได้ 7 นาที 40 วินาที แสดงว่า GT-R เร็วกว่าในกรณีนี้ สาเหตุเป็นเพราะสนามนี้มีโค้งหนาแน่นถึง 160 โค้ง ความยาว 22.6 กิโลเมตร GT-R มีจุดเด่นเรื่องน้ำหนักตัวที่เบากว่า ทำให้ควบคุมรถได้ดีกว่าและเข้าโค้งได้คล่องแคล่วกว่า แต่ถ้าพูดถึงความแรงในทางตรง Bugatti นั้นเหนือชั้นมาก เช่น Bugatti Veyron ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ W16 8.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 4 ตัว ให้กำลัง 1,001 แรงม้า เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.46 วินาที 0-200 กม./ชม. ใน 8.6 วินาที 0-300 กม./ชม. ใน 15.6 วินาที และ 0-400 กม./ชม. ใน 55.6 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ถึง 406 กม./ชม. ส่วน GT-R รุ่นมาตรฐานเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ประมาณ 2.7-3.6 วินาที ความเร็วสูงสุดประมาณ 310-323 กม./ชม. จะเห็นว่าในด้านความแรงทางตรงและความเร็วสูงสุดนั้น Bugatti เอาชนะขาดลอย

เฟอร์รารี่ 296 GTB มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ DCT 8 สปีดแบบคลัตช์คู่ ซึ่งไม่ได้มีตัวเลือกเกียร์ธรรมดาให้เลือก เกียร์รุ่นนี้ขึ้นชื่อเรื่องการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและส่งผ่านกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับทั้งสภาพการจราจรที่ติดขัดในเมืองไทยและการขับขี่ด้วยความเร็วสูงบนทางหลวง ระบบไฮบริดปลั๊กอิน V6 ของรถคันนี้เมื่อทำงานร่วมกับเกียร์คลัตช์คู่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะที่ยังคงความรู้สึกในการขับขี่แบบเฟอร์รารี่ไว้ได้อย่างครบถ้วน สำหรับผู้บริโภคไทย ระบบไฮบริดยังช่วยให้สามารถขับเคลื่อนในโหมดไฟฟ้า 100% ในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งช่วยลดการปล่อยมลพิษได้อีกด้วย ต้องบอกว่าแม้ว่ารถสปอร์ตเกียร์ธรรมดาจะยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดรถสปอร์ตเฉพาะกลุ่มของไทย แต่ซูเปอร์คาร์ไฮบริดอย่าง 296 GTB ส่วนใหญ่เลือกใช้เกียร์อัตโนมัติเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของระบบ หากผู้ใช้ในไทยต้องการความรู้สึกของการควบคุมเกียร์ธรรมดา อาจจะต้องมองหาในรุ่นคลาสสิกของเฟอร์รารี่หรือโซลูชันจากตลาดแต่งรถ แต่ควรตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกันจากทางศูนย์ให้ดีก่อนนะครับ

ในตลาดรถมือสองของไทย โตโยต้า เอสเซนต้า ถือว่ามีอัตราการรักษามูลค่ารถได้ค่อนข้างดี สำหรับเอ็มพีวีขนาดกะทัดรัดที่เน้นความประหยัดและตอบโจทย์ครอบครัว ด้วยจุดเด่นเรื่องความประหยัดน้ำมัน ความทนทาน และพื้นที่ใช้งานที่ยืดหยุ่น ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่คนไทย โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ที่ค่าบำรุงรักษาถูกและเหมาะกับการใช้งานในเมือง มักจะมีมูลค่าคงเหลือสูงกว่ารุ่นไฮบริด จากข้อมูลในตลาดไทยพบว่า เอสเซนต้าที่ใช้งานไม่เกิน 3 ปี จะสามารถรักษามูลค่าได้ประมาณ 60%-65% ของราคาเดิม แต่ถ้ารถสภาพดีและไมล์สะสมต่ำกว่าปีละ 20,000 กิโลเมตร อาจได้ราคาสูงกว่านั้น สำหรับสภาพอากาศร้อนของไทย แนะนำให้ตรวจสอบระบบแอร์และอาการเสื่อมของยางเป็นพิเศษ เพราะสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อราคาขายต่อได้ นอกจากนี้เครือข่ายศูนย์บริการและอะไหล่ของโตโยต้าที่มีอยู่ทั่วไทยยังช่วยให้การดูแลรักษาเอสเซนต้าง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อมูลค่าคงเหลือในระยะยาว ถ้าคิดจะใช้รถนาน แนะนำให้เลือกสีพื้นฐานเช่นขาวหรือเงินจะขายต่อได้ง่ายกว่า และควรเก็บประวัติการซ่อมบำรุงจากศูนย์บริการให้ครบถ้วนเพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อ อย่างไรก็ตามนโยบายสนับสนุนรถพลังงานสะอาดของรัฐบาลไทยในช่วงหลังอาจส่งผลต่อมูลค่ารถเบนซินเล็กน้อย แต่เอสเซนต้าก็ยังคงความน่าสนใจในตลาดรถครอบครัว ทำให้อัตราการรักษามูลค่าในระยะสั้นยังแข่งขันได้ดี

VinFast VF Wild เป็นรถกระบะไฟฟ้าที่โดดเด่นทั้งในแง่นวัตกรรมและความต้องการของตลาด ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคไทยได้เป็นอย่างดี อย่างแรกเลยคือระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ทันสมัย ให้ระยะทางไกลและชาร์จเร็ว เหมาะกับเทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อมที่กำลังมาแรงในไทย แถมยังช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้มาก ส่วนด้านการออกแบบก็ทั้งสวยและใช้งานได้จริง มีพื้นที่บรรทุกของกว้างขวาง พร้อมระบบจัดการสัมภาระอัจฉริยะ จะใช้ในเมืองหรือออกทริปก็สะดวกหมด ยิ่งไปกว่านั้น VinFast ยังลงทุนเรื่องสถานีชาร์จและบริการหลังการขายในไทยแบบเต็มที่ ทำให้ผู้ใช้สบายใจมากขึ้น รถกระบะไฟฟ้าแบบนี้เป็นเทรนด์ใหม่ระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายพลังงานสะอาดของรัฐบาลไทย และเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคด้วย เมื่อโครงสร้างพื้นฐานและความตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมในไทยพัฒนาขึ้น รุ่นที่ทั้งใช้งานได้จริงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง VF Wild ก็จะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

โตโยต้า Veloz มักมาพร้อมที่นั่ง 7 ที่นั่ง ซึ่งได้รับความนิยมในตลาดไทย ด้วยพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง เหมาะสำหรับการเดินทางแบบครอบครัวและการโดยสารหลายคน การจัดที่นั่งแบบ 7 ที่นั่งมอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร

Honda CR-V Hybrid มี 2 รุ่น ได้แก่ Honda CR-V e:HEV ES 4WD ราคา 1,589,000 บาท และ Honda CR-V e:HEV RS 4WD ราคา 1,729,000 บาท

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายของ Toyota Vios มีความจุอยู่ระหว่าง 476 ถึง 506 ลิตร ขึ้นอยู่กับรุ่นและปีที่ผลิต เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของ เดินทางท่องเที่ยว หรือใช้งานในครอบครัว เหมาะอย่างยิ่งกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ในประเทศไทย เช่น การเดินทางในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไปตลาดขนาดใหญ่ พื้นที่ภายในของห้องเก็บสัมภาระออกแบบให้เป็นระนาบเรียบ ช่วยให้ใช้พื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม จะมีเพียงรุ่นสูงหรือตัวท็อปเท่านั้นที่สามารถพับเบาะหลังแบบแยกได้ ซึ่งแม้สามารถเพิ่มพื้นที่บรรทุกของยาวได้ แต่พื้นจะมีความเอียงเล็กน้อย ไม่เหมาะกับการวางของที่ต้องการพื้นราบโดยสมบูรณ์ ด้านพื้นที่โดยสาร Vios ยังมีจุดเด่นที่ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร ทำให้มีพื้นที่วางขากว้างขวางทั้งด้านหน้าและหลัง ผู้โดยสารที่มีความสูงถึง 180 ซม. ก็ยังสามารถนั่งได้อย่างสบาย รองรับการใช้งานในสภาพอากาศร้อนของไทยได้ดี ภายในรถยังออกแบบช่องเก็บของได้อย่างเหมาะสม เช่น ช่องเก็บของที่ประตู ช่องวางแก้วน้ำตรงกลาง และเบาะนั่งด้านหน้าที่ปรับระดับได้ รองรับพฤติกรรมของผู้ใช้ในภูมิอากาศร้อนชื้นที่มักพกพาน้ำดื่มหรือร่ม การออกแบบที่ผสมผสานระหว่างพื้นที่เก็บของและความสะดวกสบายในการโดยสาร ทำให้ Toyota Vios เป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้ดีทั้งในการขับขี่ในเมืองและเดินทางไกลข้ามจังหวัด

BMW M5 Touring มาพร้อมเครื่องยนต์ 4.4 ลิตร V8 เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 600 แรงม้า แรงบิดพีค 750 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์ 8 สปีด M Steptronic และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive ที่เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.5 วินาที แสดงศักยภาพที่แรงสุดๆ ในสภาพอากาศร้อนแบบไทย ระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูงและการตั้งค่าเครื่องยนต์ที่ปรับตัวได้ดีของ M5 Touring ช่วยให้มั่นใจในความเสถียรระหว่างขับขี่แบบสปอร์ต ขณะที่ดีไซน์รถเอสเตทยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับครอบครัวหรือทริปยาวๆ สำหรับคนไทยแล้ว M5 Touring ไม่เพียงให้ความรู้สึกเร้าใจเหมือนขับซูเปอร์คาร์ แต่ยังมาพร้อมกับห้องโดยสารหรูและเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบช่วงล่าง M พิเศษและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ ที่พร้อมรับมือทั้งการขับขี่ในเมืองหรือบนทางหลวง ที่น่าสนใจคือตลาดไทยเริ่มมีความต้องการรถเอสเตทสปอร์ตสูงขึ้น การนำเข้า M5 Touring นี้จึงตอบสนองกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมที่มองหาทั้งความมันส์และประโยชน์ใช้สอยในคันเดียว

เฟอร์รารี่ 296 GTB ติดตั้งเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบชาร์จ 2.9 ลิตร ที่มาพร้อมกับระบบไฮบริด ทำให้มันกลายเป็นซูเปอร์คาร์สุดล้ำที่มี 6 สูบ ด้วยพลังรวมสูงถึง 830 แรงม้า ซึ่งแสดงถึงความสามารถระดับตำนานของเฟอร์รารี่ในด้านเทคโนโลยีไฮบริด รุ่นนี้กำลังเป็นที่พูดถึงในวงการรถซิ่งของไทย โดยเฉพาะสำหรับการขับสปอร์ตบนสนามแข่งระดับพรีเมียมรอบๆ กรุงเทพฯ สำหรับแฟนรถไทยแล้ว เครื่องยนต์ V6 ของ 296 GTB ไม่เพียงสืบทอดความรู้สึกเร้าใจแบบเฟอร์รารี่คลาสสิก แต่ยังตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของโลก แถมไทยยังนำเข้ารถซิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ซูเปอร์คาร์ไฮบริดแบบ 296 GTB เข้าตามาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดของไทยได้อย่างดี ส่วนเครื่อง V6 เทอร์โบนั้น ขนาดกะทัดรัดแต่ให้พลังเหลือล้น เหมาะทั้งขับในเมืองไทยและลงสนามแข่ง อีกทั้งในไทยก็เริ่มมีอู่เตรียมอัพเกรดเฉพาะรถไฮบริดแบบนี้แล้ว ทำให้เจ้าของรถมีออปชั่นเพิ่มความมันส์ได้อีกเยอะ

เวลาในการชาร์จของ Xiaomi SU7 จะแตกต่างกันไปตามวิธีการชาร์จและการตั้งค่าของรุ่น โดยทั่วไปแล้วในการชาร์จเร็ว ใช้เวลาเพียง 30-50 นาทีในการชาร์จถึง 80% สำหรับรุ่นที่ใช้แพลตฟอร์ม 800V (รุ่น Pro ขึ้นไป) สามารถเติมพลังได้ 510 กิโลเมตรใน 15 นาที ส่วนรุ่น 400V จะเติมพลังได้ 350 กิโลเมตรในเวลา 15 นาที และยังมีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมด้วยการชาร์จ 5 นาที เติมพลังได้ 200 กิโลเมตร สำหรับการชาร์จช้าจะใช้เวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้นในการชาร์จเต็ม จากการทดสอบจริง Xiaomi SU7 2024 รุ่นสี่ล้อขับเคลื่อน Max ระยะทางยาวสามารถชาร์จจาก 0 ถึงเต็มได้ใน 55 นาที และจาก 30% ถึง 80% ใช้เวลา 19 นาที