Q
812 Superfast ถูกยุติการผลิตหรือไม่?
Ferrari 812 Superfast ในฐานะรถ GT สุดเริ่ดของค่ายที่ยังใช้เครื่องยนต์ V12 แบบวางหน้าต่อมาถึงยุคสิ้นสุดการผลิตอย่างเป็นทางการในปี 2023 เป็นผลมาจากการทำซ้ำตามธรรมชาติของสายผลิตภัณฑ์ Ferrari โดยมีรุ่นใหม่ๆ อย่าง Roma Spider ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบใหม่เข้ามาแทนที่ตำแหน่งในตลาด ส่วนในตลาดไทย 812 Superfast เป็นที่นิยมในหมู่คอลเลกเตอร์รถสปอร์ตสมรรถนะสูง ด้วยเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบสไตล์การดูดซึมโดยธรรมชาติ (789 แรงม้า) และการออกแบบคลาสสิกแบบ FR (เครื่องหน้า-ขับหลัง) ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ อาจจะยังพอเห็นตัวเป็นๆ ได้ตามโชว์รูมรถมือสองระดับพรีเมียมหรืองานชุมนุมรถเป็นครั้งคราว
แต่ต้องยอมรับว่ากฎหมายไทยมีการเก็บภาษีรถยนต์ขนาดเกิน 3.0 ลิตรในอัตราสูง (บางกรณีถึง 50%) ทำให้ราคารถซูเปอร์คาร์เครื่องใหญ่แบบนี้ในไทยพุ่งไปเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับตลาดโลก คนไทยที่อยากเป็นเจ้าของจึงมักใช้วิธีนำเข้าชั่วคราวผ่านเขตปลอดอากรหรือเลือกรับบริการเช่าสั้นๆ แทน สำหรับแฟนๆ Ferrari ในเมืองไทย รุ่นใหม่ๆ อย่าง F8 ทริบิวโต้ หรือ 296 GTB ที่ใช้ระบบไฮบริดอาจจะตอบโจทย์มากกว่า เพราะยังคงความแรงแต่ปรับตัวเข้ากับสภาพการจราจรติดขัดและกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทยได้ดีกว่า
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto
Q&A เกี่ยวข้อง
Q
ความเร็วสูงสุดของ Ferrari 812 Superfast คืออะไร
Ferrari 812 Superfast เป็นซูเปอร์คาร์ที่มาพร้อมกับสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. และความแรงจากเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอตโมสเฟียร์ ที่สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเพียง 2.9 วินาที แสดงถึงความเหนือชั้นของเทคโนโลยีด้านพลังขับและอากาศพลศาสตร์ของ Ferrari แม้ในไทยจะมีการจำกัดความเร็วบนทางด่วนที่ 120 กม./ชม. ทำให้ไม่สามารถดึงความเร็วสูงสุดของ 812 ซูเปอร์ฟาสต์ออกมาได้เต็มที่ แต่พลังอันเหลือล้นและการควบคุมที่แม่นยำก็ยังคงมอบประสบการณ์ขับขี่ที่สมบูรณ์แบบให้กับผู้ขับ ขณะที่ตลาดรถหรูในไทยให้ความสนใจกับแบรนด์ซูเปอร์คาร์อย่าง Ferrari เป็นอย่างมาก โดยเจ้าของรถหลายคนเลือกที่จะสัมผัสความเร็วสูงบนสนามแข่งหรือพื้นที่ปิด 812 ซูเปอร์ฟาสต์ไม่เพียงโดดเด่นด้วยสมรรถนะสุดล้ำ แต่ยังมาพร้อมดีไซน์อิตาเลียนสุดคลาสสิกและห้องโดยสารอันหรูหราที่ชนะใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ในไทย อย่างไรก็ตาม การขับรถสมรรถนะสูงนไทยจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย 812 ซูเปอร์ฟาสต์ถือเป็นสุดยอดเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่ในอนาคตมาตรฐานของซูเปอร์คาร์อาจถูกกำหนดใหม่ด้วยเทคโนโลยีรถไฟฟ้าที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
Q
ความแตกต่างระหว่าง Ferrari 812 Superfast และ GTS คืออะไร
ความแตกต่างหลักระหว่าง Ferrari 812 Superfast กับรุ่น GTS อยู่ที่การออกแบบหลังคา โดย 812 Superfast เป็นคูเป้หลังคาคงที่ ส่วนรุ่น GTS เป็นเวอร์ชันเปิดประทุนที่มีระบบหลังคาแบบพับได้ที่สามารถเปิด-ปิดได้ภายใน 14 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 45 กม./ชม. ทำให้ผู้ขับขี่ในสภาพอากาศร้อนของไทยสามารถเลือกที่จะรับแสงแดดหรือหาที่ร่มได้ตามใจชอบ ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์เบนซิน V12 6.5 ลิตรเท่ากัน ให้กำลังสูงถึง 800 แรงม้า แต่รุ่น GTS มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 75 กิโลกรัมจากโครงสร้างเสริมสำหรับระบบเปิดประทุน ทำให้ความเร็วสูงสุดลดลงเล็กน้อยเหลือ 340 กม./ชม. ซึ่งไม่ส่งผลมากนักกับการขับขี่ปกติในชีวิตประจำวัน สำหรับประเทศไทยแล้ว รุ่น GTS น่าจะได้รับความนิยมมากกว่าเพราะเหมาะทั้งกับการขับในเมืองที่การจราจรหนาแน่นและการขับเลียบชายทะเลเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาหรือหัวหิน ที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ได้มากกว่า ส่วนการตกแต่งภายในและเทคโนโลยีต่างๆในทั้งสองรุ่นแทบไม่ต่างกัน ล้วนใช้ระบบช่วยขับขี่สมัยใหม่และวัสดุหรูหราเหมือนกัน เพียงแต่รุ่น GTS มีการปรับปรุงระบบกันเสียงเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะกับการเป็นรถเปิดประทุน สำหรับคนไทยแล้ว การเลือกระหว่างสองรุ่นนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและสถานการณ์ใช้งานเป็นหลัก เพราะต้องยอมรับว่าการขับรถเปิดประทุนรับลมร้อนชื้นแบบไทยๆนั้นเป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน
Q
Ferrari 812 Superfast เปิดตัวเมื่อไหร่
Ferrari 812 ซูเปอร์ฟาสต์ เปิดตัวครั้งแรกในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ปี 2017 และวางจำหน่ายในปีเดียวกัน รุ่นนี้ถือเป็นรถยนต์ที่มาทดแทน F12berlinetta โดยติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบสูบธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. ซึ่งแสดงถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของ Ferrari ในด้านเครื่องยนต์แบบสูบธรรมชาติดั้งเดิม สำหรับตลาดไทย 812 Superfast ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักขับระดับสูงด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นและการออกแบบสไตล์อิตาเลียนที่โดดเด่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการขับขี่ในสนามแข่งมาตรฐานสูงรอบๆ กรุงเทพฯ หรือการสะสมเป็นรถส่วนตัว สำหรับคนไทยแล้ว รุ่นนี้ไม่เพียงเป็นตัวแทนของประสบการณ์การขับที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Ferrari ที่ยังคงพัฒนารถซูเปอร์คาร์ด้วยเครื่องยนต์ V12 แบบคลาสสิก แม้ว่าปัจจุบันเทรนด์รถไฟฟ้าจะมาแรง แต่ 812 Superfast ยังคงเป็นสุดยอดรถสปอร์ตเครื่องยนต์สันดาปที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ
Q
เครื่องยนต์ Ferrari 812 Superfast มีอะไร
Ferrari 812 Superfast ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอสพีเรต ที่ออกแบบด้วยมุมระนาบ 65 องศา ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดพีค 718 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์ 7 ความเร็วแบบ DUAL-CLUTCH เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 340 กม./ชม. แสดงถึงสุดยอดเทคโนโลยีเครื่องยนต์แอสพีเรตของ Ferrari เครื่องยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมระบบปรับเปลี่ยนรูปทรงท่อไอดีและระบบจัดการแรงบิดแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยให้การขับขี่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพการขับขี่ สำหรับแฟนๆรถไทย แม้ 812 Superfast อาจจะยากที่จะดึงประสิทธิภาพออกมาได้เต็มที่บนถนนเมืองไทย แต่เสียงเครื่องที่ดุดันและประสบการณ์การขับที่สมบูรณ์แบบก็ยังเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เครื่องยนต์แอสพีเรตให้ความรู้สึกการเร่งแบบลื่นไหลและเสียงเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ในรอบสูง ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ Ferrari ยังคงยึดมั่นกับเครื่องยนต์แอสพีเรตขนาดใหญ่ นอกจากนี้ เทคโนโลยีเครื่องยนต์ของ 812 Superfast ยังแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Ferrari ที่มีต่อระบบขับเคลื่อนแบบดั้งเดิม แม้ในยุคที่รถไฟฟ้ากำลังมาแรง แต่เครื่องยนต์แบบนี้ก็ยังคงเป็นสุดยอดแห่งเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน
Q
Ferrari 812 Superfast มีความเร็วเท่าไหร่
Ferrari 812 Superfast คือซูเปอร์คาร์ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอสไพรัลธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. รุ่นนี้เป็นที่จับตามองในตลาดรถหรูของไทย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบความมันส์แบบสุดๆ แม้ว่าบนถนนทั่วไปในไทยอาจไม่สามารถดึงความเร็วสุดขีดของมันออกมาได้เต็มที่ แต่ถ้าได้ลงสนามแข่งอย่างบูรีรัมย์อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต 812 Superfast จะโชว์ฟอร์มได้อย่างเต็มสูบ แถมยังมาพร้อมดีไซน์แอโรไดนามิกและเทคโนโลยีพวงมาลัยหลังที่ช่วยให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงมีความมั่นคงและแม่นยำ ทำให้มันเป็นหนึ่งในรถระดับตำนานที่ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ สำหรับคนไทยการได้เป็นเจ้าของรถคันนี้ไม่ใช่แค่ได้ใช้พลังของซูเปอร์คาร์ระดับเทพ แต่ยังได้สัมผัสความหรูและความเร่าร้อนแบบฉบับเฟอร์รารี่ เพียงแต่เวลาขับบนถนนจริงต้องระวังกฎจราจรและสภาพถนนในไทยให้ดี จะได้ขับได้อย่างปลอดภัยและสนุกสุดเหวี่ยง
Q
แรงม้าของรถ Ferrari 812 Superfast มีเท่าใด
Ferrari 812 Superfast คือซูเปอร์คาร์สุดแรงที่มาพร้อมสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ขุมพลังใต้กระโปรงเป็นเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอทโมสเฟียร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดเกิน 340 กม./ชม. รุ่นนี้เป็นที่นิยมมากในตลาดรถซูเปอร์คาร์ของไทย โดยเฉพาะสำหรับการขับขี่บนทางด่วนรอบกรุงเทพฯ หรือสนามแข่ง สำหรับแฟนๆรถไทยแล้ว 812 Superfast ไม่เพียงเป็นตัวแทนของความปรารถนาในพลังอันสุดขั้วของเฟอร์รารี่เท่านั้น แต่ยังแสดงถึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของซูเปอร์คาร์อิตาลีผ่านการออกแบบเลย์เอาต์เครื่องยนต์ V12 หน้าและรูปทรงตัวรถที่ลื่นไหล แม้ในสภาพอากาศร้อนจัดของไทย ระบบระบายความร้อนและระบบช่วงล่างของรถคันนี้ก็ยังทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม มั่นใจได้ถึงความมั่นคงแม้ขับแบบสุดเหวี่ยง นอกจากนี้ Ferrari ยังมีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย พร้อมบริการหลังการขายที่ครบวงจร ทั้งการบริการประจำปีและการสนับสนุนทางเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เจ้าของรถสามารถสนุกไปกับการขับขี่ได้แบบไม่ต้องกังวล ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในรถซูเปอร์คาร์ 812 Superfast ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ไม่เพียงเพราะพลังที่เหนือชั้น แต่ยังรวมถึงการควบคุมที่แม่นยำและความหรูหราที่มาพร้อมกันในระดับสุดยอด
Q
Ferrari 812 Superfast มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเท่าไหร่ต่อ 100 กิโลเมตร?
Ferrari 812 Superfast เป็นรถซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูงที่ใช้เครื่องยนต์ V12 แบบแอทโมสเฟียริก ข้อมูลทางการระบุว่าอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงรวมอยู่ที่ประมาณ 15.7 ลิตร/100 กม. แต่ในสภาพการขับขี่จริงของไทย โดยเฉพาะเมื่อติดรถติดในกรุงเทพหรือขับแบบสปอร์ตบนทางด่วน ค่านี้อาจพุ่งไปถึง 18-22 ลิตร/100 กม. ซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อความแรงระดับสุดขั้ว ไม่ได้เน้นประหยัดน้ำมัน ด้วยเครื่องยนต์ 6.5 ลิตร V12 ที่ให้กำลังสูงถึง 800 แรงม้า จับคู่กับเกียร์คลัตช์คู่ 7 สปีด สำหรับเจ้าของรถในไทยแนะนำให้ใช้น้ำมันเบนซินคุณภาพสูงเกรด 95 ขึ้นไปและบำรุงรักษาเป็นประจำ แม้ว่าจะกินน้ำมันมากแต่ระบบเบรกคาร์บอนซีรามิกและเทคโนโลยีสตาร์ต-สตอปอัตโนมัติช่วยประหยัดได้บ้าง ข้อควรท้ายคือ ประเทศไทยมีอัตราภาษีที่สูงขึ้นสำหรับรุ่นปริมาตรความจุเกิน 3.0 ลิตร ซึ่งต้องพิจารณาต้นทุนการใช้งานอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อ
Q
Ferrari 812 เป็นการลงทุนที่ดีหรือไม่?
Ferrari 812 Superfast ในฐานะรถ GT สปอร์ตประสิทธิภาพสูง การจะลงทุนในตลาดไทยเหมาะหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ถ้าดูจากมูลค่าการเก็บสะสมและความต้องการในตลาด 812 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบสูบธรรมดา และสถานะการผลิตที่จำกัด ทำให้มันมีศักยภาพในการรักษามูลค่าได้ดีในแวดวงซูเปอร์คาร์ โดยเฉพาะในตลาดอย่างไทยที่ความต้องการรถหรูหายากยังค่อนข้างมั่นคง แต่ต้องระวังเรื่องสภาพอากาศของไทยที่อาจสร้างความท้าทายในการดูแลรถสปอร์ตสมรรถนะสูง เช่น ความร้อนและความชื้นที่อาจสร้างภาระเพิ่มให้กับเครื่องยนต์และระบบอิเล็กทรอนิกส์ การถือครองระยะยาวจึงต้องคำนวณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาให้ดี นอกจากนี้ภาษีนำเข้าที่สูงของไทยก็ส่งผลต่อราคาซื้อขายในตลาดมือสองด้วย ถ้าพูดถึงประสบการณ์การขับขี่ 812 ถือว่าจุดสมดุลระหว่างสมรรถนะบนสนามแข่งและความสบายในการใช้งานประจำวันได้ดี เหมาะกับการขับท่องเที่ยวเส้นทางพรีเมียมหรือใช้ในเมือง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับการลงทุนล้วนๆ แนะนำให้เจ้าที่รักการขับขี่จริงๆ เป็นผู้พิจารณา เพราะรถซูเปอร์คาร์มักมีค่าสึกหรอค่อนข้างเร็วในช่วงปีแรกๆ ยกเว้นจะเป็นรุ่นพิเศษที่ผลิตจำกัดจริงๆ โดยรวมแล้ว 812 เป็นรถที่รวมความเร้าใจและมูลค่าการสะสมไว้ด้วยกัน แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนในไทยควรประเมินทั้งค่าใช้จ่ายในการครอบครองและความต้องการส่วนตัวให้รอบด้าน
Q
Ferrari 812 Superfast เป็นรถใช้งานประจำวันหรือไม่
Ferrari 812 Superfast เป็นสปอร์ตคาร์ V12 สุดแรงแม้ว่าจะโดดเด่นในเรื่องสมรรถนะและการควบคุม แต่ก็ไม่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในสภาพเมืองแบบประเทศไทย คันนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอทโมสเฟียร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า ความเร็วสุดเกิน 340 กม./ชม. การออกแบบตัวถังต่ำและระบบช่วงล่างแข็งกระด้างเหมาะกับสนามแข่งหรือขับขี่วันหยุดมากกว่า แต่ในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ที่การจราจรติดขัด การหยุด-เดินบ่อยๆ และถนนแคบๆ จะทำให้ประสบการณ์การขับลดลงไปอีก นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง 12 Superfast ก็สูงมาก สภาพอากาศร้อนชื้นของไทยยังอาจสร้างภาระเพิ่มให้กับระบบระบายความร้อนและวัสดุภายในรถอีกด้วย ถ้าคิดจะใช้ในไทยเป็นประจำ รุ่น GT อย่าง โรม่า หรือ ปอร์โตฟีโน่ ของค่ายเดียวกันน่าจะเหมาะกว่า แม้สมรรถนะจะด้อยกว่าแต่ตอบโจทย์การขับขี่ในเมืองได้ดีกว่า ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีอากรขาเข้าสำหรับซูเปอร์คาร์ที่สูงมาก ทำให้ราคา 12 Superfast ในไทยพุ่งเกินประเทศอื่นๆ จนความคุ้มค่าในการใช้งานประจำลดลงไปอีก
Q
812 Superfast หรือ GTS อันไหนเร็วกว่า?
Ferrari 812 Superfast กับ GTS เมื่อพูดถึงความเร็วแล้ว 812 Superfast ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบสูบธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุด 800 แรงม้า เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. ถือเป็นรถฟอร์มหน้าขับเคลื่อนล้อหลังที่ทรงพลังที่สุดของเฟอร์รารีในตอนนี้ ส่วนรุ่น GTS ที่เป็นเวอร์ชันเปิดประทุนแม้จะมีสเปคเครื่องยนต์เหมือนกัน แต่ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากโครงสร้างเปิดประทุนและการปรับอากาศพลศาสตร์ ทำให้ประสิทธิภาพการเร่งด้อยกว่านิดหน่อย ใช้เวลาประมาณ 3 วินาทีในการเร่ง 0-100 กม./ชม. และความเร็วสูงสุดก็ต่ำกว่าเล็กน้อย ดังนั้นในด้านการเร่งและความเร็วสูง 812 Superfast จึงเหนือกว่า
ในสภาพอากาศร้อนของไทย ทั้งสองรุ่นต้องระวังเรื่องการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะรุ่น GTS ที่เมื่อขับด้วยความเร็วสูงในสภาพเปิดประทุนจะเจอกับแรงต้านลมมากขึ้น แนะนำให้ทดสอบสมรรถนะในสนามแข่งปิดเช่นทางด่วนรอบกรุงเทพหรือสนามแข่งที่ชลบุรี
นอกจากนี้เมืองไทยยังนิยมดัดแปลงรถซูเปอร์คาร์ แต่ต้องระวังกฎหมายเรื่องเสียงไอเสียและมลพิษ แนะนำให้ใช้การตั้งค่าตามโรงงานเพื่อประสิทธิภาพที่สมดุลที่สุด ทั้งสองรุ่นนี้ถือเป็นสุดยอดผลงานของเฟอร์รารีในด้านเครื่องยนต์ V12 หน้า เมื่อเลือกซื้อนอกจากความแรงแล้วต้องคำนึงถึงความเหมาะกับการใช้งานประจำวันด้วย รุ่น GTS ด้วยดีไซน์เปิดประทุนเหมาะกับการขับเลียบชายหาดของไทยมากกว่า
Q&A ล่าสุด
Q
Jaecoo J7 เติมน้ำมันเต็มถังวิ่งได้กี่กิโลเมตร?
สำหรับรถ SUV อย่าง Jaecoo J7 ที่ออกแบบมาสำหรับการเดินทางในเมือง ระยะทางเต็มถังจะขึ้นอยู่กับสภาพถนนในไทย นิสัยการขับขี่ และคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง โดยทั่วไปในสภาพการขับขี่แบบผสมผสานในเมือง ด้วยความจุถังเชื้อเพลิงประมาณ 50-55 ลิตร และประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันของเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5T คาดว่าระยะทางเต็มถังจะอยู่ที่ประมาณ 500-600 กิโลเมตร แต่แนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นทางการจากผลทดสอบมาตรฐาน TCOS ที่ประกาศในประเทศไทย สำหรับผู้ใช้ในไทย สภาพการจราจรที่ติดขัดบ่อยในกรุงเทพฯ อาจทำให้ระยะทางจริงน้อยกว่าที่ระบุไว้ ส่วนการขับขี่ทางไกลบนทางหลวงอาจประหยัดน้ำมันมากกว่า ข้อควรระวังคือในสภาพอากาศร้อนของไทย ควรตรวจสอบความแน่นหนาของระบบเชื้อเพลิงเป็นประจำเพื่อป้องกันปัญหาอากาศในท่อน้ำมันที่อาจส่งผลต่อระยะทาง และควรใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเกรด 95 ขึ้นไปเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของเครื่องยนต์ หากต้องการเพิ่มระยะทางให้มากขึ้น สามารถทำได้โดยรักษาความดันลมยางที่เหมาะสม (ในสภาพอากาศร้อนของไทยแนะนำให้ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 0.1-0.2 บาร์) และหลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องอย่างรุนแรง ซึ่งเทคนิคเหล่านี้สำคัญเป็นพิเศษเมื่อขับขี่ในพื้นที่ที่มีทางลาดชันเช่นเชียงใหม่หรือภูเขาที่ภูเก็ต
Q
ความเร็วสูงสุดของ JAECOO J7 คือเท่าไร?
JAECOO J7 เป็น SUV ที่เน้นสมรรถนะสปอร์ต ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 200 กม./ชม. ซึ่งถือว่าโดดเด่นในรุ่นเดียวกัน ช่วยตอบโจทย์คนไทยที่ชอบการขับขี่ความเร็วสูง ไม่ว่าจะเป็นบนทางด่วนรอบกรุงเทพฯ หรือเส้นทางคดเคี้ยวในเชียงใหม่ ก็ให้กำลังส่งที่มั่นคงได้อย่างดี เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 1.6T คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ไม่เพียงให้กำลังแรงเท่านั้น แต่ยังประหยัดน้ำมัน เหมาะสมกับสภาพถนนและการจราจรที่หลากหลายของไทย แถมยังมีโหมดขับขี่ให้เลือกหลากหลาย ทั้งโหมดสปอร์ต โหมดประหยัด และโหมดมาตรฐาน ช่วยให้ปรับการขับขี่ตามสภาพถนนได้อย่างคล่องตัว เพิ่มความสนุกในการขับขี่ อีกทั้งระบบระบายความร้อนที่ออกแบบมาอย่างมีประสิทธิภาพของ JAECOO J7 ยังช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพแม้ต้องขับเร็วเป็นเวลานานในสภาพอากาศร้อนของไทย สำหรับคนไทยที่มองหารถสมรรถนะดีแต่ยังคงความใช้งานได้จริง JAECOO J7 นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากความเร็วสูงแล้ว ยังมาพร้อมความปลอดภัยและความสบายที่ครบครัน
Q
Jaecoo 7 มีเบาะที่นั่งแบบปรับอุณหภูมิได้หรือไม่?
สำหรับรถ Jaecoo 7 นั้น ในข้อมูลสเปคอย่างเป็นทางการระบุว่ามีระบบทำความร้อนเบาะหน้าให้ในรุ่นท็อป ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่โดยเฉพาะเมื่อต้องไปในเขตพื้นที่ภูเขาที่อากาศเย็นหรือช่วงฤดูฝนของไทย แต่แนะนำให้ผู้ซื้อตรวจสอบสเปครุ่นที่เลือกซื้อกับตัวแทนจำหน่ายอีกครั้งเพราะแต่ละรุ่นอาจมีฟีเจอร์แตกต่างกัน ปัจจุบันระบบทำความร้อนเบาะถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถ SUV หลายรุ่น โดยเฉพาะรุ่นระดับพรีเมี่ยม หลักการทำงานคือใช้ลวดความร้อนที่ฝังในเบาะซึ่งสามารถทำให้ร้อนถึงอุณหภูมิที่เหมาะสมภายในไม่กี่นาที นอกจากนี้สำหรับคนไทยอาจจะสนใจฟีเจอร์เบาะระบายอากาศที่ช่วยเพิ่มความสบายในสภาพอากาศร้อนด้วย แนะนำให้ลองทดสอบการใช้งานจริงระหว่างทดลองขับรถ และพิจารณาตามความต้องการใช้งานรวมถึงงบประมาณที่มี เพราะฟีเจอร์เหล่านี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ได้อย่างมาก
Q
"ระยะทางไฟฟ้าบริสุทธิ์ของ Jaecoo 7 คือเท่าไหร่?
Jaecoo 7 เป็น SUV แบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ที่มาแรง ในโหมดไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ประมาณ 80-100 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองในไทยโดยเฉพาะ ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ เพราะการเดินทางระยะสั้นๆ ในเมืองใช้โหมดไฟฟ้าล้วนก็เพียงพอ ทั้งประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ต้องระวังเรื่องอากาศร้อนของไทยที่อาจส่งผลต่อแบตเตอรี่ แนะนำให้จอดรถในที่ร่มหรือใต้ตึกเพื่อรักษาประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ให้ดีที่สุด
ตอนนี้รถไฮบริดกำลังเป็นที่นิยมในไทย เพราะให้ความรู้สึกสงบเรียบเหมือนรถไฟฟ้า แถมยังไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จเวลาทำทางไกล โดยเฉพาะการเดินทางระหว่างเมืองอย่างจากกรุงเทพไปพัทยา โหมดไฮบริดจะช่วยลดการใช้น้ำมันได้มาก
ที่สำคัญ รัฐบาลไทยกำลังสนับสนุนรถพลังงานสะอาดอย่างเต็มที่ ถ้าซื้อ PHEV แบบ Jaecoo 7 ก็จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่วนสถานีชาร์จก็มีเพียบ ทั้งในห้างสรรพสินค้าและปั๊มน้ำมัน ถือเป็นข่าวดีสำหรับคนที่กำลังมองหารุ่นนี้อยู่
Q
Jaecoo 7 มีเบาะนั่งที่ปรับความจำได้หรือไม่?
สำหรับข้อมูลเรื่อง Jaecoo 7 ที่มีฟังก์ชันความจำตำแหน่งเบาะหรือไม่ ตอนนี้ข้อมูลทางการระบุว่ารุ่นท็อปมาพร้อมกับที่นั่งหน่วยความจำที่เบาะคนขับ สามารถบันทึกการตั้งค่าตำแหน่งได้หลายแบบ ช่วยให้ปรับท่านั่งได้รวดเร็วเมื่อเปลี่ยนคนขับ ซึ่งเหมาะมากสำหรับการใช้รถร่วมกันในครอบครัวใหญ่แบบบ้านเรา ส่วนมากแล้วฟังก์ชันนี้จะทำงานร่วมกับการปรับเบาะไฟฟ้าและปรับกระจกมองหลังอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายเวลาใช้รถ โดยเฉพาะคนที่ต้องสลับขับกันบ่อยๆ แถมในเมืองร้อนแบบไทย บางรุ่นแพ็คเกจสูงอาจมีระบบเชื่อมโยงกับแอร์ในรถ ให้ปรับทุกอย่างอัตโนมัติตามที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรก เวลาขึ้นรถมาก็เจอสภาพแวดล้อมที่สบายๆ แนะนำให้คนไทยที่สนใจเช็คข้อมูลสเปกแบบละเอียดในเว็บ Jaecoo ประเทศไทย หรือไม่ก็ไปทดลองขับที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน ฟังก์ชันนี้ช่วยเพิ่มความสบายเวลาเดินทางไกลได้ชัดเจน แต่ต้องดูให้ดีว่ารุ่นที่ซื้อมีระบบนี้หรือเปล่า เพราะแต่ละเวอร์ชันอาจต่างกัน อีกเรื่องที่ควรสนใจคือความทนทานของมอเตอร์ที่นั่งหน่วยความจำ และการใช้งานจริงในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบไทย ควรทดสอบให้แน่ใจว่าใช้ไปนานๆ แล้วยังทำงานลื่นไหลเหมือนเดิม
ดูเพิ่มเติมข่าวที่เกี่ยวข้อง

Ferrari เปิดตัวแชสซีและส่วนประกอบหลักของรุ่นไฟฟ้าล้วนรุ่นแรก Elettrica
AshleyOct 10, 2025

Ferrariเปิดตัว 296 Speciale ซูเปอร์คาร์ปลั๊กอินไฮบริด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 2.8 วิ
พงศธรApr 30, 2025

Ferrari รุ่นแข่งชั้นสูง 296 VS ซูเปอร์คาร์จะเดบิวต์ในวันที่ 29 เมษายน
LienApr 3, 2025

ภาพลับของผู้สืบทอด Ferrari Roma ถูกเปิดเผย! อาจจะปล่อยในปลายปี 2025 ระบบสลับโฮมที่เป็นจุดเด่น
สุรเดชNov 19, 2024

Ferrari F80 สะเทือนใจเปิดตัว : วางแผนที่จะสู้กับ McLaren W1
LienOct 18, 2024


ข้อดี
ข้อเสีย