Q

Ferrari 812 Superfast มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเท่าไหร่ต่อ 100 กิโลเมตร?

Ferrari 812 Superfast เป็นรถซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูงที่ใช้เครื่องยนต์ V12 แบบแอทโมสเฟียริก ข้อมูลทางการระบุว่าอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงรวมอยู่ที่ประมาณ 15.7 ลิตร/100 กม. แต่ในสภาพการขับขี่จริงของไทย โดยเฉพาะเมื่อติดรถติดในกรุงเทพหรือขับแบบสปอร์ตบนทางด่วน ค่านี้อาจพุ่งไปถึง 18-22 ลิตร/100 กม. ซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อความแรงระดับสุดขั้ว ไม่ได้เน้นประหยัดน้ำมัน ด้วยเครื่องยนต์ 6.5 ลิตร V12 ที่ให้กำลังสูงถึง 800 แรงม้า จับคู่กับเกียร์คลัตช์คู่ 7 สปีด สำหรับเจ้าของรถในไทยแนะนำให้ใช้น้ำมันเบนซินคุณภาพสูงเกรด 95 ขึ้นไปและบำรุงรักษาเป็นประจำ แม้ว่าจะกินน้ำมันมากแต่ระบบเบรกคาร์บอนซีรามิกและเทคโนโลยีสตาร์ต-สตอปอัตโนมัติช่วยประหยัดได้บ้าง ข้อควรท้ายคือ ประเทศไทยมีอัตราภาษีที่สูงขึ้นสำหรับรุ่นปริมาตรความจุเกิน 3.0 ลิตร ซึ่งต้องพิจารณาต้นทุนการใช้งานอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อ
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
ความเร็วสูงสุดของ Ferrari 812 Superfast คืออะไร
Ferrari 812 Superfast เป็นซูเปอร์คาร์ที่มาพร้อมกับสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. และความแรงจากเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอตโมสเฟียร์ ที่สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเพียง 2.9 วินาที แสดงถึงความเหนือชั้นของเทคโนโลยีด้านพลังขับและอากาศพลศาสตร์ของ Ferrari แม้ในไทยจะมีการจำกัดความเร็วบนทางด่วนที่ 120 กม./ชม. ทำให้ไม่สามารถดึงความเร็วสูงสุดของ 812 ซูเปอร์ฟาสต์ออกมาได้เต็มที่ แต่พลังอันเหลือล้นและการควบคุมที่แม่นยำก็ยังคงมอบประสบการณ์ขับขี่ที่สมบูรณ์แบบให้กับผู้ขับ ขณะที่ตลาดรถหรูในไทยให้ความสนใจกับแบรนด์ซูเปอร์คาร์อย่าง Ferrari เป็นอย่างมาก โดยเจ้าของรถหลายคนเลือกที่จะสัมผัสความเร็วสูงบนสนามแข่งหรือพื้นที่ปิด 812 ซูเปอร์ฟาสต์ไม่เพียงโดดเด่นด้วยสมรรถนะสุดล้ำ แต่ยังมาพร้อมดีไซน์อิตาเลียนสุดคลาสสิกและห้องโดยสารอันหรูหราที่ชนะใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ในไทย อย่างไรก็ตาม การขับรถสมรรถนะสูงนไทยจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย 812 ซูเปอร์ฟาสต์ถือเป็นสุดยอดเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่ในอนาคตมาตรฐานของซูเปอร์คาร์อาจถูกกำหนดใหม่ด้วยเทคโนโลยีรถไฟฟ้าที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
Q
ความแตกต่างระหว่าง Ferrari 812 Superfast และ GTS คืออะไร
ความแตกต่างหลักระหว่าง Ferrari 812 Superfast กับรุ่น GTS อยู่ที่การออกแบบหลังคา โดย 812 Superfast เป็นคูเป้หลังคาคงที่ ส่วนรุ่น GTS เป็นเวอร์ชันเปิดประทุนที่มีระบบหลังคาแบบพับได้ที่สามารถเปิด-ปิดได้ภายใน 14 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 45 กม./ชม. ทำให้ผู้ขับขี่ในสภาพอากาศร้อนของไทยสามารถเลือกที่จะรับแสงแดดหรือหาที่ร่มได้ตามใจชอบ ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์เบนซิน V12 6.5 ลิตรเท่ากัน ให้กำลังสูงถึง 800 แรงม้า แต่รุ่น GTS มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 75 กิโลกรัมจากโครงสร้างเสริมสำหรับระบบเปิดประทุน ทำให้ความเร็วสูงสุดลดลงเล็กน้อยเหลือ 340 กม./ชม. ซึ่งไม่ส่งผลมากนักกับการขับขี่ปกติในชีวิตประจำวัน สำหรับประเทศไทยแล้ว รุ่น GTS น่าจะได้รับความนิยมมากกว่าเพราะเหมาะทั้งกับการขับในเมืองที่การจราจรหนาแน่นและการขับเลียบชายทะเลเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาหรือหัวหิน ที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ได้มากกว่า ส่วนการตกแต่งภายในและเทคโนโลยีต่างๆในทั้งสองรุ่นแทบไม่ต่างกัน ล้วนใช้ระบบช่วยขับขี่สมัยใหม่และวัสดุหรูหราเหมือนกัน เพียงแต่รุ่น GTS มีการปรับปรุงระบบกันเสียงเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะกับการเป็นรถเปิดประทุน สำหรับคนไทยแล้ว การเลือกระหว่างสองรุ่นนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและสถานการณ์ใช้งานเป็นหลัก เพราะต้องยอมรับว่าการขับรถเปิดประทุนรับลมร้อนชื้นแบบไทยๆนั้นเป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน
Q
Ferrari 812 Superfast เปิดตัวเมื่อไหร่
Ferrari 812 ซูเปอร์ฟาสต์ เปิดตัวครั้งแรกในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ปี 2017 และวางจำหน่ายในปีเดียวกัน รุ่นนี้ถือเป็นรถยนต์ที่มาทดแทน F12berlinetta โดยติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบสูบธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. ซึ่งแสดงถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของ Ferrari ในด้านเครื่องยนต์แบบสูบธรรมชาติดั้งเดิม สำหรับตลาดไทย 812 Superfast ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักขับระดับสูงด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นและการออกแบบสไตล์อิตาเลียนที่โดดเด่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการขับขี่ในสนามแข่งมาตรฐานสูงรอบๆ กรุงเทพฯ หรือการสะสมเป็นรถส่วนตัว สำหรับคนไทยแล้ว รุ่นนี้ไม่เพียงเป็นตัวแทนของประสบการณ์การขับที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Ferrari ที่ยังคงพัฒนารถซูเปอร์คาร์ด้วยเครื่องยนต์ V12 แบบคลาสสิก แม้ว่าปัจจุบันเทรนด์รถไฟฟ้าจะมาแรง แต่ 812 Superfast ยังคงเป็นสุดยอดรถสปอร์ตเครื่องยนต์สันดาปที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ
Q
เครื่องยนต์ Ferrari 812 Superfast มีอะไร
Ferrari 812 Superfast ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอสพีเรต ที่ออกแบบด้วยมุมระนาบ 65 องศา ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดพีค 718 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์ 7 ความเร็วแบบ DUAL-CLUTCH เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 340 กม./ชม. แสดงถึงสุดยอดเทคโนโลยีเครื่องยนต์แอสพีเรตของ Ferrari เครื่องยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมระบบปรับเปลี่ยนรูปทรงท่อไอดีและระบบจัดการแรงบิดแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยให้การขับขี่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพการขับขี่ สำหรับแฟนๆรถไทย แม้ 812 Superfast อาจจะยากที่จะดึงประสิทธิภาพออกมาได้เต็มที่บนถนนเมืองไทย แต่เสียงเครื่องที่ดุดันและประสบการณ์การขับที่สมบูรณ์แบบก็ยังเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เครื่องยนต์แอสพีเรตให้ความรู้สึกการเร่งแบบลื่นไหลและเสียงเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ในรอบสูง ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ Ferrari ยังคงยึดมั่นกับเครื่องยนต์แอสพีเรตขนาดใหญ่ นอกจากนี้ เทคโนโลยีเครื่องยนต์ของ 812 Superfast ยังแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Ferrari ที่มีต่อระบบขับเคลื่อนแบบดั้งเดิม แม้ในยุคที่รถไฟฟ้ากำลังมาแรง แต่เครื่องยนต์แบบนี้ก็ยังคงเป็นสุดยอดแห่งเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน
Q
Ferrari 812 Superfast มีความเร็วเท่าไหร่
Ferrari 812 Superfast คือซูเปอร์คาร์ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอสไพรัลธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. รุ่นนี้เป็นที่จับตามองในตลาดรถหรูของไทย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบความมันส์แบบสุดๆ แม้ว่าบนถนนทั่วไปในไทยอาจไม่สามารถดึงความเร็วสุดขีดของมันออกมาได้เต็มที่ แต่ถ้าได้ลงสนามแข่งอย่างบูรีรัมย์อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต 812 Superfast จะโชว์ฟอร์มได้อย่างเต็มสูบ แถมยังมาพร้อมดีไซน์แอโรไดนามิกและเทคโนโลยีพวงมาลัยหลังที่ช่วยให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงมีความมั่นคงและแม่นยำ ทำให้มันเป็นหนึ่งในรถระดับตำนานที่ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ สำหรับคนไทยการได้เป็นเจ้าของรถคันนี้ไม่ใช่แค่ได้ใช้พลังของซูเปอร์คาร์ระดับเทพ แต่ยังได้สัมผัสความหรูและความเร่าร้อนแบบฉบับเฟอร์รารี่ เพียงแต่เวลาขับบนถนนจริงต้องระวังกฎจราจรและสภาพถนนในไทยให้ดี จะได้ขับได้อย่างปลอดภัยและสนุกสุดเหวี่ยง
Q
แรงม้าของรถ Ferrari 812 Superfast มีเท่าใด
Ferrari 812 Superfast คือซูเปอร์คาร์สุดแรงที่มาพร้อมสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ขุมพลังใต้กระโปรงเป็นเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอทโมสเฟียร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดเกิน 340 กม./ชม. รุ่นนี้เป็นที่นิยมมากในตลาดรถซูเปอร์คาร์ของไทย โดยเฉพาะสำหรับการขับขี่บนทางด่วนรอบกรุงเทพฯ หรือสนามแข่ง สำหรับแฟนๆรถไทยแล้ว 812 Superfast ไม่เพียงเป็นตัวแทนของความปรารถนาในพลังอันสุดขั้วของเฟอร์รารี่เท่านั้น แต่ยังแสดงถึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของซูเปอร์คาร์อิตาลีผ่านการออกแบบเลย์เอาต์เครื่องยนต์ V12 หน้าและรูปทรงตัวรถที่ลื่นไหล แม้ในสภาพอากาศร้อนจัดของไทย ระบบระบายความร้อนและระบบช่วงล่างของรถคันนี้ก็ยังทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม มั่นใจได้ถึงความมั่นคงแม้ขับแบบสุดเหวี่ยง นอกจากนี้ Ferrari ยังมีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย พร้อมบริการหลังการขายที่ครบวงจร ทั้งการบริการประจำปีและการสนับสนุนทางเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เจ้าของรถสามารถสนุกไปกับการขับขี่ได้แบบไม่ต้องกังวล ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในรถซูเปอร์คาร์ 812 Superfast ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ไม่เพียงเพราะพลังที่เหนือชั้น แต่ยังรวมถึงการควบคุมที่แม่นยำและความหรูหราที่มาพร้อมกันในระดับสุดยอด
Q
812 Superfast ถูกยุติการผลิตหรือไม่?
Ferrari 812 Superfast ในฐานะรถ GT สุดเริ่ดของค่ายที่ยังใช้เครื่องยนต์ V12 แบบวางหน้าต่อมาถึงยุคสิ้นสุดการผลิตอย่างเป็นทางการในปี 2023 เป็นผลมาจากการทำซ้ำตามธรรมชาติของสายผลิตภัณฑ์ Ferrari โดยมีรุ่นใหม่ๆ อย่าง Roma Spider ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบใหม่เข้ามาแทนที่ตำแหน่งในตลาด ส่วนในตลาดไทย 812 Superfast เป็นที่นิยมในหมู่คอลเลกเตอร์รถสปอร์ตสมรรถนะสูง ด้วยเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบสไตล์การดูดซึมโดยธรรมชาติ (789 แรงม้า) และการออกแบบคลาสสิกแบบ FR (เครื่องหน้า-ขับหลัง) ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ อาจจะยังพอเห็นตัวเป็นๆ ได้ตามโชว์รูมรถมือสองระดับพรีเมียมหรืองานชุมนุมรถเป็นครั้งคราว แต่ต้องยอมรับว่ากฎหมายไทยมีการเก็บภาษีรถยนต์ขนาดเกิน 3.0 ลิตรในอัตราสูง (บางกรณีถึง 50%) ทำให้ราคารถซูเปอร์คาร์เครื่องใหญ่แบบนี้ในไทยพุ่งไปเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับตลาดโลก คนไทยที่อยากเป็นเจ้าของจึงมักใช้วิธีนำเข้าชั่วคราวผ่านเขตปลอดอากรหรือเลือกรับบริการเช่าสั้นๆ แทน สำหรับแฟนๆ Ferrari ในเมืองไทย รุ่นใหม่ๆ อย่าง F8 ทริบิวโต้ หรือ 296 GTB ที่ใช้ระบบไฮบริดอาจจะตอบโจทย์มากกว่า เพราะยังคงความแรงแต่ปรับตัวเข้ากับสภาพการจราจรติดขัดและกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทยได้ดีกว่า
Q
Ferrari 812 เป็นการลงทุนที่ดีหรือไม่?
Ferrari 812 Superfast ในฐานะรถ GT สปอร์ตประสิทธิภาพสูง การจะลงทุนในตลาดไทยเหมาะหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ถ้าดูจากมูลค่าการเก็บสะสมและความต้องการในตลาด 812 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบสูบธรรมดา และสถานะการผลิตที่จำกัด ทำให้มันมีศักยภาพในการรักษามูลค่าได้ดีในแวดวงซูเปอร์คาร์ โดยเฉพาะในตลาดอย่างไทยที่ความต้องการรถหรูหายากยังค่อนข้างมั่นคง แต่ต้องระวังเรื่องสภาพอากาศของไทยที่อาจสร้างความท้าทายในการดูแลรถสปอร์ตสมรรถนะสูง เช่น ความร้อนและความชื้นที่อาจสร้างภาระเพิ่มให้กับเครื่องยนต์และระบบอิเล็กทรอนิกส์ การถือครองระยะยาวจึงต้องคำนวณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาให้ดี นอกจากนี้ภาษีนำเข้าที่สูงของไทยก็ส่งผลต่อราคาซื้อขายในตลาดมือสองด้วย ถ้าพูดถึงประสบการณ์การขับขี่ 812 ถือว่าจุดสมดุลระหว่างสมรรถนะบนสนามแข่งและความสบายในการใช้งานประจำวันได้ดี เหมาะกับการขับท่องเที่ยวเส้นทางพรีเมียมหรือใช้ในเมือง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับการลงทุนล้วนๆ แนะนำให้เจ้าที่รักการขับขี่จริงๆ เป็นผู้พิจารณา เพราะรถซูเปอร์คาร์มักมีค่าสึกหรอค่อนข้างเร็วในช่วงปีแรกๆ ยกเว้นจะเป็นรุ่นพิเศษที่ผลิตจำกัดจริงๆ โดยรวมแล้ว 812 เป็นรถที่รวมความเร้าใจและมูลค่าการสะสมไว้ด้วยกัน แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนในไทยควรประเมินทั้งค่าใช้จ่ายในการครอบครองและความต้องการส่วนตัวให้รอบด้าน
Q
Ferrari 812 Superfast เป็นรถใช้งานประจำวันหรือไม่
Ferrari 812 Superfast เป็นสปอร์ตคาร์ V12 สุดแรงแม้ว่าจะโดดเด่นในเรื่องสมรรถนะและการควบคุม แต่ก็ไม่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในสภาพเมืองแบบประเทศไทย คันนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอทโมสเฟียร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า ความเร็วสุดเกิน 340 กม./ชม. การออกแบบตัวถังต่ำและระบบช่วงล่างแข็งกระด้างเหมาะกับสนามแข่งหรือขับขี่วันหยุดมากกว่า แต่ในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ที่การจราจรติดขัด การหยุด-เดินบ่อยๆ และถนนแคบๆ จะทำให้ประสบการณ์การขับลดลงไปอีก นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง 12 Superfast ก็สูงมาก สภาพอากาศร้อนชื้นของไทยยังอาจสร้างภาระเพิ่มให้กับระบบระบายความร้อนและวัสดุภายในรถอีกด้วย ถ้าคิดจะใช้ในไทยเป็นประจำ รุ่น GT อย่าง โรม่า หรือ ปอร์โตฟีโน่ ของค่ายเดียวกันน่าจะเหมาะกว่า แม้สมรรถนะจะด้อยกว่าแต่ตอบโจทย์การขับขี่ในเมืองได้ดีกว่า ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีอากรขาเข้าสำหรับซูเปอร์คาร์ที่สูงมาก ทำให้ราคา 12 Superfast ในไทยพุ่งเกินประเทศอื่นๆ จนความคุ้มค่าในการใช้งานประจำลดลงไปอีก
Q
812 Superfast หรือ GTS อันไหนเร็วกว่า?
Ferrari 812 Superfast กับ GTS เมื่อพูดถึงความเร็วแล้ว 812 Superfast ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบสูบธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุด 800 แรงม้า เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. ถือเป็นรถฟอร์มหน้าขับเคลื่อนล้อหลังที่ทรงพลังที่สุดของเฟอร์รารีในตอนนี้ ส่วนรุ่น GTS ที่เป็นเวอร์ชันเปิดประทุนแม้จะมีสเปคเครื่องยนต์เหมือนกัน แต่ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากโครงสร้างเปิดประทุนและการปรับอากาศพลศาสตร์ ทำให้ประสิทธิภาพการเร่งด้อยกว่านิดหน่อย ใช้เวลาประมาณ 3 วินาทีในการเร่ง 0-100 กม./ชม. และความเร็วสูงสุดก็ต่ำกว่าเล็กน้อย ดังนั้นในด้านการเร่งและความเร็วสูง 812 Superfast จึงเหนือกว่า ในสภาพอากาศร้อนของไทย ทั้งสองรุ่นต้องระวังเรื่องการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะรุ่น GTS ที่เมื่อขับด้วยความเร็วสูงในสภาพเปิดประทุนจะเจอกับแรงต้านลมมากขึ้น แนะนำให้ทดสอบสมรรถนะในสนามแข่งปิดเช่นทางด่วนรอบกรุงเทพหรือสนามแข่งที่ชลบุรี นอกจากนี้เมืองไทยยังนิยมดัดแปลงรถซูเปอร์คาร์ แต่ต้องระวังกฎหมายเรื่องเสียงไอเสียและมลพิษ แนะนำให้ใช้การตั้งค่าตามโรงงานเพื่อประสิทธิภาพที่สมดุลที่สุด ทั้งสองรุ่นนี้ถือเป็นสุดยอดผลงานของเฟอร์รารีในด้านเครื่องยนต์ V12 หน้า เมื่อเลือกซื้อนอกจากความแรงแล้วต้องคำนึงถึงความเหมาะกับการใช้งานประจำวันด้วย รุ่น GTS ด้วยดีไซน์เปิดประทุนเหมาะกับการขับเลียบชายหาดของไทยมากกว่า

ข้อดี

สวยงามตามภายนอก มีเส้นริมที่เรียบเนียน แก้ไขสไตล์แบบด่วน ไฟ LED ติดตั้งอยู่ในช่องดูดอากาศด้านหน้า ไฟท้ายแบบกลมมีลักษณะเฉพาะ
ส่วนภายในมีสไตล์กีฬา เสน่ห์ของการประสานแนวและตำแหน่งปุ่ม ผสมผสานความรุ่งเรืองของการแข่งขันกับความสง่างาม หน้าปัดกว้าง ที่นั่งเหมาะสมกับร่างกาย มีสิ่งของที่เย็บด้วยเส้นสีแดงและวัสดุ Alcantara ช่วยเพิ่มบรรยากาศของกีฬา
เครื่องยนต์ V12 ความจุ 6.5 ลิตร สมรรถนะ 800 แรงม้า แรงบิด 718 นิวตันเมตร ฉีดโดยตรงที่ความดันสูง เปลี่ยนแผงจมูกที่แปรผัน การตอบสนองในการเร่งรถ
เกียร์ F1 ความเร็ว 7 ổสองระบบการซีกกล่อง เทคโนโลยีจาก F1 ปรับสัดส่วนการขับเคลื่อน ตอบสนองรวดเร็วจอควบคุม
ติดตั้งเครื่องยนต์ด้านหน้า พื้นที่สำหรับบรรจุของมากกว่ารถ Ferrari รุ่นอื่นๆ

ข้อเสีย

ราคาสูง ถึง 30,800,000 บาท ราคาเวอร์ชั่นที่เลือก 31,500,000 บาท
ศูนย์บริการหลังการขายน้อย มีเพียงหนึ่งแห่ง ลูกค้านอกเมืองอาจจะไม่สะดวกในการซ่อมบำรุง
อุปกรณ์และบริการแพง วัสดุ อุปกรณ์และกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพสูง ทำให้ค่าใช้จ่ายสูง
อัตราการใช้น้ำมันสูง การใช้น้ำมันต่อร้อยกิโลเมตรจากทางการ 6.7 ลิตร ในความเป็นจริงประมาณ 4.0 ลิตร

Q&A ล่าสุด

Q
Lexus NX ใช้ประเภทนํ้ามันประเภทใด
สำหรับรถ Lexus NX ในตลาดไทย แนะนำให้ใช้เบนซิน 95 หรือสูงกว่านั้นเป็นหลัก เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมันมากที่สุด แม้ว่ารุ่นบางรุ่นจะรองรับแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ แต่การใช้ในระยะยาวอาจส่งผลต่อกำลังเครื่องและประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน ดังนั้นควรเลือกเบนซิน 95 เป็นตัวเลือกแรก สภาพอากาศร้อนของไทยต้องการการระบายความร้อนของเครื่องยนต์และความเสถียรของน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับสูง การใช้เบนซินเลขสูงจะช่วยลดความเสี่ยงการน็อคของเครื่องยนต์ นอกจากนี้เทคโนโลยี D-4S ของ Lexus ยังออกแบบมาให้เข้ากับคุณภาพน้ำมันที่พบทั่วไปในไทย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแก๊สโซฮอล์ E85 จะหาซื้อได้ทั่วไปในไทย แต่ Lexus NX ไม่รองรับการใช้น้ำมันประเภทนี้ การใช้ E85 อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ และที่สำคัญ ในไทยมีบริการเติมสารเติมแต่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่บางปั๊ม แนะนำให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดระบบเชื้อเพลิงที่ผู้ผลิตแนะนำเป็นประจำ เพื่อช่วยจัดการกับปัญหาสิ่งเจือปนในน้ำมันเชื้อเพลิงท้องถิ่น
Q
Lexus NX รุ่นใหม่จะวางจำหน่ายเมื่อไหร่
จากข้อมูลล่าสุด รุ่นใหม่ของ Lexus NX คาดว่าจะวางจำหน่ายในตลาดประเทศไทยภายในปี 2024 โดยวันเวลาอาจมีการปรับเปลี่ยนตามกลยุทธ์การตลาดและสถานการณ์ห่วงโซ่อุปทานของท้องถิ่น แนะนำให้ติดตามข้อมูลอัปเดตผ่านทางเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Lexus ประเทศไทยหรือตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต รุ่นใหม่นี้คาดว่าจะยังคงดีไซน์ภาษาการออกแบบของตระกูล Lexus พร้อมอัปเกรดเทคโนโลยีอัจฉริยะและระบบไฮบริด เช่น อาจติดตั้งระบบความปลอดภัย LSS+ ที่ทันสมัยยิ่งขึ้นและตัวเลือกระบบไฮบริดที่ได้รับการปรับปรุง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี ตลาดไทยมีความต้องการ SUV สูง โดยเฉพาะรุ่นกลางจากแบรนด์หรู Lexus NX ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมในเซ็กเมนต์นี้ ด้วยความน่าเชื่อถือของแบรนด์และประสบการณ์การขับขี่ที่เน้นความสบาย ในประเทศไทย Lexus ยังมีเครือข่ายบริการหลังการขายที่ครอบคลุม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ลูกค้าหลายคนนำมาพิจารณา หากสนใจรถรุ่นนี้ สามารถจองทดลองขับล่วงหน้าเพื่อสัมผัสสมรรถนะและความสะดวกสบายด้วยตัวเอง พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับรุ่นระดับเดียวกันอย่าง BMW X3 หรือ Mercedes-Benz GLC เพื่อประกอบการตัดสินใจที่รอบด้าน
Q
Lexus NX รุ่นไหนเทียบเท่ากัน?
ในตลาดรถยนต์ไทย รุ่นที่เทียบเท่ากับ Lexus NX ซึ่งเป็นแบรนด์หรูภายใต้โตโยต้าคือ Toyota Harrier ทั้งสองคันนี้ใช้แพลตฟอร์ม TNGA-K เดียวกัน มีเทคโนโลยีช่วงล่างและระบบส่งกำลังที่คล้ายคลึงกัน แต่ Lexus NX จะโดดเด่นกว่าในเรื่องความหรูหรา วัสดุภายใน และภาพลักษณ์แบรนด์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การขับขี่ระดับพรีเมียม ส่วน Harrier นั้นราคาจับต้องง่ายกว่าและเน้นความประหยัดคุ้มค่า สำหรับคนไทยแล้ว Harrier เป็นที่นิยมในตลาด หาซ่อมบำรุงก็สะดวก ส่วน Lexus NX เหมาะกับผู้มีงบประมาณพอสมควรและให้ความสำคัญกับมูลค่าของแบรนด์ ที่น่าสนใจคือตลาดไทยมีความต้องการรถ SUV เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง Harrier และ NX มีรุ่น Hybrid ให้เลือก ซึ่งเป็นตัวช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีในภาวะที่ราคานํ้ามันค่อนข้างสูง แถมยังได้สิทธิ์ลดภาษีจากรัฐบาลไทยสำหรับรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นเวลาจะเลือกซื้อก็ลองเปรียบเทียบความต้องการและงบประมาณของตัวเองดู
Q
Mitsubishi Mirage มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเท่าไหร่
รถยนต์มิราจของ Mitsubishi ถือเป็นรุ่นที่ประหยัดน้ำมันมากในตลาดเมืองไทย โดยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะแตกต่างกันไปตามปีของรุ่นและสภาพการขับขี่ แต่โดยทั่วไปรุ่นเครื่องยนต์ 1.2L แบบดูดธรรมดาคู่กับเกียร์ CVT จะกินน้ำมันประมาณ 5.5-6.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในเมือง ส่วนเวลาวิ่งทางหลวงจะลดลงเหลือประมาณ 4.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร แต่จริงๆ แล้วตัวเลขนี้ยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับ สภาพถนน และการดูแลรถอีกด้วย คนไทยให้ความสำคัญกับเรื่องประหยัดน้ำมันมากเพราะเกี่ยวพันกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จุดเด่นของ Mirage ที่ประหยัดน้ำมันทำให้มันเหมาะมากกับการใช้งานในเมืองติดขัดอย่างกรุงเทพฯ ที่น่าสนใจคือมาตรการส่งเสริมรถประหยัดพลังงานของรัฐบาลไทย (เช่น การลดภาษีสรรพสามิต) ก็ทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น ถ้าอยากให้ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม แนะนำให้บริการรักษารถตามกำหนด (เช่น เปลี่ยนไส้กรองอากาศ ใช้น้ำมันเครื่องความหนืดเหมาะสม) รักษาลมยางให้พอดี และหลีกเลี่ยงการเหยียบกระชากหรือเบรกกระทันหัน เทคนิคเหล่านี้จะช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้อีกเยอะ ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล์แบบต่างๆ ที่มีขายในปั๊มเมืองไทย (เช่น แก๊สโซฮอล์ 91/95) ก็ควรเลือกใช้ตามที่ผู้ผลิตแนะนำเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด
Q
รถ Mitsubishi Mirage ที่ผลิตอยู่ในประเทศใด
ปัจจุบัน Mitsubishi Mirage ถูกผลิตในประเทศไทยที่โรงงาน Mitsubishi Motors Thailand จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานการผลิตสำคัญของ Mitsubishi Motors ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย Mirage ที่ผลิตที่นี่ไม่เพียงแต่จัดจำหน่ายในตลาดไทย แต่ยังส่งออกไปยังประเทศรอบข้างอีกด้วย Mirage เป็นรถยนต์ขนาดเล็กประเภทประหยัดน้ำมัน ที่ได้รับความนิยมในไทยสำหรับการเดินทางในเมือง ด้วยจุดเด่นเรื่องความประหยัดน้ำมัน ความคล่องตัว และราคาที่คุ้มค่า โดยเฉพาะในสภาพการจราจรที่ติดขัดอย่างเช่นในกรุงเทพฯ รุ่นที่ผลิตในประเทศไทยมักติดตั้งเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 3 สูบร่วมกับเกียร์ CVT ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการเรื่องประหยัดน้ำมันของคนไทยได้ดี ที่น่าสนใจคือประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ดึงดูดแบรนด์รถยนต์ระดับโลกหลายเจ้ามาตั้งโรงงาน การผลิต Mirage ในไทยของ Mitsubishi ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่บริษัทให้กับตลาดไทย นอกจากนี้รถที่ผลิตในไทยยังมีมาตรฐานการผลิตและคุณภาพที่เทียบเท่าระดับสากล ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ อีกปัจจัยที่ทำให้ Mirage ได้เปรียบในตลาดคือนโยบายลดภาษีของรัฐบาลไทยสำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้รถขนาดเล็กอย่าง Mirage มีความน่าสนใจและแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น
ดูเพิ่มเติม