Q

CLA สีไหนสวยที่สุด?

CLA มีสีให้เลือกหลากหลาย ซึ่งแต่ละสีก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยสีที่ "ดีที่สุด" นั้นขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล หากคุณต้องการความเรียบหรูดูสง่า สีดำและสีขาวเป็นตัวเลือกที่ดี โดยสีดำให้ความรู้สึกมั่นคงและลึกลับ ส่วนสีขาว則ดูสะอาดและบริสุทธิ์ สำหรับ CLA 200 รุ่นใหม่ที่มีเส้นสายโค้งมนนั้นสีขาวได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ส่วนใครที่ชอบสีสันสดใสโดดเด่น อาจพิจารณาสีแดง สีน้ำเงิน หรือสีเหลือง ตัวอย่างเช่น Mercedes-Benz CLA 45 AMG ที่เปลี่ยนสีเป็นเหลืองไฟฟ้า จะให้ความรู้สึกมีพลังเยาวชนและดูโดดเด่นเป็นอย่างมากในกลุ่มรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีสีอื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย เช่น ดำจักรวาล เงินขั้วโลก แดงจูปิเตอร์ น้ำเงินจักรวาล ขาวขั้วโลก และเทาภูเขา เป็นต้น ในจำนวนนี้สีเทาภูเขาให้ความรู้สึกเรียบง่ายและเป็นประโยชน์ ดูสง่าและไม่แสดงคราบสกปรกได้ง่าย ทำให้ดูแลรักษาในชีวิตประจำวันได้สะดวก ส่วนสีขาวขั้วโลก則ดูสง่างามและคลาสสิก ให้ความรู้สึกมั่นใจในตัวเองและยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำคืนอีกด้วย
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
คลาส CLA ไหนเร็วที่สุด?
ในกลุ่มรถยนต์รุ่น CLA-Class รุ่นที่เร็วที่สุดคือ CLA 45 AMG 4MATIC ซึ่งสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถคันนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาดความจุ 1,991 มิลลิลิตร และใช้ระบบเกียร์ธรรมดา (MT) ความเร็วระดับนี้สะท้อนถึงสมรรถนะด้านกำลังที่ยอดเยี่ยม ทำให้สามารถเร่งความเร็วได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการใช้งานในสถานการณ์ที่ต้องการแรงเร่ง เช่น การเร่งแซงหรือการขับขี่บนทางด่วน อย่างไรก็ตาม ความเร็วสูงก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ผู้ขับขี่จำเป็นต้องมีทักษะและการตอบสนองที่ดี รวมถึงต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
Q
CLA ตรงกับ A-Class หรือไม่?
CLA กับ A-Class ไม่ใช่รถที่เทียบเท่ากันโดยตรง ด้านขุมพลัง บางรุ่นของ CLA มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งให้กำลังสูงสุดและแรงบิดมากกว่ารุ่น A-Class ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กกว่า ส่งผลให้ CLA มีอัตราเร่งและการตอบสนองด้านสมรรถนะที่เหนือกว่า ในส่วนของยาง CLA มักติดตั้งยางขนาดกว้างกว่า เช่น 225/45R18 ขณะที่ A-Class ใช้ยางที่แคบกว่า เช่น 205/60R16 ซึ่งส่งผลต่อการยึดเกาะถนนและความมั่นคงของตัวรถ ด้านขนาดตัวถัง CLA มีเส้นสายภายนอกที่ยาวและเพรียวกว่าชัดเจน บางรุ่นมีความยาวและความกว้างมากกว่า A-Class เล็กน้อย ทำให้ดูสปอร์ตและโฉบเฉี่ยว ส่วน A-Class มีขนาดที่กระชับกว่า การจัดสรรพื้นที่ภายในจึงอาจเน้นความคุ้มค่าและการใช้งานที่หลากหลายมากกว่า สำหรับภายในห้องโดยสาร CLA มาพร้อมเบาะนั่งหนังแท้ พร้อมหลังคาพาโนรามาแบบเปิดได้ เสริมความหรูหรา ในขณะที่ A-Class ใช้เบาะวัสดุผสมหนังและหนังกลับ พร้อมหลังคาซันรูฟแบบแบ่งส่วน ซึ่งให้ความรู้สึกทันสมัยและเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นความเป็นวัยรุ่นมากกว่า กล่าวโดยสรุป ทั้งสองรุ่นมีจุดเด่นเฉพาะตัว ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามความต้องการและรสนิยมส่วนบุคคล
Q
CLA หรือ A-class ขนาดใหญ่กว่า?
เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง Mercedes-Benz CLA-Class กับ A-Class จะพบว่า CLA-Class มีขนาดบางด้านที่ใหญ่กว่า โดย CLA-Class มีความยาวตัวถังประมาณ 4,630–4,695 มม. ความกว้างประมาณ 1,830 มม. ความสูงประมาณ 1,422–1,435 มม. และระยะฐานล้อ 2,699 มม. ส่วน A-Class มีความยาวตัวถังประมาณ 4,622 มม. ความกว้างประมาณ 1,796 มม. ความสูงประมาณ 1,454 มม. และระยะฐานล้อ 2,729 มม. จากตัวเลขจะเห็นว่า CLA-Class มีความยาวและความกว้างมากกว่า ทำให้ดูโดดเด่นและหรูหรามากขึ้นในแง่ของภาพลักษณ์ภายนอก อย่างไรก็ตาม A-Class กลับมีระยะฐานล้อยาวกว่า ซึ่งในทางทฤษฎีหมายถึงพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังอาจดีกว่า แต่ในทางปฏิบัติ ความสบายในการโดยสารยังขึ้นอยู่กับการออกแบบเบาะนั่งและรูปทรงภายในห้องโดยสาร ดังนั้น เมื่อตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ ควรพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น สมรรถนะ อุปกรณ์มาตรฐาน ความประหยัดน้ำมัน และความเหมาะสมกับการใช้งานจริง เพื่อให้ได้รถที่ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด
Q
CLA เป็นคลาส A หรือคลาส C?
CLA-Class จัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์ขนาด A-Segment หรือรถยนต์ขนาดเล็กพรีเมียม โดยการจัดแบ่งประเภทของรถยนต์มักพิจารณาจากพารามิเตอร์หลักอย่างระยะฐานล้อ ขนาดตัวถัง และความจุเครื่องยนต์ ซึ่งสำหรับรถยนต์กลุ่ม A-Segment โดยทั่วไปจะมีความยาวตัวถังประมาณ 4.3–4.79 เมตร ฐานล้ออยู่ที่ 2.35–2.79 เมตร และความจุเครื่องยนต์อยู่ระหว่าง 1.4–2.0 ลิตร Mercedes-Benz CLA มีขนาดตัวถังประมาณ 4,654 × 1,777 × 1,413 มม. และระยะฐานล้อ 2,699 มม. มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.6 ลิตร และ 2.0 ลิตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ของรถกลุ่ม A-Segment อย่างชัดเจน นอกจากนี้ หากพิจารณาจากระบบการตั้งชื่อของ Mercedes-Benz ตัวอักษร "CL" หมายถึงรถคูเป้ 4 ประตู ส่วน "A" ในชื่อ CLA สะท้อนถึงการเป็นสมาชิกในตระกูล A-Class ซึ่งถือเป็นกลุ่มรถยนต์ระดับเริ่มต้นของแบรนด์ เมื่อเทียบกับ C-Class ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลาง (D-Segment) โดยทั่วไปมีฐานล้อ 2.6–2.8 เมตร และเครื่องยนต์ขนาด 2.3–3.0 ลิตร จะเห็นได้ว่า CLA มีขนาดและขุมพลังที่เล็กกว่าอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม CLA มีจุดเด่นด้านดีไซน์ที่แตกต่าง โดยยึดโครงสร้างพื้นฐานจาก A-Class แต่เพิ่มความสปอร์ตด้วยประตูแบบไร้กรอบ เส้นหลังคาแบบลาด และบุคลิกแบบคูเป้ ทำให้มีเอกลักษณ์เฉพาะในกลุ่มรถระดับเริ่มต้นของ Mercedes-Benz แม้จะเน้นความหรูหราและความสปอร์ตมากขึ้น แต่ตามเกณฑ์การจัดประเภทแล้ว CLA ยังจัดเป็นรถยนต์ในกลุ่ม A-Segment
Q
Mercedes CLA รุ่นไหนดีที่สุด?
รถในซีรีส์ Mercedes CLA แต่ละรุ่นมีจุดเด่นเฉพาะตัว จึงไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่ารุ่นไหน “ดีที่สุด” เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน CLA-Class 200 Urban ราคา THB 2,140,000 ความเร็วสูงสุด 230 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 7.9 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 8.1 ลิตร/100 กม. เหมาะกับคนที่อยากได้สมรรถนะระดับหนึ่งแต่มีงบจำกัด CLA-Class 180 Urban ราคา THB 2,390,000 ความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม. เร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 10.3 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยเพียง 5.3 ลิตร/100 กม. ถ้าเน้นความประหยัดน้ำมัน รุ่นนี้ตอบโจทย์ CLA-Class 250 AMG Dynamic ราคา THB 2,690,000 ความเร็วสูงสุด 230 กม./ชม. เร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 7.1 วินาที น้ำหนักรถ 1,505 กก. มี 5 ที่นั่ง ทั้งแรงและใช้งานได้จริง ส่วน CLA-Class 45 AMG 4MATIC ตัวท็อปราคา THB 5,990,000 ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเพียง 4.6 วินาที ให้สมรรถนะระดับสูง เหมาะกับคนที่ต้องการพลังเต็มขั้นและงบไม่ใช่ปัญหา โดยรวมแล้ว ควรเลือกตามงบ ความต้องการด้านแรงม้า และการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
Q
รุ่นไหนเร็วกว่ากันระหว่าง CLA กับ C300?
Mercedes-Benz CLA250 และ C300 เป็นรถหรูที่มีสมรรถนะยอดเยี่ยมทั้งคู่ แต่ในแง่ของอัตราเร่งจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย โดยตามข้อมูลจากผู้ผลิต CLA250 4MATIC ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ประมาณ 6.3 วินาที ส่วน C300 4MATIC ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเท่ากันแต่ปรับจูนให้แรงกว่า สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 5.9 วินาที จึงทำให้ C300 เหนือกว่าในเรื่องของความเร็วในการออกตัว อย่างไรก็ตาม CLA มาพร้อมดีไซน์แบบแฮทช์แบ็กรูปทรงสปอร์ต และขนาดตัวถังที่กะทัดรัดกว่า ทำให้เวลาขับขี่จริง โดยเฉพาะในเมืองที่การจราจรหนาแน่นอย่างกรุงเทพฯ จะรู้สึกได้ถึงความคล่องตัวและความสนุกในการขับมากกว่า ทั้งสองรุ่นยังติดตั้งระบบไฮบริดแบบ 48V ที่ช่วยเพิ่มการตอบสนองของเครื่องยนต์และประหยัดน้ำมันได้ดีขึ้น เหมาะกับสภาพถนนที่หลากหลายของประเทศไทย ถ้าเน้นเรื่องสมรรถนะการเร่งแนะนำให้เลือก C300 แต่ถ้าชอบสไตล์สปอร์ตและการควบคุมรถที่คล่องตัว CLA250 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า
Q
CLA มีเบาะหนังไหม?
รถยนต์ Mercedes-Benz CLA ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมีตัวเลือกเบาะหนังให้เลือกหลายแบบ ขึ้นอยู่กับรุ่นที่คุณเลือก เช่น รุ่น CLA 200 มาพร้อมเบาะหนังสังเคราะห์ ARTICO (เป็นวัสดุหนังคุณภาพสูงที่ดูแลรักษาง่าย) ส่วนรุ่นที่สูงขึ้นอย่าง CLA 250 มักจะใช้เบาะหนังแท้ หรือวัสดุแบบ MB-Tex และ Dinamica ไมโครไฟเบอร์ ซึ่งให้สัมผัสที่หรูหราและนุ่มนวลมากขึ้น ในรุ่นท็อปหรือรุ่นที่ติดตั้งชุดแต่ง AMG Line ยังสามารถเลือกอัปเกรดเป็นเบาะหนังแท้แบบ Nappa ซึ่งมีความหรูหรา ระบายอากาศได้ดี และนั่งสบาย เหมาะกับสภาพอากาศร้อนของไทย ฟังก์ชันต่างๆ เช่น ปรับไฟฟ้า ระบบจดจำตำแหน่ง และระบบทำความร้อน/ระบายอากาศก็มีให้ครบ นอกจากนี้ Mercedes-Benz ประเทศไทยยังมีตัวเลือกตกแต่งภายในที่หลากหลาย ทั้งสีของเบาะและลายตะเข็บ เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งรถให้ตรงกับสไตล์ของตัวเอง แนะนำให้ตรวจสอบรายละเอียดกับโชว์รูมหรือดีลเลอร์ก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้ได้รุ่นและออปชันที่ตรงใจที่สุด
Q
CLA 250 กับ CLA 45 รุ่นไหนดีกว่ากัน?
CLA 250 กับ CLA 45 ต่างก็มีจุดเด่นของตัวเอง จึงไม่สามารถฟันธงได้ว่ารุ่นไหน “ดีกว่า” อย่างชัดเจน ในด้านราคา CLA 250 อยู่ที่ประมาณ 2,690,000 บาท ส่วน CLA 45 ราคาสูงกว่ามาก อยู่ที่ประมาณ 5,990,000 บาท ถ้ามองเรื่องสมรรถนะ CLA 45 เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเครื่องยนต์ 2.0 เทอร์โบที่แรงกว่า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กม./ชม. และเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในแค่ 4.6 วินาที ขณะที่ CLA 250 ทำได้ 230 กม./ชม. และเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.1 วินาที ด้านขนาดตัวรถ CLA 45 มีความยาวและความกว้างมากกว่าเล็กน้อย ทำให้รู้สึกโปร่งขึ้นเล็กน้อย แต่ความแตกต่างไม่ชัดเจนมาก ถ้าคุณเป็นสายขับสนุก ชอบรถแรงๆ มีงบประมาณพร้อม CLA 45 คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ แต่ถ้าเน้นใช้งานทั่วไป ขับสบาย ราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า CLA 250 ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและใช้งานได้ดีในชีวิตประจำวัน
Q
เมอร์เซดีส CLA มีระบบอัตโนมัติหรือไม่?
รถ Benz CLA มีระบบอัตโนมัติ ในแง่ของระบบเกียร์ รถ Benz CLA ใช้เกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่เปียก 7 จังหวะ ไม่จำเป็นให้ผู้ขับขี่ต้องใช้งานคลัตช์ด้วยตนเอง กระบวนการเปลี่ยนเกียร์สะดวกและมีประสิทธิภาพสูง พร้อมทั้งสามารถปรับกลยุทธ์การเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติตามสภาพการขับขี่และความต้องการของผู้ขับขี่ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายและราบรื่น ในด้านระบบช่วยขับอัจฉริยะ รถ Benz CLA รุ่นใหม่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม MMA พร้อมระบบขับขี่อัจฉริยะระดับ L2++ ที่สามารถให้โซลูชันขับขี่อัจฉริยะในเวอร์ชันต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ นอกจากนี้ CLA รุ่นใหม่ยังติดตั้งระบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร MBUX รุ่นที่ 4 ที่มี "อินเทอร์เฟซแบบ Zero-Layer" ระบบโต้ตอบด้วยเสียงตามธรรมชาติ และ Mercedes-Benz Virtual Assistant ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของระบบอัตโนมัติ ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นให้กับผู้ขับขี่
Q
เครื่องยนต์ CLA ตัวไหนดีที่สุด?
ว่าเครื่องยนต์ CLA ไหน “ดีที่สุด” จะขึ้นอยู่กับความต้องการและความชอบของแต่ละบุคคล ถ้าคุณต้องการประหยัดน้ำมันและการเดินทางในเมืองประจำวันอย่างราบรื่น เครื่องยนต์ 1.3T จะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะมันสามารถให้กำลังเพียงพอสำหรับการขับขี่ในเมือง เช่น CLA 200 รุ่น 2025 เครื่องยนต์ 1.3T มีกำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร และใช้เกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ 7 จังหวะแบบเปียก โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงรวม WLTC 5.93 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร แต่ถ้าคุณให้ความสำคัญกับสมรรถนะและความตื่นเต้นในการขับขี่ เครื่องยนต์ 2.0T จะเหมาะสมกว่า เพราะมีกำลังส่งที่แข็งแกร่งและเร่งความเร็วได้ดี เช่น เครื่องยนต์ 2.0T กำลังสูงของ CLA 260 4MATIC ที่มีกำลังสูงสุด 165 กิโลวัตต์ ซึ่งได้เปรียบในการแซงบนทางหลวงและการออกตัวเร็ว ส่วนเครื่องยนต์ 2.0T ของ CLA 45 AMG 4Matic มีกำลังสูงสุดที่น่าประทับใจ โดยสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.6 วินาทีตามข้อมูลทางการ สรุปแล้ว การเลือกควรพิจารณาจากงบประมาณ นิสัยการขับขี่ และสถานการณ์การใช้รถในชีวิตประจำวันประกอบกัน

ข้อดี

ชื่อเสียงยี่ห้อที่แข็งแกร่ง เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราญ
เครื่องยนต์แบบเทอร์โบให้พลังงานเพียงพอ
ห้องโดยสารสวยงามพร้อมส่วนตกแต่งเนื้ออ่อนที่มีคุณภาพ

ข้อเสีย

เครื่องยนต์อาจมีปัญหาเรื่องอุณหภูมิของน้ำหล่อเย็น
ระบบช่วงล่างอาจรู้สึกแข็งเกินไปสำหรับบางคน
ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระยะยาวค่อนข้างสูง

Q&A ล่าสุด

Q
Jaecoo J7 เติมน้ำมันเต็มถังวิ่งได้กี่กิโลเมตร?
สำหรับรถ SUV อย่าง Jaecoo J7 ที่ออกแบบมาสำหรับการเดินทางในเมือง ระยะทางเต็มถังจะขึ้นอยู่กับสภาพถนนในไทย นิสัยการขับขี่ และคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง โดยทั่วไปในสภาพการขับขี่แบบผสมผสานในเมือง ด้วยความจุถังเชื้อเพลิงประมาณ 50-55 ลิตร และประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันของเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5T คาดว่าระยะทางเต็มถังจะอยู่ที่ประมาณ 500-600 กิโลเมตร แต่แนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นทางการจากผลทดสอบมาตรฐาน TCOS ที่ประกาศในประเทศไทย สำหรับผู้ใช้ในไทย สภาพการจราจรที่ติดขัดบ่อยในกรุงเทพฯ อาจทำให้ระยะทางจริงน้อยกว่าที่ระบุไว้ ส่วนการขับขี่ทางไกลบนทางหลวงอาจประหยัดน้ำมันมากกว่า ข้อควรระวังคือในสภาพอากาศร้อนของไทย ควรตรวจสอบความแน่นหนาของระบบเชื้อเพลิงเป็นประจำเพื่อป้องกันปัญหาอากาศในท่อน้ำมันที่อาจส่งผลต่อระยะทาง และควรใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเกรด 95 ขึ้นไปเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของเครื่องยนต์ หากต้องการเพิ่มระยะทางให้มากขึ้น สามารถทำได้โดยรักษาความดันลมยางที่เหมาะสม (ในสภาพอากาศร้อนของไทยแนะนำให้ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 0.1-0.2 บาร์) และหลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องอย่างรุนแรง ซึ่งเทคนิคเหล่านี้สำคัญเป็นพิเศษเมื่อขับขี่ในพื้นที่ที่มีทางลาดชันเช่นเชียงใหม่หรือภูเขาที่ภูเก็ต
Q
ความเร็วสูงสุดของ JAECOO J7 คือเท่าไร?
JAECOO J7 เป็น SUV ที่เน้นสมรรถนะสปอร์ต ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 200 กม./ชม. ซึ่งถือว่าโดดเด่นในรุ่นเดียวกัน ช่วยตอบโจทย์คนไทยที่ชอบการขับขี่ความเร็วสูง ไม่ว่าจะเป็นบนทางด่วนรอบกรุงเทพฯ หรือเส้นทางคดเคี้ยวในเชียงใหม่ ก็ให้กำลังส่งที่มั่นคงได้อย่างดี เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 1.6T คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ไม่เพียงให้กำลังแรงเท่านั้น แต่ยังประหยัดน้ำมัน เหมาะสมกับสภาพถนนและการจราจรที่หลากหลายของไทย แถมยังมีโหมดขับขี่ให้เลือกหลากหลาย ทั้งโหมดสปอร์ต โหมดประหยัด และโหมดมาตรฐาน ช่วยให้ปรับการขับขี่ตามสภาพถนนได้อย่างคล่องตัว เพิ่มความสนุกในการขับขี่ อีกทั้งระบบระบายความร้อนที่ออกแบบมาอย่างมีประสิทธิภาพของ JAECOO J7 ยังช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพแม้ต้องขับเร็วเป็นเวลานานในสภาพอากาศร้อนของไทย สำหรับคนไทยที่มองหารถสมรรถนะดีแต่ยังคงความใช้งานได้จริง JAECOO J7 นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากความเร็วสูงแล้ว ยังมาพร้อมความปลอดภัยและความสบายที่ครบครัน
Q
Jaecoo 7 มีเบาะที่นั่งแบบปรับอุณหภูมิได้หรือไม่?
สำหรับรถ Jaecoo 7 นั้น ในข้อมูลสเปคอย่างเป็นทางการระบุว่ามีระบบทำความร้อนเบาะหน้าให้ในรุ่นท็อป ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่โดยเฉพาะเมื่อต้องไปในเขตพื้นที่ภูเขาที่อากาศเย็นหรือช่วงฤดูฝนของไทย แต่แนะนำให้ผู้ซื้อตรวจสอบสเปครุ่นที่เลือกซื้อกับตัวแทนจำหน่ายอีกครั้งเพราะแต่ละรุ่นอาจมีฟีเจอร์แตกต่างกัน ปัจจุบันระบบทำความร้อนเบาะถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถ SUV หลายรุ่น โดยเฉพาะรุ่นระดับพรีเมี่ยม หลักการทำงานคือใช้ลวดความร้อนที่ฝังในเบาะซึ่งสามารถทำให้ร้อนถึงอุณหภูมิที่เหมาะสมภายในไม่กี่นาที นอกจากนี้สำหรับคนไทยอาจจะสนใจฟีเจอร์เบาะระบายอากาศที่ช่วยเพิ่มความสบายในสภาพอากาศร้อนด้วย แนะนำให้ลองทดสอบการใช้งานจริงระหว่างทดลองขับรถ และพิจารณาตามความต้องการใช้งานรวมถึงงบประมาณที่มี เพราะฟีเจอร์เหล่านี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ได้อย่างมาก
Q
"ระยะทางไฟฟ้าบริสุทธิ์ของ Jaecoo 7 คือเท่าไหร่?
Jaecoo 7 เป็น SUV แบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ที่มาแรง ในโหมดไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ประมาณ 80-100 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองในไทยโดยเฉพาะ ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ เพราะการเดินทางระยะสั้นๆ ในเมืองใช้โหมดไฟฟ้าล้วนก็เพียงพอ ทั้งประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ต้องระวังเรื่องอากาศร้อนของไทยที่อาจส่งผลต่อแบตเตอรี่ แนะนำให้จอดรถในที่ร่มหรือใต้ตึกเพื่อรักษาประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ให้ดีที่สุด ตอนนี้รถไฮบริดกำลังเป็นที่นิยมในไทย เพราะให้ความรู้สึกสงบเรียบเหมือนรถไฟฟ้า แถมยังไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จเวลาทำทางไกล โดยเฉพาะการเดินทางระหว่างเมืองอย่างจากกรุงเทพไปพัทยา โหมดไฮบริดจะช่วยลดการใช้น้ำมันได้มาก ที่สำคัญ รัฐบาลไทยกำลังสนับสนุนรถพลังงานสะอาดอย่างเต็มที่ ถ้าซื้อ PHEV แบบ Jaecoo 7 ก็จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่วนสถานีชาร์จก็มีเพียบ ทั้งในห้างสรรพสินค้าและปั๊มน้ำมัน ถือเป็นข่าวดีสำหรับคนที่กำลังมองหารุ่นนี้อยู่
Q
Jaecoo 7 มีเบาะนั่งที่ปรับความจำได้หรือไม่?
สำหรับข้อมูลเรื่อง Jaecoo 7 ที่มีฟังก์ชันความจำตำแหน่งเบาะหรือไม่ ตอนนี้ข้อมูลทางการระบุว่ารุ่นท็อปมาพร้อมกับที่นั่งหน่วยความจำที่เบาะคนขับ สามารถบันทึกการตั้งค่าตำแหน่งได้หลายแบบ ช่วยให้ปรับท่านั่งได้รวดเร็วเมื่อเปลี่ยนคนขับ ซึ่งเหมาะมากสำหรับการใช้รถร่วมกันในครอบครัวใหญ่แบบบ้านเรา ส่วนมากแล้วฟังก์ชันนี้จะทำงานร่วมกับการปรับเบาะไฟฟ้าและปรับกระจกมองหลังอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายเวลาใช้รถ โดยเฉพาะคนที่ต้องสลับขับกันบ่อยๆ แถมในเมืองร้อนแบบไทย บางรุ่นแพ็คเกจสูงอาจมีระบบเชื่อมโยงกับแอร์ในรถ ให้ปรับทุกอย่างอัตโนมัติตามที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรก เวลาขึ้นรถมาก็เจอสภาพแวดล้อมที่สบายๆ แนะนำให้คนไทยที่สนใจเช็คข้อมูลสเปกแบบละเอียดในเว็บ Jaecoo ประเทศไทย หรือไม่ก็ไปทดลองขับที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน ฟังก์ชันนี้ช่วยเพิ่มความสบายเวลาเดินทางไกลได้ชัดเจน แต่ต้องดูให้ดีว่ารุ่นที่ซื้อมีระบบนี้หรือเปล่า เพราะแต่ละเวอร์ชันอาจต่างกัน อีกเรื่องที่ควรสนใจคือความทนทานของมอเตอร์ที่นั่งหน่วยความจำ และการใช้งานจริงในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบไทย ควรทดสอบให้แน่ใจว่าใช้ไปนานๆ แล้วยังทำงานลื่นไหลเหมือนเดิม
ดูเพิ่มเติม