Q
ในปีไหนลัมโบร์กินีคาวน์ทาชออกมา
Lamborghini Countach เปิดตัวครั้งแรกในปี 1974 อย่างไรก็ตาม สถานะของรุ่นนี้ในตลาดประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายภายในประเทศ สภาพเศรษฐกิจ และความนิยมของผู้บริโภค ในประเทศไทย รถสปอร์ตคลาสสิกรุ่นนี้ถือว่าได้รับความนิยมในวงจำกัด เนื่องจากราคาที่สูงและตำแหน่งทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto
Q&A เกี่ยวข้อง
Q
ถุงน้ำหนักของ Lamborghini Countach เท่าไหร่
น้ำหนักของ Lamborghini Countach แตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่น โดยรุ่นคลาสสิกที่ผลิตในช่วงปี 1970–1990 มีน้ำหนักอยู่ในช่วงประมาณ 1,200 – 1,500 กิโลกรัม เช่นรุ่น LP400 มีน้ำหนักประมาณ 1,175 กิโลกรัม ขณะที่รุ่นถัดมาอย่าง LP500 S และ LP5000 QV ซึ่งมีการอัปเกรดเครื่องยนต์และเสริมโครงสร้างตัวถัง มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1,480 กิโลกรัม สำหรับรุ่นที่เปิดตัวในปี 2021 อย่าง Countach LPI 800-4 ใช้โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์และระบบขับเคลื่อนไฮบริด ทำให้น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 1,595 กิโลกรัม ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับเบาเมื่อเทียบกับซูเปอร์คาร์รุ่นปัจจุบัน Countach ใช้เครื่องยนต์วางกลาง ทำให้การกระจายน้ำหนักมีความสมดุล ช่วยให้ควบคุมรถได้ดีในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ขณะเดียวกัน พวงมาลัยจะมีน้ำหนักมากเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ หากใช้งานในชีวิตประจำวันในประเทศไทย ควรระวังเรื่องความกว้างของตัวรถและรัศมีวงเลี้ยวที่ใหญ่ เพื่อให้สามารถขับขี่ได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการจราจรในท้องถนนของไทย
Q
Lamborghini Countach มีเครื่องยนต์ประเภทใด
Lamborghini Countach ในแต่ละเจเนอเรชันมีการใช้เครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน โดยรุ่นคลาสสิกที่ผลิตระหว่างปี 1970–1990 ใช้เครื่องยนต์ V12 แบบไม่มีระบบอัดอากาศ (NA – Naturally Aspirated) ได้แก่:รุ่น LP400 ใช้เครื่องยนต์ V12 ขนาด 3.9 ลิตร กำลังสูงสุด 375 แรงม้า รุ่น LP500 S ปรับขนาดขึ้นเป็น 4.8 ลิตร V12 แต่ยังคงกำลังสูงสุดที่ 375 แรงม้า รุ่น LP5000 QV ยกระดับเป็นเครื่องยนต์ 5.2 ลิตร V12 ให้กำลังสูงสุด 455 แรงม้า เครื่องยนต์เหล่านี้มีจุดเด่นเรื่องรอบสูง เสียงคำรามอันดุดัน และการวางเครื่องยนต์แบบวางตามยาวตรงกลาง ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของ Countach รุ่นพิเศษ Countach LPI 800-4 ที่เปิดตัวในปี 2021 ในรูปแบบการผลิตจำนวนจำกัด ใช้เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร แบบ NA ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นระบบไฮบริด ให้กำลังรวม 803 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดแบบ ISR เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับจิตวิญญาณดั้งเดิมของ Countach เนื่องจาก Countach ใช้การวางเครื่องยนต์แบบวางกลางค่อนไปทางด้านหลัง ระบบระบายความร้อนและไอเสียจึงต้องออกแบบเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้รถรุ่นนี้โดดเด่นในประวัติศาสตร์ซูเปอร์คาร์ สำหรับการใช้งานในประเทศไทยที่มีอากาศร้อนจัด รุ่นคลาสสิกควรได้รับการดูแลเรื่อง ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนของเครื่องยนต์เป็นพิเศษ
Q
ลามโบร์กินีคันทาความเร็วเท่าไหร่
ความเร็วสูงสุดของรถยนต์ Lamborghini จะแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่นและการตั้งค่าของรถ โดยทั่วไปแล้ว Lamborghini รุ่นมาตรฐานสามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับรุ่นสมรรถนะสูง เช่น Lamborghini Aventador SVJ ความเร็วสูงสุดสามารถทะลุ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ อย่างไรก็ตาม ความเร็วที่ใช้งานจริงยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพถนน ทักษะการขับขี่และข้อจำกัดด้านความปลอดภัยบนท้องถนน
Q
Lamborghini Countach มีแรงม้าเท่าไหร่
กำลังแรงม้าของ Lamborghini Countach จะแตกต่างกันไปตามรุ่นและอุปกรณ์ที่ติดตั้ง โดยทั่วไป รุ่นที่พบได้บ่อยมีกำลังอยู่ในช่วงประมาณ 400 ถึง 500 แรงม้า อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่า รุ่นปีและการตั้งค่าเฉพาะของรถแต่ละคัน อาจทำให้ตัวเลขแรงม้ามีความแตกต่างกันได้
Q
เมื่อ Lamborghini Countach ใหม่จะออกมา
ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับกำหนดการเปิดตัวรุ่นใหม่ของ Lamborghini Countach การเปิดตัวรถยนต์ของแบรนด์ Lamborghini มักพิจารณาจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น ความพร้อมด้านเทคโนโลยี การวิจัยพัฒนา ความต้องการของตลาด และกลยุทธ์ของแบรนด์ ในตลาดประเทศไทย ผู้บริโภคยังคงให้ความสนใจและคาดหวังสูงต่อแบรนด์หรูอย่าง Lamborghini แต่สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับรุ่นใหม่ของ Countach แนะนำให้ติดตามประกาศจากทางการของ Lamborghini อย่างใกล้ชิด
Q
Lamborghini Countach ราคาเท่าไหร่
Lamborghini Countach ในฐานะรุ่นรีมาสเตอร์สุดคลาสสิก มีราคาที่แตกต่างกันไปตามรุ่นย่อยและตลาด โดยในประเทศไทย ราคาจำหน่ายอยู่ในช่วงประมาณ 25 ล้านถึง 35 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับ สเปกและออปชันที่เลือก รุ่น Countach LPI 800-4 ถือเป็นเวอร์ชันสมัยใหม่ของรถรุ่นนี้ มาพร้อมระบบไฮบริดที่ใช้เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 803 แรงม้า ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 112 คันทั่วโลก ทำให้รถรุ่นนี้มีมูลค่าการสะสมและศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าสูงมาก
Q&A ล่าสุด
Q
ราคาบริการของ Honda City Hatchback คือเท่าไหร่ ดูที่นี่ก่อนดีกว่า
ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถ Honda City Hatchback ในประเทศไทยจะแตกต่างกันไปตามบริการและตัวแทนจำหน่ายที่เป็นทางการ โดยบริการพื้นฐานอย่างการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและเปลี่ยนไส้กรองอากาศจะอยู่ที่ประมาณ 2,500-4,500 บาท อย่างไรก็ตามเพื่อความแม่นยำแนะนำให้ติดต่อสอบถามราคากับทางอู่ Honda 4S ที่ใกล้ที่สุด ในไทยเรามีเครือข่ายบริการหลังการขายที่ครอบคลุม ทำให้เจ้าของรถสามารถรับบริการจากช่างมืออาชีพได้อย่างสะดวกสบาย แถมการเข้าศูนย์บริการเป็นประจำยังช่วยรักษาประสิทธิภาพของรถและยืดอายุการใช้งานอีกด้วย
พูดถึง Honda City Hatchback ในตลาดไทยต้องบอกว่าเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมไม่น้อย ด้วยความประหยัดและการใช้งานที่ตอบโจทย์ ทำให้ค่าบำรุงรักษาก็ถือว่าสมเหตุสมผล เหมาะกับการใช้งานประจำวันเป็นอย่างดี และถ้าเลือกใช้เฉพาะอะไหล่แท้จากศูนย์บริการอย่างถูก渠道 นอกจากจะได้ความมั่นใจแล้ว ยังช่วยรักษาสิทธิ์การรับประกันไม่ให้เสียหายอีกด้วย จริงๆ แล้วในระยะยาวนี่คือทางเลือกที่คุ้มค่าและน่าเชื่อถือที่สุดแล้วล่ะ
Q
ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถ Honda City Hatchback คือเท่าไหร่ ดูรายละเอียดที่นี่
รถฮอนด้า ซีตี้ แฮทช์แบคในไทยมีค่าใช้สอยเรื่องการดูแลรักษาที่สมเหตุสมผล เหมาะกับคนที่อยากประหยัด โดยการบริการครั้งแรกจะทำเมื่อขับถึง 1,000 กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500-2,000 บาท รวมค่าถ่ายน้ำมันเครื่องและเปลี่ยนไส้กรองอากาศ ส่วนการบริการตามระยะจะทำทุก 1 หมื่นกิโลเมตรหรือทุก 6 เดือน ค่าบริการปกติประมาณ 2,500-3,000 บาท ส่วนการบริการใหญ่จะทำเมื่อขับถึงประมาณ 4 หมื่นกิโลเมตร ค่าใช้จ่ายอาจสูงถึง 5,000-7,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่าต้องเปลี่ยนอะไหล่อะไรบ้าง ในไทยฮอนด้ามีศูนย์บริการกระจายอยู่ทั่วประเทศ หาไม่ยาก แถมสะดวกด้วย นอกจากนี้ควรตรวจสอบยางและเบรกเป็นประจำเพราะอากาศร้อนชื้นของไทยอาจทำให้ชิ้นส่วนเหล่านี้เสื่อมเร็วขึ้น ถ้าอยากประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น ลองซื้อแพ็กเกจบริการของฮอนด้า ซึ่งมักจะมีส่วนลดให้ ที่สำคัญการดูแลรักษาตามคู่มือแนะนำไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุรถ แต่ยังช่วยรักษามูลค่าเวลาขายต่อ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในตลาดรถมือสองของไทย
Q
ขนาดล้อของ Honda City Hatchback คือเท่าไหร่
สำหรับ Honda City Hatchback ในเรื่องของขนาดล้อ ยกเว้นรุ่นสูงสุด RS ที่มาพร้อมกับล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วแบบเฉพาะแล้ว รุ่นอื่นๆ ทุกรุ่นจะใช้ล้อขนาด 15 นิ้วตามมาตรฐาน การที่แต่ละรุ่นมีขนาดล้อแตกต่างกันนี่เป็นผลจากการออกแบบโดยคำนึงถึงสมรรถนะโดยรวมของรถเป็นหลัก ล้อขนาดใหญ่กว่าอย่างล้อ 16 นิ้วในรุ่น RS จะช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะและความมั่นคงให้กับรถ ทำให้การควบคุมรถดีขึ้น เหมาะกับสไตล์การขับแบบสปอร์ตที่รุ่น RS เน้นเป็นพิเศษ ส่วนล้อ 15 นิ้วนั้นถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายและประหยัดน้ำมัน เหมาะกับการใช้งานทั่วไปในเมืองและการขับขี่ประจำวันของผู้ใช้ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นล้อขนาดไหนก็ผ่านการปรับแต่งมาเป็นอย่างดีเพื่อให้ทำงานเข้ากันได้ดีกับระบบช่วงล่างและระบบอื่นๆ ของรถ เพื่อให้ได้สมดุลระหว่างประสบการณ์การขับขี่และสมรรถนะของรถอย่างลงตัว
Q
รุ่นที่แตกต่างกันของ Honda City Hatchback มีอะไรบ้าง
ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็กในตลาดไทยมีหลายรุ่นให้เลือกตามความต้องการของผู้ใช้หลักๆ แล้วจะมี 4 เวอร์ชันคือ S, V, SV และ RS รุ่น S เป็นรุ่นเริ่มต้น มาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยพื้นฐานเช่นถุงลมนิรภัย 2 ตัวและระบบเบรก ABS เหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้รถในงบจำกัด ส่วนรุ่น V จะเพิ่มความสะดวกขึ้นมาอีกหน่อยด้วยกุญแจอัจฉริยะและกล้องถอยหลัง ช่วยอำนวยความสะดวกเวลาใช้งานในชีวิตประจำวัน รุ่น SV จะอัพเกรดทั้งวัสดุภายในห้องโดยสารและเทคโนโลยี เช่น จอสัมผัสขนาดใหญ่ขึ้นและถุงลมนิรภัยเพิ่มเติม เหมาะสำหรับครอบครัวที่มองหาความคุ้มค่า สุดท้ายรุ่น RS ที่เป็นรุ่นสปอร์ตสุดพิเศษ มาพร้อมกับชุดแต่งเอกลักษณ์ เบาะสปอร์ตและระบบช่วยขับขี่ขั้นสูง ดึงดูดกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นที่ชอบความสปอร์ต
ในตลาดไทย ซิตี้ แฮทช์แบ็กคันนี้ขายดีเพราะขับง่ายและประหยัดน้ำมัน โดยเฉพาะในสภาพการจราจรติดขัดอย่างในกรุงเทพฯ แถมฮอนด้ายังมีสีรถให้เลือกหลายเฉดและโปรแกรมผ่อนชำระที่ตอบโจทย์คนไทยอีกด้วย ที่สำคัญคือรุ่นไทยยังได้รับการปรับปรุงระบบแอร์ให้เย็นฉ่ำในอากาศร้อนแบบบ้านเรา และเพิ่มความสูงของช่วงล่างเพื่อให้เหมาะกับสภาพถนนบางพื้นที่ นี่คือการออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดไทยที่แสดงให้เห็นว่าฮอนด้าใส่ใจลูกค้าชาวไทยจริงๆ
Q
ฮอนด้าซิตี้แฮทช์แบคหนักเท่าไหร่
Honda City Hatchback ซึ่งเป็นรถยนต์แฮทช์แบ็กรุ่นยอดนิยมในตลาดประเทศไทย มีน้ำหนักตัวรถแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่น โดยอยู่ในช่วงประมาณ 1,100 ถึง 1,200 กิโลกรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขุมพลังที่เลือกใช้ เช่น เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร หรือเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร แบบไม่มีระบบอัดอากาศ รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น หลังคาซันรูฟ หรือระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม น้ำหนักที่เบากว่าช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสภาพจราจรที่ติดขัดและการขับขี่ที่ต้องหยุด-ออกตัวบ่อยในเมืองไทย นอกจากนี้ การกระจายน้ำหนักของตัวรถยังเป็นสิ่งที่วิศวกรฮอนด้าให้ความสำคัญ โดยมีการออกแบบแชสซีและเลือกใช้วัสดุอย่างเหมาะสม เพื่อให้รถมีความมั่นคงในขณะเข้าโค้ง และให้ความนุ่มนวลขณะโดยสาร จุดเด่นเหล่านี้ทำให้ City Hatchback มีสมรรถนะที่ดีบนถนนที่มีโค้งมากหรือพื้นถนนเปียกในเมืองไทย สำหรับผู้บริโภคชาวไทย การเลือกใช้รถที่มีน้ำหนักพอดี ไม่มากเกินไป ไม่เบาเกินไป ถือเป็นทางเลือกที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งให้ความสนุกในการขับขี่และความปลอดภัย ซึ่ง Honda City Hatchback คือหนึ่งในตัวเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้อย่างลงตัว
ดูเพิ่มเติมข่าวที่เกี่ยวข้อง

Lamborghiniหุ่นยนต์สูงสุดในงานมอเตอร์โชว์กรุงเทพฯ 2024 : Countach LPI 800-4 ภาพที่ตามาก
AshleyMar 21, 2024

เปิดตัว Leapmotor B01 ซีดานไฟฟ้ารุ่นใหม่ในจีน เคาะราคาเริ่ม 406,000 บาท!
วิรุฬห์Jul 28, 2025

Lamborghini Huracan รุ่นใหม่ “Temerario” เปิดตัวแล้ว ราคา 23.76 ล้านบาท
Kevin WongJun 26, 2025

รถสุดหรูราคาเริ่มต้น 12,577,000 บาท! ยอดขายทั่วโลกของ Lamborghini พุ่งสูงขึ้นในปีนี้
AshleyJul 30, 2024

2024 งานแสดงรถปั้มเป้ง: Lamborghini Urus SE แสดงตัวเปิดตัวครั้งแรก
LienApr 25, 2024
ข้อดี
ข้อเสีย