วิธีการลดอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์? คู่มือการประหยัดน้ำมันที่เจ้าของรถในไทยต้องอ่าน
พงศธรFeb 07, 2025, 03:28 PM
【PCauto】ในประเทศของเรา ค่าเชื้อเพลิงคิดเป็นมากกว่า 40% ของค่าใช้จ่ายในการใช้รถประจำวัน ขณะที่อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของรถก็เป็นตัวกำหนดต้นทุนการใช้รถในระยะยาวโดยตรง ผมจะกล่าวถึงกลยุทธ์ในการเลือกซื้อรถ การเปรียบเทียบรถรุ่นยอดนิยม การวิเคราะห์ต้นทุนตลอด 10 ปี และเทคนิคการขับขี่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการลดอัตราการใช้น้ำมัน และบรรลุเป้าหมายการประหยัดเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ
1. แกนหลักการเลือกซื้อรถ: อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงคือปัจจัยหลัก
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันของรถยนต์ตามหลัก โดยข้อมูลจากกระทรวงพลังงานของประเทศไทยระบุว่ารถยนต์แต่ละรุ่นอาจมีความแตกต่างด้านอัตราการใช้น้ำมันมากกว่า 30% ในการเลือกซื้อรถ ควรให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็นหลักดังนี้:
- ข้อมูล L/100km ที่ระบุอย่างเป็นทางการ: ควรเลือกซื้อรถที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน TISI ของประเทศไทย เพราะผลการทดสอบอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะสอดคล้องกับสภาพถนนในประเทศมากกว่า
- เทคโนโลยีเครื่องยนต์: รถยนต์ระบบไฮบริด (HEV) มักมีอัตราการใช้น้ำมันรวมต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปแบบดั้งเดิม ตัวอย่างเช่น ระบบ HEV ของ Toyota สามารถช่วยลดการใช้น้ำมันได้มากกว่า 40%
2. การเปรียบเทียบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของรถรุ่นยอดนิยมในไทย: Yaris Ativ, Yaris Cross และ Honda City
ในบรรดารถยนต์รุ่นที่พบเห็นได้บ่อยในประเทศ เช่น Toyota Yaris Ativ ซึ่งอาศัยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ล้ำสมัยและการออกแบบตัวถังที่มีน้ำหนักเบา สามารถควบคุมอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงรวมได้ประมาณ 5-6 ลิตร/100 กม.
Honda City ในฐานะรถยนต์ซีดานขนาดกะทัดรัดที่ขายดี ก็มีความประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน โดยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในการขับขี่ประจำวันอยู่ที่ประมาณ 5.5-6.5 ลิตร/100 กม.
Toyota Yaris Cross ในฐานะรถ SUV ไฮบริดขนาดเล็ก สามารถผสานความสามารถในการขับขี่ผ่านเส้นทางที่หลากหลายกับความประหยัดน้ำมันได้อย่างลงตัว ระบบไฮบริดช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างยอดเยี่ยมผ่านการเก็บพลังงานจากการเบรก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสภาพการจราจรที่แออัดในกรุงเทพฯ โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงรวมประมาณ 3.8 ลิตร/100 กม. (เทียบเท่ากับ 26.3 กม./ลิตร)
แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้อาจมีความผันผวนขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่และสภาพถนน แต่โดยทั่วไปแล้ว รถยนต์ที่ ประหยัดน้ำมันจริง ๆ ควรมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในสภาพถนนแบบผสมในเมืองไม่เกิน 7 ลิตร/100 กม. และในสภาพถนนทางหลวงควรอยู่ที่ประมาณ 5 ลิตร/100 กม. หรืออาจน้อยกว่านั้น ดังนั้น ในขั้นตอนการเลือกซื้อรถ การใช้เวลาในการศึกษาและเปรียบเทียบ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ของรถรุ่นต่าง ๆ ถือเป็นทางเลือกที่ฉลาด เพราะเมื่อเลือกได้ถูกต้อง คุณจะสบายใจและประหยัดเงินในระยะยาว
3. คำนวณต้นทุนอย่างละเอียด รถประหยัดน้ำมันช่วยคุณประหยัดเงินก้อนโต
บางคนอาจคิดว่าความแตกต่างของอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตอนซื้อรถไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าคุณลองคำนวณดูอย่างละเอียด คุณจะพบว่ามันสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก ตัวอย่างเช่น จากราคาน้ำมันในประเทศไทยปัจจุบัน สมมุติว่าราคาน้ำมันเบนซินทั่วไปอยู่ที่ 35 บาท/ลิตร และรถยนต์หนึ่งคันวิ่งประมาณ 10,000 กิโลเมตรต่อปี
ถ้าคุณใช้รถที่กินน้ำมันสูง เช่น มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 10 ลิตร/100 กม.ค่าน้ำมันต่อปี = 10,000 ÷ 100 × 10 × 35 = 35,000 บาท/ปี ถ้าใช้รถที่ประหยัดน้ำมัน ซึ่งมีอัตราการสิ้นเปลืองเพียง 6 ลิตร/100 กม.ค่าน้ำมันต่อปี = 10,000 ÷ 100 × 6 × 35 = 21,000 บาท/ปี เพียงแค่ค่าน้ำมัน คุณก็จะประหยัดได้ถึง 35,000 - 21,000 = 14,000 บาท/ปี
เมื่อผ่านไป 10 ปี คุณจะประหยัดเงินได้ถึง 14,000 × 10 = 140,000 บาท
ซึ่งไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลย เพราะเพียงพอสำหรับการไปท่องเที่ยวหรูหลายครั้ง หรือซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าคุณภาพสูงได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อราคาน้ำมันมีความผันผวน รถยนต์ที่ ประหยัดน้ำมัน จะยิ่งแสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบมากขึ้นในระยะยาว ดังนั้น การเลือกซื้อรถที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำ จึงเป็นเหมือนการเพิ่มเกราะป้องกันทางการเงินให้กับกระเป๋าเงินของคุณในระยะยาว
4. เทคนิคการประหยัดน้ำมันขณะขับขี่: ปรับจากนิสัยสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในรายละเอียด
การเลือกซื้อรถที่เหมาะสมเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เพราะพฤติกรรมการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ก็มีผลกระทบต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอย่างมากเช่นกัน การเรียนรู้เทคนิคการขับขี่ที่ง่ายและได้ผลจะช่วยให้รถของคุณ ประหยัดน้ำมัน ได้มากขึ้นขณะขับขี่
เริ่มจากการขับขี่อย่างนุ่มนวล การเหยียบคันเร่งและเบรกอย่างกะทันหันถือเป็นสอง "ตัวการ" หลักที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน เมื่อคุณเหยียบคันเร่งเต็มแรง เครื่องยนต์จะต้องเร่งกำลังอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณการฉีดน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอัตราการใช้น้ำมันพุ่งสูงขึ้นทันที ส่วนการเบรกกระทันหันนั้น พลังงานที่ได้จากการเร่งความเร็วก่อนหน้านี้จะสูญเปล่า เพราะพลังงานจลน์ของรถจะถูกแปลงเป็นความร้อนผ่านระบบเบรกและสูญเสียไปอย่างไม่มีประโยชน์ดังนั้น ควรรักษาความเร็วให้คงที่ คาดการณ์สภาพการจราจรล่วงหน้า เร่งความเร็วอย่างนุ่มนวลและเบรกอย่างนิ่มนวล เพื่อให้การขับขี่ของรถเป็นไปอย่างราบรื่น ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นไฟแดงล่วงหน้า ควรปล่อยคันเร่งก่อนเวลา ให้รถไหลไปตามแรงเฉื่อยจนถึงเส้นจอด ซึ่งวิธีนี้ช่วยลดการสึกหรอของเบรกและยังประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย
การควบคุมความเร็วให้เหมาะสมก็สำคัญ รถแต่ละคันจะมีช่วงความเร็วที่ประหยัดน้ำมันที่สุด โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 60-90 กม./ชม. ในช่วงนี้ เครื่องยนต์จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำที่สุด เมื่อขับเร็วเกินไป แรงต้านของลมจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ เครื่องยนต์จึงต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการต่อสู้กับแรงต้าน ทำให้ สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นในทางกลับกัน ถ้าขับช้าเกินไป เครื่องยนต์ก็จะทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เปลืองน้ำมันเช่นกัน ดังนั้นบน ทางด่วนในเมืองหรือทางหลวงในประเทศไทย หากสภาพการจราจรเอื้ออำนวย ควรพยายามรักษาความเร็วให้อยู่ในช่วงประหยัดน้ำมัน (60-90 กม./ชม.) เพื่อช่วยลดอัตราการใช้น้ำมันได้อย่างชัดเจน
ลดน้ำหนักบรรทุกของรถ เจ้าของรถหลายคนมักชอบเก็บของไว้เต็มท้ายรถ โดยไม่รู้ว่า น้ำหนักส่วนเกินนี้จะเพิ่มภาระให้เครื่องยนต์ ทำให้เครื่องต้องใช้พลังงานมากขึ้น ส่งผลให้กินน้ำมันมากกว่าเดิม ดังนั้นควรจัดระเบียบท้ายรถเป็นประจำ เก็บไว้เฉพาะสิ่งของจำเป็นเพียงเท่านั้น เพื่อให้ร ขับเคลื่อนได้อย่างเบาสบาย ซึ่งจะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้อย่างเห็นผล นอกจากนี้ การติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้นาน ๆ โดยไม่จำเป็นก็เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่สิ้นเปลืองน้ำมัน เช่น เมื่อจอดรอคนริมทาง หากคาดว่าจะต้องรอเกิน 1 นาที แนะนำให้ ดับเครื่องยนต์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผาผลาญน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์
การใช้แอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ในประเทศไทยที่อากาศร้อนจัดเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ถือเป็นสิ่งจำเป็นในรถ แต่การเปิดแอร์ก็ทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น เพราะคอมเพรสเซอร์แอร์ดึงพลังงานจากเครื่องยนต์ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น เมื่ออุณหภูมิสะดวกสบายแล้ว สามารถปรับแอร์ให้สูงขึ้น หรือใช้แอร์แบบสลับช่วง โดยผสมผสานลมธรรมชาติและลมจากแอร์เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ ซึ่งจะช่วยรักษาความสะดวกสบายและลดการใช้น้ำมันได้
5. สุดท้าย
จากการเปรียบเทียบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ในขั้นตอนการเลือกซื้อรถ ไปจนถึงการควบคุมรายละเอียดในระหว่างการขับขี่ ผู้บริโภคในประเทศไทยสามารถใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการประหยัดน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพได้เต็มที่ รถยนต์ไฮบริดอย่าง Yaris Cross HEV ได้พิสูจน์แล้วว่า มีข้อได้เปรียบด้านความประหยัดน้ำมัน ในขณะที่รถที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบและเครื่องยนต์ดูดอากาศธรรมชาติจะต้องเลือกใช้ตามสภาพการใช้งาน ท้ายที่สุด ผู้ขับขี่ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการประหยัดน้ำมันจริง ๆ จะเป็นผู้ที่สามารถผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี และความชาญฉลาดในการขับขี่เข้าไว้ด้วยกัน
คุณสามารถติดต่อเราให้ลบออกเนื้อหาถ้าละเมิดลิขสิทธิ์
ข้อมูลยอดนิยม

เตรียมเปิดตัว! Toyota Yaris ATIV HEV ใหม่ 21 ส.ค.นี้ ใช้ขุมพลังเดียวกับ Yaris Cross
【PCauto】Yaris ATIV HEV ใหม่ จ่อเปิดตัว 21 ส.ค.นี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ไฮบริดประหยัดสุด 26.3 กม./ลิตร Toyota เตรียมส่ง Yaris ATIV รุ่นไฮบริดบุกตลาดไทย 21 สิงหาคมนี้ โดยใช้ขุมพลังเดียวกับ Yaris Cross ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร รหัส 2NR-VEX ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังรวม 111 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ e-CVT พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 0.7 kWh รองรับน้ำมัน E20 ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองดีเยี่ยมที่ 26.3 กม./ลิตร ตามมาตรฐาน WMTC เตรียมเปิดศึกรถซีดานไฮบริดประหยั

Mitsubishiเปิดตัว SUV 7 ที่นั่งรุ่น Destinator เพื่อแข่งขันกับ Honda CR-V
【PCauto】Mitsubishi Motors ได้เปิดตัว SUV เจ็ดที่นั่งรุ่นใหม่ Destinator อย่างเป็นทางการที่จาการ์ต้า รุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อครอบครัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ และจะเริ่มจำหน่ายในอินโดนีเซียเป็นประเทศแรก ก่อนขยายตลาดไปยังไทยและประเทศในอาเซียนอื่นๆ Mitsubishi Destinator มาพร้อมกับฐานล้อยาวพิเศษ 2815 มิลลิเมตร และระยะต่ำสุดจากพื้นถึงตัวรถ 214 มิลลิเมตร รถรุ่นนี้ตั้งเป้าหมายในตลาด SUV ขนาดกลางที่มี Honda CR-V ครองตำแหน่งผู้นำอยู่แล้ว

BYD SEALION 8 ลุ้นขายไทย-ออสเตรเลียปีหน้า!
【PCauto】BYD SEALION 8 เตรียมบุกไทย-ออสซี่ปีหน้า! ใหญ่เทียบ Kluger พร้อมดีไซน์ล้ำยุคจาก Egger BYD SEALION 8 หรือ Tang L เวอร์ชันจีน เตรียมเปิดตัวไตรมาสแรกปี 2026 ในออสเตรเลีย และมีแผนรุกตลาดไทยพร้อมกัน จุดเด่นคือขนาดใหญ่กว่า Toyota Kluger ถึง 120 มม. กับตัวถังยาวกว่า 5 เมตร เบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง พร้อมขุมพลัง PHEV สองรุ่นย่อย และดีไซน์ “Loong Face” นำโดย Wolfgang Egger ไฟหน้า LED แยกส่วน-โลโก้ BYD เรืองแสง เสริมความพรีเมียมด้วยประตูไร้กรอบ ไฟท้าย “ปีกฟีนิกซ์” และหลังคาพาโนรามา ครบเครื่องทั้งความหรู

Toyota bZ4X เปิดตัวแล้ว เมื่อเทียบกับ Xpeng G6 รุ่นใดคุ้มค่ากับการซื้อมากกว่ากัน
【PCauto】Toyota bZ4X เปิดให้สั่งจองทางออนไลน์ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม และภายในสามวันแรกมียอดสั่งจองถึง 1,000 คันรุ่นย่อยและราคาของรถรุ่นนี้แบ่งเป็น:ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ราคา 1,599,000 บาทและขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) ราคา 1,699,000 บาทในฐานะรถ SUV ไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกของ Toyota ที่ทำตลาดในประเทศไทย bZ4X นำเข้ามาขายโดยมาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมขนาด 73.11 kWh ระยะทางวิ่งตามมาตรฐาน NEDC อยู่ที่ 600 กม. (FWD) และ 570 กม. (AWD)ในอีกฝั่งหนึ่ง XPeng G6 ก็ได้เปิดตัวรุ่นปรับปรุงใหม่:รุ่น Long Range ราคา

Xpeng P7 ฮอตแรง! เปิดจองแค่ 7 นาที ยอดสั่งทะลุ 10,000 คัน
【PCauto】XPeng P7 ใหม่ เปิดพรีออเดอร์เพียง 6 นาที 37 วินาที ยอดจองทะลุ 10,000 คัน ทำลายสถิติเดิมของแบรนด์ มาพร้อมดีไซน์ XMART FACE ไฟหน้า-ไฟท้ายแบบ X Shape หลังคาลอย เสา A ซ่อน ขอบประตูไร้กรอบ และสปอยเลอร์ไฟฟ้าสร้างแรงกดสูงสุด 900 นิวตัน ค่าลากอากาศเพียง 0.198Cd ภายในล้ำสมัยด้วยจอ 3 ชุด และ AR-HUD ขนาด 87 นิ้ว คมชัดแม้แดดจ้า
รถยอดนิยม
เปรียบเทียบรถยนต์
รูปภาพรถ
ภาพภายใน
รุ่นปีรถยนต์
รุ่นรถยนต์