Q

ขนาดของ BYD Sealion 7 คืออะไร

BYD Sealion 7 เป็นรถระดับ D ขนาดยาว 4830 กว้าง 1925 สูง 1620 ระยะฐานล้อ 2930 มิลลิเมตร การออกแบบขนาดตัวถ้ามีข้อได้เปรียบชัดเจน ฐานล้อยาวช่วยให้พื้นที่ภายในกว้างขวาง โดยเฉพาะบริเวณขา เพิ่มความสบายในการนั่งโดยสาร ตัวถังกว้างทำให้พื้นที่ด้านข้างมากขึ้น ผู้โดยสารด้านหลังนั่งสามคนไม่รู้สึกอึดอัด ความสูงที่เหมาะสมทำให้มีพื้นที่เหนือศีรษะเพียงพอ ไม่รู้สึกคับแคบ โดยรวมแล้วให้ความรู้สึกสะดวกสบายทั้งในการเดินทางประจำวันและทริประยะไกล
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
BYD Sealion 2025 ราคาเท่าไหร่ในฟิลิปปินส์?
ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับราคาของ BYD Seal รุ่นปี 2025 ในฟิลิปปินส์ แต่เราสามารถอ้างอิงจากกลยุทธ์การตั้งราคาของ BYD ในตลาดอาเซียนได้ คาดว่าราคาของรุ่นนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 ถึง 2 ล้านเปโซ (ประมาณ 800,000 ถึง 1.1 ล้านบาท) โดยราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสเปกและภาษีท้องถิ่น ส่วนในตลาดไทย BYD เองก็มีการขยายตัวอย่างแข็งขันในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดย Seal เป็น SUV ไฟฟ้าที่มีความโดดเด่นในเรื่องของระยะขับขี่และเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคไทยที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังมีนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า เช่น การลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต ซึ่งอาจทำให้ราคาของ Seal ในไทยมีความแข่งขันมากขึ้น BYD เองก็กำลังพัฒนาระบบจำหน่ายและบริการหลังการขายในไทยอย่างต่อเนื่อง และอาจจะมีการนำเข้ารุ่นอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต สำหรับผู้บริโภคไทยที่สนใจ Seal สามารถติดตามข้อมูลล่าสุดได้ที่เว็บไซต์ BYD ประเทศไทยหรือตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ และอาจจะพิจารณารุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกัน เช่น Tesla Model Y หรือ Great Wall Ora Good Cat ซึ่งก็มีส่วนแบ่งการตลาดในไทยเช่นกัน
Q
แบตเตอรี่ประเภทใดที่อยู่ใน BYD Seal 2025
รถยนต์ BYD Seal รุ่นปี 2025 ที่วางจำหน่ายในตลาดไทย มาพร้อมกับแบตเตอรี่ใบมีด LiFePO4 (ลิเธียมเหล็กฟอสเฟต) ที่ BYD พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งแบตเตอรี่ชนิดนี้ขึ้นชื่อในเรื่องความปลอดภัยสูงและอายุการใช้งานยาวนาน โดยเฉพาะเหมาะกับสภาพอากาศร้อนของไทย เพราะมีความเสถียรทางความร้อนที่ดีกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบทั่วไป ช่วยลดความเสี่ยงการลุกไหม้จากความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ในไทยยังได้ประโยชน์จากความหนาแน่นพลังงานที่สูงกว่าของแบตเตอรี่ใบมีด ซึ่งหมายถึงระยะทางที่ยาวขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง เช่น สามารถขับขี่ไปกลับระหว่างกรุงเทพฯ-พัทยาได้อย่างสบายๆ (ประมาณ 300 กิโลเมตร) แบตเตอรี่นี้รองรับการชาร์จเร็ว โดยเมื่อใช้กับสถานีชาร์จเร็ว 150kW ที่พบได้ทั่วไปในไทย สามารถชาร์จจาก 30% เป็น 80% ได้ในเวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งเหมาะกับเครือข่ายสถานีชาร์จที่กำลังขยายตัวในไทย อีกทั้งรัฐบาลไทยยังมีนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า (เช่น การลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต) ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Seal ที่ติดตั้งแบตเตอรี่เทคโนโลยีสูงอย่างนี้มีราคาที่จับต้องได้มากขึ้น ส่วนคุณสมบัติการเสื่อมสภาพที่ต่ำของแบตเตอรี่ลิเธียมเหล็กฟอสเฟต (ยังคงความจุ 80% หลังการชาร์จประมาณ 3,000 ครั้ง) ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้บริโภคไทย
Q
ข้อมูลสเปกของ BYD Seal ปี 2025
BYD Seal 2025 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความสนใจจากแบรนด์ BYD คาดว่าจะยังคงความสามารถด้านสมรรถนะสูงและระยะทางไกลเหมือนเดิม สำหรับผู้บริโภคไทย รุ่นนี้น่าจะมาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Blade Battery ที่ทันสมัย ให้ระยะทางประมาณ 500-700 กิโลเมตร (ข้อมูลจริงขึ้นอยู่กับการประกาศของทางบริษัทในประเทศไทย) และรองรับการชาร์จเร็ว เหมาะกับการใช้งานในเมืองและการเดินทางไกลในไทย นอกจากนี้ยังอาจติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยมอเตอร์คู่ เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาประมาณ 3.8 วินาที พร้อมระบบช่วยขับอัจฉริยะ DiPilot ที่ตอบโจทย์สภาพการจราจรที่ค่อนข้างซับซ้อนในไทย ส่วนภายในคาดว่าจะใช้วัสดุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจอหมุนขนาดใหญ่ รวมถึงออกแบบให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น ตลาดไทยน่าจะได้เวอร์ชั่นพวงมาลัยขวา และมีการปรับปรุงระบบจัดการความร้อนของแบตเตอรี่ให้เหมาะกับสภาพอากาศของไทย สำหรับคนไทยที่สนใจรถไฟฟ้า ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของสถานีชาร์จด้วย ซึ่ง BYD กำลังขยายเครือข่ายสถานีชาร์จในไทยและทำงานร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น เมื่อรวมกับนโยบายส่งเสริมรถไฟฟ้าของรัฐบาลไทย ทำให้ BYD Seal 2025 มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับกลางถึงสูงของประเทศไทย
Q
ขนาดของ BYD Sealion 7 ปี 2025 คือเท่าไหร่?
รุ่นปี 2025 ของ BYD Sealion 7 จัดอยู่ในรถระดับ D มีความยาวตัวรถ 4830 มม ความกว้าง 1925 มม ความสูง 1620 มม และระยะฐานล้อ 2930 มม ขนาดตัวรถเหล่านี้ช่วยสร้างพื้นที่ภายในที่กว้างขวางทั้งผู้ขับขี่ด้านหน้าและผู้โดยสารด้านหลังมีพื้นที่ศีรษะและขาที่เพียงพอ ขนาดใหญ่ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ ระยะฐานล้อที่ออกแบบอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ปรับปรุงการจัดวางภายในรถแต่ยังส่งผลดีต่อการควบคุมรถทำให้รถมีความมั่นคงมากขึ้นขณะเข้าโค้งหรือทำการขับเคลื่อนต่างๆ
Q
ราคาของ BYD Seal 2025 คือเท่าไหร่?
ณ สิ้นปี 2023 บริษัท BYD ยังไม่ได้ประกาศราคาอย่างเป็นทางการสำหรับรุ่น 2025 BYD Seal (ซีล) ในตลาดประเทศไทย แต่จากราคาของรุ่น 2023 ที่วางขายอยู่ที่ประมาณ 1.2 ถึง 1.5 ล้านบาท (ขึ้นอยู่กับแบบและอุปกรณ์) คาดว่ารุ่น 2025 อาจจะมีราคาอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงหรือปรับขึ้นลงเล็กน้อย ซึ่งต้องรอการยืนยันจากบริษัทอีกครั้ง ในช่วงนี้ BYD ค่อนข้างตื่นตัวในตลาดไทย โดยรถไฟฟ้าของแบรนด์ได้รับความสนใจจากสมรรถนะการขับขี่ระยะไกล (เช่น ระยะทางสูงสุด 700 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC) และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Blade Battery นอกจากนี้ ผู้บริโภคในไทยยังได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมรถ EV ของรัฐบาล เช่น การลดภาษีหรือมาตรการสนับสนุนค่าติดตั้งสถานีอัดประจุในบางจังหวัด เมื่อเทียบกับรุ่นใกล้เคียงอย่าง Tesla Model 3 รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังที่ราคาประมาณ 1.75 ล้านบาท แล้ว BYD Seal อาจจะดึงดูดลูกค้าด้วยราคาที่คุ้มค่ากว่า แนะนำให้ติดตามข้อมูลล่าสุดผ่านเว็บไซต์ BYD ประเทศไทยหรือตัวแทนจำหน่าย ส่วนแผนงานของรัฐบาลไทยที่ตั้งเป้าให้รถ EV มีสัดส่วน 30% ภายในปี 2030 อาจทำให้โครงสร้างพื้นฐานและสิทธิประโยชน์สำหรับเจ้าของรถไฟฟ้าดีขึ้นในอนาคต
Q
ราคาของ BYD Sealion 7 ปี 2025 คือเท่าไหร่
ตามข้อมูลปัจจุบัน BYD Sealion 7 ซึ่งเป็นรถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ คาดว่ารุ่นปี 2025 ในตลาดไทยจะมีราคาประมาณ 15 ถึง 20 ล้านบาท โดยราคาจะแตกต่างไปตามรุ่นย่อย ความจุแบตเตอรี่ และนโยบายภาษีในประเทศ รถรุ่นนี้มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใบมีดที่ทันสมัยของ BYD ให้ระยะทางวิ่งมากกว่า 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรองรับการชาร์จแบบรวดเร็ว เหมาะกับการใช้งานทั้งการขับขี่ในเมืองและการเดินทางระยะสั้นในไทย รัฐบาลไทยมีมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ผู้ซื้อสามารถรับสิทธิประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษีและมาตรการส่งเสริมอื่นๆ ส่งผลให้ Sealion 7 มีความสามารถในการแข่งขันในตลาด นอกจากนี้ BYD ยังมีฐานการผลิตในไทยซึ่งช่วยลดต้นทุนและราคาขาย พร้อมทั้งเพิ่มความสะดวกด้านบริการหลังการขาย สำหรับผู้บริโภคชาวไทย การเลือกรถยนต์ไฟฟ้านอกจากช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงแล้วยังมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม Sealion 7 จึงถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจด้วยจุดเด่นด้านระยะทางวิ่งและระบบอัจฉริยะ
Q
ข้อเสียของ BYD Sealion 7 มีอะไรบ้าง?
BYD Sealion 7 อาจมีข้อเสียอยู่บ้างตามความคิดเห็นของผู้ใช้งานบางส่วน เช่น เวลาที่เปิดแอร์อาจมีเสียงแปลกๆ ดังออกมา ทำให้รู้สึกรบกวนขณะขับขี่ ในเรื่องของเบาะนั่ง มีคนพบว่าเบาะนิ่มจนยุบง่าย พอนั่งนานๆ อาจรู้สึกปวดหลัง และถ้าใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เบาะยังอาจเกิดสนิมได้ด้วย ระบบหน้าจอและซอฟต์แวร์ในรถก็มีปัญหาจุกจิก เช่น มีบั๊กเยอะ บางครั้งอัปเดตระบบแล้วฟังก์ชันชาร์จไร้สายหายไป และสัญญาณอินเทอร์เน็ตในรถก็ไม่ค่อยเสถียร ในส่วนของระยะทางขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับความต้องการของผู้ใช้บางคนที่ต้องเดินทางไกล ทำให้รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในการเดินทางไกล อีกจุดหนึ่งคือความสูงของใต้ท้องรถค่อนข้างต่ำ พอขับผ่านถนนขรุขระหรือเนินต่างๆ อาจโดนขูดได้ง่าย ซึ่งมีผลต่อความสะดวกในการใช้งานในสภาพถนนที่หลากหลายค่ะ
Q
BYD Sealion 7 จัดอยู่ในกลุ่มรถประเภทไหน?
BYD Sealion 7 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV ที่จัดอยู่ในกลุ่ม D-Segment โดยเฉพาะรุ่นนี้ถือเป็นรถ SUV ไฟฟ้าล้วน (EV) ที่มีการออกแบบและวางตำแหน่งให้เหมาะกับการใช้งานแบบครอบครัว รุ่นนี้เปิดตัวพร้อมกับแพลตฟอร์มใหม่ BYD e-Platform 3.0 EVO ซึ่งได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านการชาร์จ ที่สามารถรองรับกำลังไฟสูงสุดถึง 200KW ทำให้สามารถชาร์จจาก 30% ไปถึง 80% ได้ภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพิ่มความสะดวกในการใช้งานจริง ในด้านสมรรถนะ มอเตอร์ถูกวางไว้ด้านหลัง ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ทำให้การเร่งแซงทำได้ดี โดยเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อที่สามารถเร่งจาก 0–100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 225 กม./ชม. ดีไซน์ตัวรถแบบ SUV ที่ยกสูงช่วยให้ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เหมาะสำหรับการเดินทางกับครอบครัว และยังมาพร้อมเทคโนโลยีโครงสร้างแบตเตอรี่แบบรวมกับตัวถัง (CTB – Cell to Body) ช่วยให้โครงสร้างรถแข็งแรงมากขึ้น โดยมีค่าความแข็งแรงการบิดตัวรถสูงถึง 40,000 นิวตันเมตร ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่อีกระดับค่ะ
Q
ราคาขายต่อของ BYD Sealion 7 คือเท่าไหร่?
ราคาขายต่อของ BYD Sealion 7 จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุการใช้งาน ระยะทางที่ขับไปแล้ว สภาพรถ ความนิยมในตลาด รวมถึงมีออปชันหรืออัปเกรดเพิ่มเติมหรือไม่ ตอนนี้ BYD Sealion 7 เพิ่งเปิดตัวในช่วงปี 2024–2025 ยังถือว่าใหม่อยู่ในตลาด รถมือสองเลยยังมีไม่เยอะ และข้อมูลราคาขายต่อก็ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ ตัวรถมีหลายรุ่น เช่น รุ่นขับหลังแบบพรีเมียม และรุ่นขับสี่แบบสมรรถนะสูง ถ้ารถอยู่ในสภาพดีมาก ใช้งานน้อย ก็มีโอกาสขายได้ราคาดี อาจจะใกล้เคียงกับราคาลดจากป้ายแดง แต่ถ้าขับมาเยอะ มีรอย มีปัญหา หรือหมดประกันแล้ว ราคาก็จะตกลงไปอีก อีกปัจจัยที่สำคัญคือ “ความต้องการในตลาด” ถ้าคนกำลังมองหารถ EV มือสองเยอะ แต่รถในตลาดมีน้อย ราคาก็จะดีขึ้น แต่ถ้ามีเยอะจนเกินไป หรือรุ่นใหม่เข้ามาแทน ราคาก็อาจตกได้เหมือนกัน ราคาป้ายแดงของ BYD Sealion 7 ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 1,149,900 – 1,399,900 บาท ส่วนราคามือสองจะลดลงเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพและปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด ถ้าอยากรู้ราคาที่แม่นยำ แนะนำให้ลองเช็กกับเต็นท์รถมือสอง หรือแพลตฟอร์มขายรถออนไลน์ต่างๆ เพื่อดูราคาเฉลี่ยในตลาดจริงค่ะ
Q
BYD Sealion 7 มีกี่ CC?
BYD Sealion 7 เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน (EV) จึงไม่ได้วัดสมรรถนะด้วยหน่วยซีซี (CC) แบบรถยนต์เครื่องยนต์น้ำมัน แต่จะดูที่กำลังมอเตอร์ แรงม้า แรงบิด และความจุของแบตเตอรี่เป็นหลัก รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังจะใช้มอเตอร์แม่เหล็กถาวร กำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ หรือประมาณ 313 แรงม้า ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ กำลังรวมสูงถึง 390 กิโลวัตต์ หรือราว 530 แรงม้า ซึ่งถือว่าแรงมากสำหรับรถ SUV ไฟฟ้า ตัวแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมเฟอร์โรฟอสเฟต (LFP) ความจุ 82.5 kWh รองรับการชาร์จเร็ว ใช้เวลาชาร์จจาก 30% ไปถึง 80% แค่ประมาณ 0.53 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้ใช้งานได้คล่องตัว ไม่ต้องรอนาน นอกจากนี้ BYD Sealion 7 ยังมาพร้อมระบบช่วงล่างและระบบเบรกที่ออกแบบมาอย่างมั่นคง ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและสบายตลอดทางค่ะ

ข้อดี

กำลังชาร์จสูง สามารถเติมเต็มแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ
พื้นที่ขาเบื้องหลังกว้างขวาง ทำให้การขับขี่สบาย
ออกแบบสไตล์กับการออกแบบที่มีความแข็งแรงเหมือนกังเขน
มีการติดตั้งระบบอัจฉริยะหลากหลาย เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ดี
การเพิ่มความเร็วราบรื่น เหมาะสำหรับการขับในเมือง

ข้อเสีย

ระบบช่วยเหลือการเลี่ยงเลนไม่คล่องแคล่ว
พื้นที่เก็บของในประตูจำกัด สำหรับของเล็กๆ
คุณภาพที่นั่งธรรมดา อาจไม่ทำให้ทุกคนพึงพอใจ
ความรู้สึกตอบโต้ของพวงมาลัยมีไม่เพียงพอเล็กน้อย
พื้นที่ตัวรถหลังเล็กกว่าคู่แข่งบางยี่ห้อ

Q&A ล่าสุด

Q
รถ Ford Everest คือประเภทอะไร
Ford Everest เป็นรถ SUV ขนาดกลางถึงใหญ่ที่ผลิตโดยฟอร์ด มอเตอร์ คอมปะนี ออกแบบมาเพื่อความแข็งแกร่งในการขับขี่ออฟโรดและความสะดวกสบายสำหรับครอบครัว เป็นที่นิยมมากในตลาดไทยโดยเฉพาะกับสภาพถนนที่หลากหลายและการเดินทางแบบครอบครัว รถรุ่นนี้มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์หลายแบบ ทั้งเครื่องดีเซลประสิทธิภาพสูงและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ทันสมัย ช่วยให้การขับขี่บนถนนชนบทหรือในเมืองของไทยเป็นเรื่องง่าย ภายในห้องโดยสารกว้างขวางและครบครันด้วยฟีเจอร์ต่างๆ เช่น ระบบอินโฟเทนเมนต์อัจฉริยะและเทคโนโลยีความปลอดภัยมากมาย ตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวสมัยใหม่ทั้งในเรื่องความสบายและความปลอดภัย ในไทย Ford Everest มักถูกใช้เป็นรถครอบครัวหรือรถสำหรับการผจญภัยออฟโรด ด้วยความทนทานและความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ผู้บริโภคไทยยังสามารถเลือกรุ่นที่เหมาะกับงบประมาณและความต้องการได้ ทำให้รถรุ่นนี้ยังคงเป็นที่นิยมในตลาด SUV ที่มีการแข่งขันสูง
Q
เมื่อไหร่ Ford Everest ใหม่จะเปิดตัว
ทาง Ford ประเทศไทยยังไม่ได้ประกาศวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับ Ford Everest รุ่นใหม่ แต่ถ้าดูจากรอบการเปิดตัวในตลาดโลกและรูปแบบการนำเข้าของ Ford ในไทย คาดว่ารถ SUV ขนาดใหญ่คันนี้น่าจะมาถึงประเทศไทยในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 Everest ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มเดียวกับ Ranger นี้จะมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ และตัวเลือกเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมระบบ Terrain Management System ที่ออกแบบมาสำหรับสภาพถนนหลากหลายแบบของไทยแบบเจาะจง สำหรับลูกค้าไทย Ford น่าจะมีการปรับแต่งเฉพาะท้องถิ่น เช่น ระบบทำความเย็นที่เหมาะกับอากาศร้อน ระบบป้องกันสนิม รวมถึงวัสดุภายในที่ตอบโจทย์ความชอบของคนไทย ต้องบอกว่าผู้บริโภคชาวไทยชื่นชอบรถ SUV ที่พัฒนาจากกระบะเป็นพิเศษ ด้วยความที่ Everest มีทั้งพื้นที่เก็บของกว้างขวางและสมรรถนะออฟโรดเด็ดๆ คันนี้จะมาแข่งตัวต่อตัวกับ Toyota Fortuner และ Isuzu MU-X แน่นอน ใครที่สนใจแนะนำให้ติดตามข่าวสารล่าสุดผ่านเว็บไซต์ Ford ประเทศไทยหรือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยปกติฟอร์ดจะเริ่มเปิดให้จองล่วงหน้าประมาณ 2-3 เดือนก่อนวางจำหน่ายจริง
Q
วิธีปิดไฟวิ่งกลางวัน Ford Everest
สำหรับรถ Ford Everest ที่ขายในตลาดไทย การปิดไฟกลางวันสามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้ ก่อนอื่นให้สตาร์ทรถแต่ยังไม่ต้องติดเครื่องยนต์ จากนั้นหมุนปุ่มควบคุมไฟไปที่ตำแหน่งปิด (OFF) หลังจากนั้นให้ดึงเบรกมือขึ้น (หากเป็นเบรกมืออิเล็กทรอนิกส์ต้องเปิดใช้งาน) สุดท้ายให้กดไฟสูงสลับไปมา 5 ครั้งอย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงเตือน ไฟกลางวันก็จะปิดชั่วคราว และจะกลับมาใช้งานอีกครั้งเมื่อสตาร์ทรถใหม่ อย่างไรก็ตามตามกฎหมายจราจรของไทยมีการกำหนดให้ต้องใช้ไฟกลางวันอย่างชัดเจน ดังนั้นควรปิดเฉพาะในกรณีพิเศษเท่านั้น เช่นเวลาถ่ายภาพรถหรือเมื่อต้องตัดระบบไฟฟ้าทั้งรถเพื่อตรวจซ่อม สภาพอากาศในไทยที่ทั้งร้อนและฝนชุก ไฟกลางวันช่วยให้มองเห็นรถได้ชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะช่วงฝนตก ซึ่งเป็นคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่รถ SUV รุ่นอื่นๆ เช่น Toyota Fortuner และ Isuzu MU-X ก็มีเช่นกัน รุ่น Everest แต่ละปีอาจมีรายละเอียดการใช้งานที่แตกต่างกันบ้าง หากมีปัญหาสามารถปรึกษาตัวแทนจำหน่าย Ford ในไทยเพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องสำหรับรุ่นล่าสุด พวกเขายังสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลระบบไฟที่เหมาะสมกับสภาพถนนในไทยอีกด้วย
Q
ความแตกต่างระหว่าง Ford Everest Trend และ Titanium
สำหรับตลาดไทย ฟอร์ด Everest รุ่น Trend และ Titanium มีความแตกต่างหลักในเรื่องของอุปกรณ์และความหรูหรา โดยรุ่น Trend เป็นเวอร์ชันเริ่มต้นแต่จัดเต็มมาด้วยอุปกรณ์พื้นฐานที่ครบครัน เช่น ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว จอทัชสกรีน 8 นิ้ว กล้องถอยหลัง แอร์ออโต้ ขณะที่รุ่น Titanium จะอัพเกรดขึ้นไปอีกด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว หลังคาพานอรามา ระบบเสียง B&O 10 ลำโพง ประตูท้ายไฟฟ้า หนังหุ้มเบาะ และระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ Ford Co-Pilot360 เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเทคโนโลยีและความสบายระดับพรีเมียม ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร และเกียร์ออโต้ 10 สปีดเหมือนกัน ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เท่ากัน แต่ในสภาพอากาศร้อนของไทย ฟีเจอร์ระบายอากาศบนเบาะหน้าของรุ่น Titanium ถือเป็นจุดเด่นที่ใช้งานได้จริง ทั้งคู่ได้รับการปรับเซตติ้งช่วงล่างให้เหมาะกับถนนไทย โดยมีความสูงช่วงล่าง 225 มม. พร้อมรับมือกับเส้นทางลูกรังในบางพื้นที่ ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการ โดยรุ่น Trend ให้ความคุ้มค่า ส่วนรุ่น Titanium นั้นตอบโจทย์ประสบการณ์การขับขี่ระดับหรูอย่างครบวงจร
Q
Ford Everest ผลิตที่ไหน
รถ Ford Everest ในปัจจุบันมีการผลิตในหลายประเทศ รวมถึงไทย จีน อินเดีย และเวียดนาม สำหรับตลาดไทยนั้น Everest ส่วนใหญ่ผลิตมาจากโรงงานฟอร์ดที่จังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของฟอร์ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงงานแห่งนี้ใช้มาตรฐานการผลิตระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รถ Everest ที่ผลิตในไทยนอกจากจะจัดจำหน่ายในประเทศแล้ว ยังส่งออกไปยังตลาดใกล้เคียงอีกด้วย รุ่นนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมในไทย เพราะตอบโจทย์ทั้งการขับเคลื่อนออฟโรดและความประหยัดพื้นที่สำหรับครอบครัว เหมาะกับสภาพถนนหลากหลายแบบของไทย Everest เวอร์ชั่นไทยมักติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0L และมีตัวเลือกการจัดสรรค์หลายแบบ รวมทั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน ผู้บริโภคไทยยังได้ประโยชน์จากเครือข่ายบริการหลังการขายที่มีประจำท้องถิ่น ทั้งการบำรุงรักษาตามระยะและอะไหล่พร้อมจำหน่าย นอกจากนี้ ไทยเป็นตลาดรถพวงมาลัยขวา Everest จึงถูกออกแบบให้เหมาะสมกับตลาดนี้โดยเฉพาะ เช่น ตำแหน่งพวงมาลัยและการตั้งค่าแสงสว่าง สิ่งที่น่าสนใจคือนโยบายภาษีของรัฐบาลไทยสำหรับรถกระบะและ SUV ที่มีผลต่อราคาและการวางตำแหน่งตลาดของ Everest ในไทยด้วย
ดูเพิ่มเติม