Q

Aston Martin DB12 ได้ผลิตกี่คัน?

Aston Martin DB12 ในฐานะรถสปอร์ต GT ประสิทธิภาพสูงของแบรนด์นี้ ข้อมูลการผลิตทั่วโลกมักถูกปรับเปลี่ยนตามความต้องการของตลาดและแผนการผลิต โดยตัวเลขที่แน่นอนต้องอ้างอิงจากทางบริษัทเท่านั้น สำหรับรุ่นลิมิเต็ดอิดิชันแบบนี้ในตลาดไทยมักจะมีการจัดสรร配额น้อยมาก บางครั้งก็แค่หลักหน่วยเท่านั้น แนะนำให้ผู้ที่สนใจในไทยติดต่อตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในกรุงเทพฯ หรือพัทยาเพื่อสอบถามสต็อกล่าสุด ต้องบอกว่า DB12 สืบทอดดีเอ็นเอความหรูหราสไตล์อังกฤษอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า ระบบช่วงล่างแบบปรับได้และดิฟเฟอเรนเชียลหลังอิเล็กทรอนิกส์ถูกออกแบบมาเหมาะกับถนนคดเคี้ยวริมชายฝั่งไทย เช่น เส้นทางหัวหินถึงชะอำ ในสภาพอากาศร้อนของไทย ระบบเบรกเซรามิกคอมโพสิตและระบบควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะที่มาพร้อมมาตรฐานจะช่วยเพิ่มความมั่นคงขณะขับขี่แบบสปอร์ต แถมยังมีตัวเลือกแผงประดับไม้สักที่ตอบโจทย์ความชอบวัสดุธรรมชาติของคนไทยรักรถหรู แต่อย่าลืมว่ารถซุปเปอร์คาร์ในไทยต้องเสียภาษีนำเข้าค่อนข้างสูง ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายสุดท้าย แนะนำให้ปรึกษารายละเอียดด้านภาษีอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A ล่าสุด

Q
แรงม้าของรถ Ferrari 812 Superfast มีเท่าใด
Ferrari 812 Superfast คือซูเปอร์คาร์สุดแรงที่มาพร้อมสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ขุมพลังใต้กระโปรงเป็นเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอทโมสเฟียร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดเกิน 340 กม./ชม. รุ่นนี้เป็นที่นิยมมากในตลาดรถซูเปอร์คาร์ของไทย โดยเฉพาะสำหรับการขับขี่บนทางด่วนรอบกรุงเทพฯ หรือสนามแข่ง สำหรับแฟนๆรถไทยแล้ว 812 Superfast ไม่เพียงเป็นตัวแทนของความปรารถนาในพลังอันสุดขั้วของเฟอร์รารี่เท่านั้น แต่ยังแสดงถึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของซูเปอร์คาร์อิตาลีผ่านการออกแบบเลย์เอาต์เครื่องยนต์ V12 หน้าและรูปทรงตัวรถที่ลื่นไหล แม้ในสภาพอากาศร้อนจัดของไทย ระบบระบายความร้อนและระบบช่วงล่างของรถคันนี้ก็ยังทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม มั่นใจได้ถึงความมั่นคงแม้ขับแบบสุดเหวี่ยง นอกจากนี้ Ferrari ยังมีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย พร้อมบริการหลังการขายที่ครบวงจร ทั้งการบริการประจำปีและการสนับสนุนทางเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เจ้าของรถสามารถสนุกไปกับการขับขี่ได้แบบไม่ต้องกังวล ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในรถซูเปอร์คาร์ 812 Superfast ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ไม่เพียงเพราะพลังที่เหนือชั้น แต่ยังรวมถึงการควบคุมที่แม่นยำและความหรูหราที่มาพร้อมกันในระดับสุดยอด
Q
Ferrari 812 Superfast มีความเร็วเท่าไหร่
Ferrari 812 Superfast คือซูเปอร์คาร์ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอสไพรัลธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. รุ่นนี้เป็นที่จับตามองในตลาดรถหรูของไทย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบความมันส์แบบสุดๆ แม้ว่าบนถนนทั่วไปในไทยอาจไม่สามารถดึงความเร็วสุดขีดของมันออกมาได้เต็มที่ แต่ถ้าได้ลงสนามแข่งอย่างบูรีรัมย์อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต 812 Superfast จะโชว์ฟอร์มได้อย่างเต็มสูบ แถมยังมาพร้อมดีไซน์แอโรไดนามิกและเทคโนโลยีพวงมาลัยหลังที่ช่วยให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงมีความมั่นคงและแม่นยำ ทำให้มันเป็นหนึ่งในรถระดับตำนานที่ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ สำหรับคนไทยการได้เป็นเจ้าของรถคันนี้ไม่ใช่แค่ได้ใช้พลังของซูเปอร์คาร์ระดับเทพ แต่ยังได้สัมผัสความหรูและความเร่าร้อนแบบฉบับเฟอร์รารี่ เพียงแต่เวลาขับบนถนนจริงต้องระวังกฎจราจรและสภาพถนนในไทยให้ดี จะได้ขับได้อย่างปลอดภัยและสนุกสุดเหวี่ยง
Q
เครื่องยนต์ Ferrari 812 Superfast มีอะไร
Ferrari 812 Superfast ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบแอสพีเรต ที่ออกแบบด้วยมุมระนาบ 65 องศา ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดพีค 718 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์ 7 ความเร็วแบบ DUAL-CLUTCH เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 340 กม./ชม. แสดงถึงสุดยอดเทคโนโลยีเครื่องยนต์แอสพีเรตของ Ferrari เครื่องยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมระบบปรับเปลี่ยนรูปทรงท่อไอดีและระบบจัดการแรงบิดแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยให้การขับขี่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพการขับขี่ สำหรับแฟนๆรถไทย แม้ 812 Superfast อาจจะยากที่จะดึงประสิทธิภาพออกมาได้เต็มที่บนถนนเมืองไทย แต่เสียงเครื่องที่ดุดันและประสบการณ์การขับที่สมบูรณ์แบบก็ยังเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เครื่องยนต์แอสพีเรตให้ความรู้สึกการเร่งแบบลื่นไหลและเสียงเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ในรอบสูง ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ Ferrari ยังคงยึดมั่นกับเครื่องยนต์แอสพีเรตขนาดใหญ่ นอกจากนี้ เทคโนโลยีเครื่องยนต์ของ 812 Superfast ยังแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Ferrari ที่มีต่อระบบขับเคลื่อนแบบดั้งเดิม แม้ในยุคที่รถไฟฟ้ากำลังมาแรง แต่เครื่องยนต์แบบนี้ก็ยังคงเป็นสุดยอดแห่งเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน
Q
Ferrari 812 Superfast เปิดตัวเมื่อไหร่
Ferrari 812 ซูเปอร์ฟาสต์ เปิดตัวครั้งแรกในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ปี 2017 และวางจำหน่ายในปีเดียวกัน รุ่นนี้ถือเป็นรถยนต์ที่มาทดแทน F12berlinetta โดยติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร แบบสูบธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุดถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 340 กม./ชม. ซึ่งแสดงถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของ Ferrari ในด้านเครื่องยนต์แบบสูบธรรมชาติดั้งเดิม สำหรับตลาดไทย 812 Superfast ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักขับระดับสูงด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นและการออกแบบสไตล์อิตาเลียนที่โดดเด่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการขับขี่ในสนามแข่งมาตรฐานสูงรอบๆ กรุงเทพฯ หรือการสะสมเป็นรถส่วนตัว สำหรับคนไทยแล้ว รุ่นนี้ไม่เพียงเป็นตัวแทนของประสบการณ์การขับที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Ferrari ที่ยังคงพัฒนารถซูเปอร์คาร์ด้วยเครื่องยนต์ V12 แบบคลาสสิก แม้ว่าปัจจุบันเทรนด์รถไฟฟ้าจะมาแรง แต่ 812 Superfast ยังคงเป็นสุดยอดรถสปอร์ตเครื่องยนต์สันดาปที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ
Q
ความแตกต่างระหว่าง Ferrari 812 Superfast และ GTS คืออะไร
ความแตกต่างหลักระหว่าง Ferrari 812 Superfast กับรุ่น GTS อยู่ที่การออกแบบหลังคา โดย 812 Superfast เป็นคูเป้หลังคาคงที่ ส่วนรุ่น GTS เป็นเวอร์ชันเปิดประทุนที่มีระบบหลังคาแบบพับได้ที่สามารถเปิด-ปิดได้ภายใน 14 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 45 กม./ชม. ทำให้ผู้ขับขี่ในสภาพอากาศร้อนของไทยสามารถเลือกที่จะรับแสงแดดหรือหาที่ร่มได้ตามใจชอบ ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์เบนซิน V12 6.5 ลิตรเท่ากัน ให้กำลังสูงถึง 800 แรงม้า แต่รุ่น GTS มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 75 กิโลกรัมจากโครงสร้างเสริมสำหรับระบบเปิดประทุน ทำให้ความเร็วสูงสุดลดลงเล็กน้อยเหลือ 340 กม./ชม. ซึ่งไม่ส่งผลมากนักกับการขับขี่ปกติในชีวิตประจำวัน สำหรับประเทศไทยแล้ว รุ่น GTS น่าจะได้รับความนิยมมากกว่าเพราะเหมาะทั้งกับการขับในเมืองที่การจราจรหนาแน่นและการขับเลียบชายทะเลเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาหรือหัวหิน ที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ได้มากกว่า ส่วนการตกแต่งภายในและเทคโนโลยีต่างๆในทั้งสองรุ่นแทบไม่ต่างกัน ล้วนใช้ระบบช่วยขับขี่สมัยใหม่และวัสดุหรูหราเหมือนกัน เพียงแต่รุ่น GTS มีการปรับปรุงระบบกันเสียงเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะกับการเป็นรถเปิดประทุน สำหรับคนไทยแล้ว การเลือกระหว่างสองรุ่นนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและสถานการณ์ใช้งานเป็นหลัก เพราะต้องยอมรับว่าการขับรถเปิดประทุนรับลมร้อนชื้นแบบไทยๆนั้นเป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน
ดูเพิ่มเติม