Q

เครื่องยนต์ใน Mazda 2 ปี 2020 คืออะไร

รถมาสด้า 2 รุ่นปี 2020 ที่วางขายในตลาดไทยส่วนใหญ่จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ แบบอัดธรรมชาติ มีให้เลือก 2 รุ่น คือรุ่นมาตรฐานที่ให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้า และรุ่นกำลังสูงที่ทำได้ถึง 110 แรงม้า มาพร้อมเกียร์แบบ 6 สปีดทั้งมือถือและออโต้ เครื่องยนต์นี้ใช้เทคโนโลยี Skyactiv ของมาสด้าที่เน้นความสมดุลระหว่างประหยัดน้ำมันและประสิทธิภาพ เหมาะกับสภาพการขับขี่ในเมืองไทยที่รถติดบ่อยและต้องเร่ง-หยุดตลอดเวลา ที่สำคัญการตั้งค่าเครื่องยนต์ของมาสด้า 2 เวอร์ชันไทยได้ออกแบบมาเพื่อสภาพอากาศร้อนและคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ เพื่อให้มั่นใจในความทนทานและเสถียรภาพ ในตลาดไทยรถคันเล็กอย่างมาสด้า 2 ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่เพราะขับเคลื่อนคล่องแคล่วและค่าบำรุงรักษาไม่สูง เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างฮอนด้าแจ๊สหรือโตโยต้ายาริสที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดใกล้เคียงกัน แต่มาสด้า 2 จะให้ความรู้สึกสนุกในการขับมากกว่า โดยเฉพาะการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่เรียกได้ว่าดีเป็นพิเศษในระดับเดียวกัน อีกทั้งขนาดเครื่อง 1.5 ลิตรยังช่วยให้ผู้ใช้ในไทยได้ประโยชน์จากภาษีรถยนต์ที่ถูกกว่าด้วย ทำให้ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันประหยัดกว่า
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
มีรุ่นของ Mazda 2 กี่รุ่น?
รถ Mazda 2 มีหลายรุ่นให้เลือกครับ จากข้อมูลที่เห็นจะมีรุ่นปีต่างๆ เช่น ปี 2020, 2022, 2023 และ 2025 แบ่งตามระดับอุปกรณ์ก็จะมีแบบนี้ครับ - รุ่นปี 2025 มี Mazda 2 1.3 Prime, 1.3 Ultra, 1.3 Signature และ 1.5 XDL Signature ส่วนปี 2023 ก็จะมี 1.3 C AT, 1.3 S AT, 1.5 Turbo XD AT, 1.3 SP AT กับ 1.5 Turbo XDL AT สำหรับปี 2022 มีแค่รุ่น 1.3 E AT เท่านั้น ส่วนปี 2020 จะมีรุ่น Sedan 1.3 E, 1.3 C, 1.3 S, 1.3 S Leather, 1.3 SP, 1.5 XD และ 1.5 XDL เป็นต้น แต่ละรุ่นจะแตกต่างกันทั้งราคาและสเปคครับ โดยเฉพาะในส่วนของระบบความปลอดภัย อุปกรณ์มัลติมีเดียต่างๆ ผู้ซื้อสามารถเลือกรุ่นที่เหมาะกับความต้องการและงบประมาณได้เลยครับ
Q
รถ Mazda 2 ใหญ่พอไหม
มาสด้า 2 เป็นรถเก๋งคอมแพคต์ที่เหมาะกับชีวิตในเมืองไทยโดยเฉพาะ ถนนในกรุงเทพฯรถติดขนาดนี้ แต่มาสด้า 2 ขับง่าย จอดสะดวก เพราะตัวรถไม่ใหญ่เกินไป มีทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 1.3 และ 1.5 ลิตร ที่ประหยัดน้ำมันมากๆ เหมาะกับการขับรถไปทำงานประจำวันจริงๆ ถึงแม้ว่าที่นั่งแถวหลังอาจจะคับไปหน่อยสำหรับคนตัวสูง แต่สำหรับคนโสดหรือครอบครัวเล็กๆ ก็เพียงพอแล้ว ส่วนกระโปรงหลังเก็บของได้พอใช้ ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป จะไปจ่ายตลาดหรือไปเที่ยวใกล้ๆ ก็เอาอยู่ แถมดีไซน์ยังสวยโดนด้วยสไตล์ KODO ที่เป็นลายเซ็นของมาสด้า ภายในห้องโดยสารก็ทำออกมาได้เนี๊ยบมาก ในเรื่องความปลอดภัยก็มี ABS, EBD ให้ ส่วนรุ่นท็อปๆ อาจจะมีกล้องถอยหลังให้อีกต่างหาก ที่สำคัญค่าซ่อมบำรุงในไทยก็ไม่แรง อะไหล่ก็หาง่าย สรุปแล้วถ้าคุณใช้รถแค่ในเมือง บางทีก็ไปเที่ยวใกล้ๆ มาสด้า 2 นี่แหละใช่เลย แต่ถ้าจะต้องมีผู้โดยสารเยอะหรือขนของบ่อยๆ อาจจะต้องมองรถตัวใหญ่ขึ้นหน่อย เช่น มาสด้า 3 หรือ CX-3 จะเหมาะกว่า
Q
รถ Mazda 2 มีเบรกดรัมหรือไม่?
รุ่น Mazda 2 บางรุ่นมีการติดตั้งเบรกแบบดรัมไว้ที่ล้อหลัง อย่างเช่นในข้อมูลรุ่นปี 2023 อย่าง Mazda 2 1.3 C AT, Mazda 2 1.3 S AT, Mazda 2 1.5 Turbo XD AT, Mazda 2 1.3 SP AT และ Mazda 2 1.5 Turbo XDL AT ล้วนใช้เบรกล้อหลังเป็นแบบดรัม ส่วนรุ่นปี 2025 อย่าง Mazda 2 1.3 Prime, Mazda 2 1.3 Ultra และ Mazda 2 1.3 Signature ก็ยังใช้เบรกแบบดรัมที่ล้อหลังเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกรุ่นของ Mazda 2 จะเป็นแบบนี้ เพราะอย่างรุ่นปี 2025 อย่าง Mazda 2 1.5 XDL Signature นั้นใช้เบรกทั้งล้อหน้าและล้อหลังเป็นแบบดิสก์ทั้งหมด เบรกแบบดรัมทำงานโดยใช้ผ้าเบรกเสียดสีกับดรัมเพื่อสร้างแรงหยุด มีโครงสร้างไม่ซับซ้อนและต้นทุนต่ำ แต่ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนและด้านอื่นๆ จะสู้เบรกแบบดิสก์ไม่ได้
Q
ฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าเบรกหลังหรือไม่?
การจะเปลี่ยนผ้าเบรกหลังหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลายอย่าง เริ่มจากระดับการสึกหรอของผ้าเบรก โดยปกติถ้าความหนาน้อยกว่า 3 มม. ก็ควรเปลี่ยนแล้ว ในไทยที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาและการขับขี่ในเมืองที่ต้องหยุดบ่อยๆ จะเร่งให้ผ้าเบรกสึกเร็วขึ้น แนะนำให้ตรวจเช็คทุก 10,000 กม. คุณสามารถสังเกตได้จากเสียงดังเอี๊ยดของแผ่นเตือนโลหะหรือไฟเตือนบนแผงหน้าปัด บางรุ่นยังสามารถมองเห็นความหนาที่เหลือผ่านช่องล้อได้ ในสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย ผ้าเบรกมักจะเกิดการกัดกร่อน แม้ความหนายังพอใช้แต่ถ้ามีการแข็งตัวหรือร้าวก็ควรเปลี่ยน ผ้าเบรกหลังมักจะใช้งานได้นานกว่าผ้าเบรกหน้าประมาณ 30% เพราะแรงเบรกส่วนใหญ่จะไปที่ล้อหน้า แต่การจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ จะเพิ่มการใช้งานผ้าเบรกหลังมากขึ้น เวลาเปลี่ยนแนะนำให้เลือกวัสดุเซรามิกหรือกึ่งโลหะที่เหมาะกับอากาศร้อน เพราะทนความสูงและมีฝุ่นน้อย ข้อควรระวังคือรถบางรุ่นที่ใช้เบรกมือแบบอิเล็กทรอนิกส์可能需要ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษในการรีเซ็ต ควรไปที่อู่มืออาชีพจะดีกว่า การตรวจสอบระดับน้ำมันเบรกและสภาพท่อเบรกเป็นประจำก็สำคัญ เพราะความชื้นในฤดูฝนของไทยอาจทำให้น้ำมันเบรกดูดความชื้นและเสื่อมสภาพเร็ว ถ้ารู้สึกว่าระยะเบรกยาวขึ้นหรือแป้นเบรกนิ่มลง แม้ผ้าเบรกยังไม่หมดอายุก็ควรตรวจสอบระบบเบรกทั้งหมด
Q
มาสด้า 2 มีสายพานหรือโซ่
รถมาสด้า 2 ที่ขายในตลาดไทยส่วนใหญ่ใช้ระบบไทม์มิ่งแบบขับเคลื่อนด้วยโซ่ ซึ่งออกแบบมาให้ทนทานกว่าการใช้สายพานแบบเดิมๆ และแทบไม่ต้องบำรุงรักษา เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนและมีฝุ่นของประเทศไทย เพราะโซ่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากความร้อนสูงหรือฝุ่นที่ทำให้เสื่อมสภาพง่าย ในสภาพการขับขี่ที่ต้องสตาร์ทและหยุดบ่อยในเมืองไทย ระบบโซ่ช่วยรักษาประสิทธิภาพให้คงที่มากขึ้น และยังลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนสายพานตามระยะให้เจ้าของรถอีกด้วย ที่สำคัญต้องระวังว่าแม้โซ่จะมีอายุการใช้งานยาวนาน แต่เจ้าของรถก็ยังต้องตรวจสอบความตึงของโซ่และสภาพรอกตามคำแนะนำของผู้ผลิต โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนตลอดปีของไทย คุณภาพน้ำมันหล่อลื่นจะมีผลโดยตรงต่ออายุการใช้งานของโซ่ สำหรับคนไทยที่กำลังมองหาซื้อรถมาสด้า 2 มือสอง แนะนำให้ตรวจสอบระบบไทม์มิ่งของเครื่องยนต์เป็นพิเศษว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่ จะช่วยหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายซ่อมแซมสูงในภายหลังได้ โดยทั่วไปศูนย์บริการมาสด้าในไทยจะมีบริการตรวจเช็คระบบไทม์มิ่งแบบเฉพาะทาง ลองขอให้ช่างตรวจสอบอย่างละเอียดเวลานำรถเข้าบำรุงรักษาตามระยะจะดีกว่า เพราะการบำรุงรักษาเพื่อป้องกันย่อมประหยัดกว่าการซ่อมแซมหลังจากเกิดปัญหาแล้ว
Q
วิธีเปิดเครื่อง Mazda 2 ด้วยกุญแจ
ก่อนจะสตาร์ทรถ Mazda 2 ที่ใช้กุญแจแบบธรรมดา ต้องเช็คให้แน่ใจว่าเกียร์อยู่ที่ตำแหน่ง P (สำหรับเกียร์ออโต้) หรือเกียร์ว่าง (สำหรับเกียร์มือ) เสียก่อน จากนั้นสอดกุญแจเข้าไปในตัวสตาร์ทที่ด้านขวาของพวงมาลัย แล้วหมุนตามเข็มนาฬิกาไปที่ตำแหน่ง "ON" เพื่อให้ระบบไฟฟ้าของรถทำงาน พอไฟหน้าปัดหยุดกระพริบแล้ว ให้หมุนกุญแจต่อไปถึงตำแหน่ง "START" เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ พอเครื่องติดแล้วกุญแจจะเด้งกลับไปที่ตำแหน่ง "ON" อัตโนมัติ ในสภาพอากาศร้อนๆ แบบเมืองไทย แนะนำว่าให้รอสัก 30 วินาทีหลังสตาร์ท เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลเวียนเต็มที่ก่อนออกรถ จะช่วยถนอมเครื่องยนต์ได้ดีนะ ถ้าเกิดอาการกุญแจหมุนยาก อาจเป็นเพราะความชื้นหรือฝุ่นเกาะในตัวสตาร์ท ลองขยับพวงมาลัยซ้ายขวาเบาๆ เพื่อปลดล็อกพวงมาลัยดู ถ้าไม่ดีขึ้นก็ไปที่ศูนย์ Mazda ที่ไทยได้เลย เขามีบริการจารบีตัวสตาร์ทให้ฟรีๆ ส่วนเวลาปกติ ควรใช้ผ้านุ่มๆ เช็ดกุญแจให้แห้งอยู่เสมอ ระวังอย่าให้ความชื้นหรือทรายเข้าไปในตัวสตาร์ท จะได้ใช้งานได้นานๆ
Q
ช่วงระยะทางของรถ Mazda 2 เมื่อเติมน้ำมันเต็มถังคือเท่าไหร่
รถมาสด้า 2 ที่ขายในตลาดไทยมีความจุถังน้ำมันประมาณ 44 ลิตร ถ้าขับในสภาพจริงจะวิ่งได้ประมาณ 500-700 กิโลเมตรต่อหนึ่งถังเต็ม ขึ้นอยู่กับสภาพถนน นิสัยการขับขี่ และรุ่นย่อยของรถ เช่น ถ้าติดไฟแดงบ่อยๆในกรุงเทพฯ จะกินน้ำมันมากหน่อย แต่ถ้าขับทางไกลบนทางด่วนจะประหยัดกว่า สำหรับคนไทยที่สนใจ รุ่นที่ขายในประเทศอาจติดตั้งเครื่องยนต์ 1.3 ลิตรหรือ 1.5 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี Skyactiv ของมาสด้าที่ช่วยเรื่องประหยัดน้ำมัน แนะนำให้บริการรักษารถตามกำหนดเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด และอย่าลืมว่าอากาศเมืองไทยร้อน แอร์ทำงานหนักก็ทำให้น้ำมันหมดไวเหมือนกัน แค่วางแผนเส้นทางดีๆ ขับขี่อย่างมีสติ ก็ช่วยเพิ่มระยะวิ่งได้เยอะนะ
Q
รถ Mazda 2 มีระบบตรวจจับจุดบอดหรือไม่
รถยนต์มาสด้า 2 ในรุ่นท็อปหรือรุ่นกลางสูงบางรุ่นนั้น มีระบบ Blind Spot Monitoring (BSM) ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบจุดบอด โดยใช้เซ็นเซอร์เรดาร์ที่ติดตั้งอยู่ตรงกันชนหลัง ทำหน้าที่ตรวจจับรถที่อยู่ในจุดบอดด้านข้างและด้านหลังของรถ เมื่อมีรถเข้าไปอยู่ในจุดบอด ไฟเตือนที่กระจกข้างจะสว่างขึ้นเพื่อแจ้งเตือนผู้ขับขี่ ในตลาดไทย ระบบนี้มักจะพบได้ในรุ่นท็อปหรือรุ่นกลางสูงเท่านั้น แต่แนะนำให้ตรวจสอบกับตัวแทนจำหน่ายอีกครั้งเพื่อความแน่ชัด เพราะอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่น สำหรับคนไทยที่ต้องขับรถในสภาพการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ หรือบนทางด่วน ระบบ BSM ถือว่ามีประโยชน์มาก ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเวลาจะเปลี่ยนเลน โดยเฉพาะในสภาพถนนที่มีรถมอเตอร์ไซค์เยอะๆ นอกจากระบบ BSM แล้ว มาสด้า 2 ยังอาจมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อื่นๆ เช่น กล้องถอยหลัง หรือระบบเตือนรถตัดหลังเวลาถอย ซึ่งระบบพวกนี้ช่วยให้ขับรถในสภาพอากาศร้อนและฝนตกของไทยได้ง่ายขึ้น ถ้าสนใจระบบนี้จริงๆ แนะนำให้ตรวจสอบรายละเอียดกับตัวแทนจำหน่ายให้ดีๆ ก่อนซื้อ หรือจะเปรียบเทียบกับระบบความปลอดภัยในรถรุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกันก็ได้ เพื่อเลือกรุ่นที่เหมาะกับตัวเองที่สุด
Q
ถังน้ำมันของ Mazda 2 มีขนาดใหญ่แค่ไหน?
รถมาสด้า 2 ในตลาดไทยมีความจุถังน้ำมันประมาณ 44 ลิตร ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรถขนาดเล็กรุ่นอื่นๆ ในตลาดเดียวกัน เหมาะสมกับการใช้งานในเมืองและการเดินทางใกล้ๆ โดยเฉพาะในสภาพการจราจรติดขัดแบบไทยๆ ที่เราคุ้นเคย ถังน้ำมันขนาดนี้จะช่วยให้วิ่งได้ประมาณ 500-600 กิโลเมตรต่อการเติมหนึ่งครั้ง ลดความยุ่งยากในการต้องแวะเติมน้ำมันบ่อยๆ แต่ด้วยอากาศร้อนของประเทศไทย ควรตรวจสอบความแน่นของฝาถังน้ำมันเป็นประจำเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิง และควรเติมน้ำมันคุณภาพดีจากปั๊มมาตรฐานเพื่อรักษาสภาพเครื่องยนต์และระบบเชื้อเพลิง ข้อควรรู้คือ รุ่นมาสด้า 2 ที่ขายในไทยอาจมีการปรับเปลี่ยนระบบเชื้อเพลิงเล็กน้อยตามกฎหมายหรือความต้องการของตลาดท้องถิ่น ดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลที่แน่นอนจากคู่มือรถจะดีที่สุด ส่วนเรื่องการขับขี่ ถ้าขับอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เร่งเครื่องเบาๆ และหลีกเลี่ยงการเบรกกระทันหัน จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ที่รถติดเป็นเรื่องปกติ
Q
รถ Mazda 2 มีล้ออะไหล่หรือไม่?
จากข้อมูลที่ปรากฏ รุ่น Mazda 2 ในตลาดไทยบางรุ่นมีการติดตั้งยางอะไหล่สำรองไว้ด้วย แต่ขึ้นอยู่กับว่ารุ่นและอุปกรณ์ที่เลือก เช่น รุ่นท็อปอาจจะไม่มียางอะไหล่แบบเต็มขนาด แต่จะให้ชุดซ่อมยางแทน แนะนำให้สอบถามรายละเอียดกับตัวแทนจำหน่ายอีกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ ในไทยเนี่ยะ ถนนบางเส้นสภาพไม่ค่อยดี บวกกับต้องขับทางไกลบ่อยๆ การมียางอะไหล่ติดรถไว้จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ยางแตกได้ดีเลย โดยเฉพาะถ้าคุณต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือพื้นที่ห่างไกลบ่อยๆ แต่อย่าลืมว่ายางอะไหล่มักจะมีข้อจำกัดเรื่องความเร็วและระยะทาง ควรใช้แค่ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แล้วรีบเปลี่ยนเป็นยางปกติให้เร็วที่สุด นอกจากนี้สภาพอากาศไทยที่ทั้งร้อนและชื้น แนะนำให้ตรวจสอบลมยางและสภาพยางอะไหล่เป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่ายังใช้การได้ดี ถ้าคุณกำลังคิดจะซื้อ Mazda 2 ลองศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยี Skyactiv ที่ช่วยเรื่องประหยัดน้ำมันและการควบคุมรถได้ดี เหมาะมากกับการขับขี่ในเมืองไทยทั้งในเมืองและสภาพการจราจรที่ต้องหยุด-บ่อยๆ

ข้อดี

Skyactive-G 1.3 ลิตรน้ำมันเบนซินสามารถใช้เบนซินน้ำตาลหรือ 95 E10 และ E20 แอลกอฮอล์เบนซิน Skyactive-D 1.5 ลิตรเครื่องยนต์ดีเซลเลือก
ติดตั้งระบบ GVC-Plus เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมยานพาหนะ เพิ่มความเสถียร ทำให้เลี้ยวง่าย มีความยึดเกาะดี ทำให้ขับขี่มั่นใจมากขึ้น
วัสดุตกแต่งภายในคุณภาพดี การยัดนุ่มทุกที่ ประทับหนังดีมีความรู้สึกทางประสบการณ์ รอยเย็บสวยงาม การออกแบบอุปกรณ์ใช้งานง่าย มีความรู้สึกแบบพรีเมี่ยม
ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ CVT 6 ความเร็วแบบมือ สามารถสลับได้ด้วยเหยียบคันเร่งหรือคันควบคุมเพลาสลับเกียร์ ระยะสลับเกียร์ที้ดี ขับขี่น่าสนใจ
รถยนต์เบนซินพื้นฐานมีการใช้น้ำมันต่ำ สามารถได้ถึง 23.3 กิโลเมตร/ลิตร ดีเซลสามารถได้ถึง 26.3 กิโลเมตร/ลิตรการขับขี่ที่ความเร็วคงที่ระหว่าง 80 - 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถประหยัดน้ำมันได้ถึง 30 กิโลเมตร/ลิตร

ข้อเสีย

ที่นั่งด้านหลังมีพื้นที่เ narrowคสมากความสะดวกในการขนส่งไม่ค่อยดีเลยด้วยเฉพาะเมื่อมน 4 - 5 คน
คุณภาพการเร่งความเร็วของเครื่องยนต์ patrol นั้นเฉยๆ การตอบสนองไม่ผล เเละความรูปแบบไม่ดีเท่ากับรุ่นดีเซล
ทรงรถที่กุณาบกับที่แล้วไม่ค่อยคุณหน่อยเฉพาะเจาะจงกว่าคู่แข่ง
ส่วนของอะไหล่แพงบางครั้งต้องรออะไหล่ครนเวลานาน
รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลมีราคาสูงกว่าคู่แข่ง patrol 1.3 ลิตร Skyactiv-G รุ่นเริ่มต้นที่ 546,000 บาท ดีเซล 1.5 ลิตร Skyactiv-D รุ่นเริ่มต้นที่ 782,000 บาท

Q&A ล่าสุด

Q
BMW i8 มีที่นั่งกี่ที่
BMW i8 เป็นรถสปอร์ตปลั๊กอินไฮบริดที่มีดีไซน์ล้ำอนาคต ในตลาดไทยได้รับความสนใจทั้งด้านการออกแบบและประสิทธิภาพเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รุ่นนี้ใช้การจัดวางที่นั่งแบบ 2+2 มีทั้งหมด 4 ที่นั่ง แต่พื้นที่เบาะหลังค่อนข้างจำกัด เหมาะกับเด็กหรือการโดยสารระยะสั้น สำหรับผู้บริโภคไทย การออกแบบเบาะของ i8 ผสมผสานความสปอร์ตของรถสปอร์ตกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน แม้ในเมืองกรุงเทพฯ ที่การจราจรติดขัดการใช้เบาะหลังอาจน้อย แต่เมื่อมีผู้โดยสารครอบครัวหรือเพื่อนก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน นอกจากนี้ โครงสร้างตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาและประตูปีกนกของ i8 แสดงความแข็งแรงแม้ในอากาศร้อนของไทย ระบบขับเคลื่อนไฮบริดยังช่วยลดน้ำมันในสภาพการจราจรที่ต้องหยุด-ออกบ่อย เหมาะกับผู้ขับที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพถนนในไทย แนะนำให้ทดลองขับก่อนซื้อเพื่อประเมินความสะดวกสบายของเบาะและการขึ้นลงรถ
Q
BMW i8 ราคาเท่าไหร่
ในตลาดประเทศไทย BMW i8 เป็นรถสปอร์ตปลั๊กอินไฮบริดที่ราคาจะแตกต่างกันไปตามรุ่น ปีที่ผลิต และโปรโมชั่นจากตัวแทนจำหน่าย โดยราคาสำหรับรถใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 15-18 ล้านบาท ส่วนรถมือสองราคาจะลดลงเหลือประมาณ 8-12 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับสภาพรถและระยะทางที่ใช้งาน รถคันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 3 สูบเทอร์โบชาร์จที่ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุดถึง 369 แรงม้า และสามารถวิ่งได้ประมาณ 50 กิโลเมตรในโหมดไฟฟ้าล้วน ซึ่งเหมาะมากกับการใช้งานในเมืองหรือทริปสั้นๆ ในประเทศไทย รัฐบาลไทยยังมีนโยบายสนับสนุนรถพลังงานสะอาดด้วยการลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต ทำให้ราคาของ i8 ถูกลงบ้าง ที่สำคัญตอนนี้สถานีชาร์จไฟในไทยกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯและเชียงใหม่ที่ห้างสรรพสินค้าหรืออาคารสำนักงานหลายแห่งมีจุดชาร์จให้บริการสะดวกสบาย ส่วนเรื่องการใช้งานในระยะยาว i8 จะมีประกันแบตเตอรี่ 8 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร และ BMW ประเทศไทยยังมีเครือข่ายบริการหลังการขายที่ครบครัน รวมถึงโปรแกรมตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่และแพ็คเกจดูแลเฉพาะสำหรับเจ้าของรถ เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Porsche 911 ไฮบริดหรือ Audi R8 e-tron ที่ราคาสูงกว่า i8 ยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคระดับสูงด้วยดีไซน์ที่ดู futururistic และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Q
เท่าไหร่ที่จะเช่า bmw i8
ราคาเช่าบีเอ็มดับเบิลยู i8 ในไทยจะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาเช่า รุ่นปีของรถ และบริษัทที่ให้บริการเช่า โดยทั่วไปถ้าเช่าประจำวันจะตกอยู่ที่ประมาณ 15,000-25,000 บาท ส่วนแบบรายสัปดาห์อาจอยู่ที่ 90,000-120,000 บาท แต่ราคาที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเพิ่มเติมเช่นประกันหรือระยะทางที่อนุญาตให้ขับได้ บีเอ็มดับเบิลยู i8 เป็นรถสปอร์ตปลั๊กอินไฮบริดที่โดดเด่นทั้งดีไซน์และสมรรถนะ แถมระบบแบตเตอรี่ยังถูกออกแบบมาให้ใช้งานในสภาพอากาศร้อนแบบไทยๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าคิดจะเช่าในเมืองดังๆ อย่างกรุงเทพหรือภูเก็ตแนะนำให้จองล่วงหน้าโดยเฉพาะช่วงไฮซีซันเพราะรถระดับนี้มักถูกจองเร็ว นอกจากนี้บางบริษัทเช่าระดับพรีเมียมยังมีบริการส่งรถถึงที่ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรือสนามบิน แต่บริการเสริมแบบนี้อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มนะ ถ้าสนใจรถพลังงานใหม่ ลองศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเช่ารถ EV ในไทยด้วย เพราะบางพื้นที่อาจมีจุดชาร์จไฟหรือสิทธิ์ลดหย่อนภาษีที่จะช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
Q
BMW i8 วิ่งเร็วแค่ไหน
รถ BMW i8 ถูกจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 250 กม./ชม. ซึ่งถือเป็น performance ที่โดดเด่นมากในกลุ่มรถสปอร์ต Plug-in Hybrid ด้วยระบบขับเคลื่อนที่ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 3 สูบ เทอร์โบชาร์จ และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงถึง 369 แรงม้า เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.4 วินาที สำหรับสภาพอากาศร้อนของประเทศไทย แนะนำให้ระวังเรื่องประสิทธิภาพการระบายความร้อนของแบตเตอรี่เพื่อรักษาสมรรถนะให้คงที่ ส่วนในสภาพการจราจรติดขัดอย่างในกรุงเทพฯ การใช้โหมดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว (ระยะทางประมาณ 37 กม.) จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่า นอกจากนี้ดีไซน์ประตูผีเสื้อและโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ยังเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในตลาดรถหรูไทย แต่ควรตรวจสอบศูนย์บริการหลังการขายในพื้นที่เกี่ยวกับความพร้อมในการดูแลระบบ Hybrid และหากกำลังมองหา i8 มือสอง ควรตรวจสอบสภาพของชุดแบตเตอรี่แรงดันสูงเป็นพิเศษ ส่วนรุ่นพวงมาลัยขวาที่ขายในไทยอาจให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่แตกต่างจากรุ่นพวงมาลัยซ้ายเล็กน้อย
Q
Zeekr X จะเชื่อมต่อบลูทูธอย่างไร?
การเชื่อมต่อบลูทูธระหว่างรถ Zeekr X กับมือถือ ทำได้ง่ายๆ แค่ทำตามขั้นตอนนี้ ก่อนอื่นต้องมั่นใจว่ารถอยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน (เปิดเครื่องหรือโหมด ACC) จากนั้นที่หน้าจอหลักของระบบรถ ให้แตะ "การตั้งค่า" เพื่อเข้าเมนูบลูทูธ เปิดการมองเห็นบลูทูธของรถให้พร้อมใช้งาน พร้อมกับเปิดฟังก์ชั่นบลูทูธบนมือถือของคุณ ในรายการอุปกรณ์ที่ใช้ได้ ให้เลือก "Zeekr X" เพื่อทำการจับคู่ บางรุ่นอาจต้องใส่รหัสผ่านเริ่มต้นเช่น "0000" หรือ "1234" เมื่อจับคู่สำเร็จ ก็สามารถใช้งานฟังก์ชั่นเล่นเพลงและโทรศัพท์ได้แล้ว สำหรับสภาพอากาศร้อนในไทย แนะนำให้ตรวจสอบระบบระบายความร้อนของโมดูลบลูทูธเป็นประจำ เพื่อป้องกันปัญหาการเชื่อมต่อที่ไม่เสถียรจากความร้อนสูง ส่วนในบางพื้นที่ภูเขาของไทยที่สัญญาณอาจไม่แรง แนะนำให้ดาวน์โหลดแผนที่แบบออฟไลน์เก็บไว้ในมือถือล่วงหน้า หากเจอปัญหาการเชื่อมต่อ ลองรีสตาร์ทระบบรถหรือลบประวัติการจับคู่เก่าแล้วลองใหม่ได้ รถ Zeekr X รุ่นนี้ใช้บลูทูธเวอร์ชัน 5.2 ที่มีความเสถียรและเข้ากันได้ดีกับอุปกรณ์ต่างๆ พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกันได้ 2 เครื่อง ทำให้สะดวกสำหรับครอบครัวที่ต้องการสลับการใช้งานระหว่างอุปกรณ์
ดูเพิ่มเติม