ขับรถชนสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ (เสาไฟฟ้า, รั้วกั้น, แบริเออร์) ต้องชดใช้ค่าเสียหายเท่าไหร่? วิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
AshleySep 15, 2025, 11:54 AM
ในชีวิตประจำวันของเจ้าของรถในประเทศไทย ไม่ว่าจะขับรถไปทำงาน ออกไปทำธุระ หรือติดต่องานต่างๆ ก็อาจพบเจอกับสิ่งก่อสร้างสาธารณะที่เรียกว่าของใช้สาธารณะต่างๆ เช่น เสาไฟฟ้า ราวกั้น สัญลักษณ์จราจร ต้นไม้ตามถนน และแท่งแบริเออร์ สิ่งเหล่านี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของทุกคนและประโยชน์สาธารณะ แต่ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถชนเข้ากับสิ่งก่อสร้างสาธารณะเหล่านี้ เจ้าของรถอาจต้องเผชิญกับค่าปรับและค่าชดใช้ที่สูงถึง 1 ล้านบาท!
ขับรถชนเสาไฟฟ้า: ค่าชดใช้สูงสุดต้นละ 1 ล้านบาท
เสาไฟฟ้าเป็นสิ่งก่อสร้างสาธารณะที่สำคัญสำหรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ หากเกิดความเสียหายไม่เพียงแต่ทำให้พื้นที่บางส่วนขาดแคลนไฟฟ้าชั่วคราว ยังอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆ เช่น กระแสไฟรั่วหรือไฟฟ้าลัดวงจร ด้วยเหตุนี้ ค่าชดใช้จึงสูงกว่าสิ่งก่อสร้างสาธารณะทั่วไป จากข้อมูลของการไฟฟ้าแห่งประเทศไทยและบริษัทประกันภัย ค่าชดใช้ในกรณีเสาไฟฟ้าถูกชนจะขึ้นอยู่กับระดับของแรงดันไฟฟ้า โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
เสาไฟฟ้าแรงดันต่ำ (ใช้ในเขตที่อยู่อาศัย)
สถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง: ติดตั้งตามหมู่บ้านชุมชน ถนนในชนบท หรือพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรต่ำ แรงดันไฟฟ้าโดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 220V-380V ใช้สำหรับการจ่ายไฟฟ้าครัวเรือน
ขอบเขตค่าชดใช้: รวมค่าเปลี่ยนเสาไฟฟ้าใหม่ ค่าเสริมฐานราก และค่าแรงติดตั้ง ไม่รวมถึงความเสียหายเพิ่มเติมที่เกิดจากสายไฟที่ขาด.
จำนวนเงินชดเชย: ชดเชยต่อเสาหนึ่งต้นอยู่ที่ 10,000-30,000 บาทไทย ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดนนทบุรีในปี 2566 มีกรณีเจ้าของรถยนต์รายหนึ่งขับรถเสียการควบคุมชนเสาไฟฟ้าแรงดันต่ำจนหัก หลังจากการประเมินความเสียหายโดยการไฟฟ้า สุดท้ายต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน 22,000 บาทไทย และต้องชำระภายใน 15 วันทำการ
เสาไฟฟ้าแรงดันปานกลาง (ใช้ในถนนสายหลัก)
สถานที่ที่เหมาะสม: ติดตั้งส่วนใหญ่ในถนนสายหลักในเมือง, ย่านการค้า หรือพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น แรงดันไฟฟ้าอยู่ที่ 11kV-22kV ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจ่ายไฟฟ้าภายในพื้นที่ ตัวเสาไฟฟ้าทำจากวัสดุที่มีความแข็งแรงมากขึ้น พร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ซับซ้อนกว่าเดิม
ขอบเขตการชดเชย: นอกจากค่าตัวเสาไฟฟ้าและค่าติดตั้งแล้ว ยังต้องรวมถึงค่าตรวจสอบและซ่อมบำรุงสายไฟ ค่าเช่าอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้าชั่วคราว หากการชนทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรในพื้นที่โดยรอบ ยังต้องจ่ายค่าชดเชยค่าแรงด่วนของทีมซ่อมแซมการไฟฟ้าเพิ่มเติม
จำนวนเงินชดเชย: ชดเชยต่อเสาหนึ่งต้นอยู่ที่ 30,000-100,000 บาทไทย ต้นปี 2567 เจ้าของรถยนต์รายหนึ่งที่ซอยสุขุมวิทในกรุงเทพฯ ชนเสาไฟฟ้าแรงดันปานกลางขณะขับรถในสภาพเมา ส่งผลให้ไฟฟ้าดับใน 3 ชุมชนโดยรอบเป็นเวลา 4 ชั่วโมง สุดท้ายจำนวนเงินที่ต้องจ่ายได้รวมค่าทดแทนเสาไฟฟ้า 50,000 บาทไทย และค่าแรงด่วนทีมซ่อมแซม 28,000 บาทไทย รวมทั้งหมด 78,000 บาทไทย
เสาไฟฟ้าแรงดันสูง (ใช้ในพื้นที่ชานเมือง/เขตอุตสาหกรรม)
สถานที่ที่เหมาะสม: ส่วนใหญ่อยู่ติดกับถนนทางหลวง เขตอุตสาหกรรม หรือบริเวณชานเมือง แรงดันไฟฟ้าโดยทั่วไปอยู่ที่ 66kV ขึ้นไป ตัวเสาไฟฟ้าสูงกว่าและมีอุปกรณ์ที่ซับซ้อน เช่น ฉนวนกันไฟฟ้าแรงสูงและอุปกรณ์ป้องกันฟ้าผ่า
ขอบเขตการชดเชย:ครอบคลุมถึงตัวเสาไฟฟ้าแรงสูง (วัสดุส่วนใหญ่ทำจากคอนกรีตเสริมเหล็ก มีต้นทุนสูงมาก) ค่าเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง ค่าซ่อมแซมโดยช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญ หากเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ไฟดับเป็นวงกว้าง จะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายของการชดเชยที่การไฟฟ้าจ่ายให้แก่บริษัทต่าง ๆ จากการผิดสัญญาไฟดับด้วย
จำนวนเงินชดเชย:ค่าชดเชยต่อเสาอยู่ที่ 1 แสน - 1 ล้านบาท ในปี 2023 รถขนส่งของโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดระยองชนเสาไฟฟ้าแรงสูงจนหัก ทำให้โรงงาน 2 แห่งโดยรอบหยุดการผลิตเป็นเวลา 8 ชั่วโมง ค่าชดเชยสุดท้ายประกอบด้วย ค่าเสาไฟฟ้า 3.5 แสนบาท ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ 2 แสนบาท ค่าชดเชยการผิดสัญญาไฟดับ 2.5 แสนบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 8 แสนบาท
ขับรถชนรั้วกั้น / เกาะกลางถนน: คิดค่าชดเชยตาม "เมตร" หรือ "ชิ้น" และเพิ่มค่าทำความสะอาด
รั้วกั้นถนนและเกาะกลางถนนเป็นสิ่งอำนวยความปลอดภัยที่สำคัญต่อการจัดระเบียบจราจร ใช้สำหรับแยกทิศทางการวิ่งของรถยนต์ ปกป้องความปลอดภัยของคนเดินถนน หรือนำทางการจราจร วิธีการคำนวณค่าชดเชยของสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้แตกต่างจากเสาไฟฟ้า โดยไม่ได้คำนวณตามจำนวนต้น แต่จะขึ้นอยู่กับความยาวที่เสียหาย วัสดุที่ใช้ และมีฟังก์ชันพิเศษเพิ่มเติมหรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าทำความสะอาดสถานที่เกิดเหตุและค่าควบคุมการจราจรเพิ่มเติม แบ่งออกได้ดังนี้
รั้วเหล็กธรรมดา (ใช้บ่อยในถนนสายรองในเมือง)
สถานที่เหมาะสม:ส่วนใหญ่ติดตั้งบนถนนสายรองในเมือง บริเวณรอบพื้นที่ที่อยู่อาศัย วัสดุทำจากเหล็กคาร์บอนต่ำธรรมดา ระดับการป้องกันต่ำ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างถูก
มาตรฐานการชดใช้:คิดค่าชดใช้ตามเมตร โดยพื้นฐานชดใช้ 1,500-2,500 บาทไทยต่อเมตร ไม่ว่าความเสียหายจะยาวเท่าไร ต้องจ่ายค่าทำความสะอาดสถานที่เพิ่มเติม 500 บาทไทย หากอุบัติเหตุทำให้เกิดการจราจรติดขัด จะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายการจัดการจราจรรายชั่วโมง ในอัตรา 1,000 บาทไทยต่อชั่วโมง
กรณีตัวอย่าง:ในเดือนมีนาคม 2024 ที่เชียงใหม่ เจ้าของรถคนหนึ่งเสียสมาธิขณะเปลี่ยนเลน ทำให้รถเสียการควบคุมและชนรั้วเหล็กธรรมดาเสียหายยาว 3 เมตร เกิดการจราจรติดขัดประมาณ 1 ชั่วโมง จำนวนเงินชดใช้รวมเท่ากับ "2,000 บาทไทย/เมตร×3 เมตร"+ค่าทำความสะอาด 500 บาทไทย+ค่าจราจรติดขัด 1,000 บาทไทย รวมทั้งหมด 6,500 บาทไทย
รั้วอะลูมิเนียมอัลลอย (สำหรับใช้ในทางหลวง)
สถานที่เหมาะสม:ใช้เฉพาะบนทางหลวง ทางด่วนไปสนามบิน หรือถนนที่มีการสัญจรด้วยความเร็วสูง วัสดุทำจากอะลูมิเนียมอัลลอยที่มีความแข็งแรงสูง น้ำหนักเบา ทนต่อแรงชน และมีเคลือบกันสนิมบนพื้นผิว ต้นทุนสูงกว่ารั้วเหล็กธรรมดา
มาตรฐานการชดเชย: คิดค่าชดเชยตามความยาวเป็นเมตร โดยมีอัตราพื้นฐาน 3,000-4,500 บาทไทยต่อเมตร ค่าทำความสะอาด 800 บาทไทย และค่าปรับเพิ่มเติมสำหรับการใช้ช่องทางฉุกเฉิน 1,500 บาทไทยต่อครั้ง
ตัวอย่างกรณี: ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 เจ้าของรถรายหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ขับบนทางด่วนสนามบินสุวรรณภูมิ และชนรั้วอลูมิเนียมเสียหายเป็นระยะ 2 เมตร เนื่องจากยางแตก รวมค่าชดเชยทั้งหมดเป็น “4,000 บาทไทยต่อเมตร × 2 เมตร” + ค่าทำความสะอาด 800 บาทไทย + ค่าปรับช่องทางฉุกเฉิน 1,500 บาทไทย รวมเป็นเงินทั้งหมด 10,300 บาทไทย
แท่งปูนกั้น (ใช้งานในถนนหลักในเมือง/จุดตัด)
สถานที่ที่เหมาะสม: มักติดตั้งในบริเวณกลางถนนหลักในเขตเมือง หรือมุมเลี้ยวที่สี่แยก ผลิตจากคอนกรีตเสริมเหล็ก มีน้ำหนักมากและมีความมั่นคงสูง สามารถป้องกันไม่ให้รถข้ามเส้นจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ บางแท่งปูนกั้นจะติดแถบสะท้อนแสง ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับแถบสะท้อนแสงจะถูกคำนวณเพิ่มเติมในค่าชดเชย
มาตรฐานการชดเชย: คิดค่าบริการตามจำนวนต่อชิ้น ขั้นพื้นฐานชิ้นละ 800-1200 บาท หากแท่งคอนกรีตมีแถบสะท้อนแสง จะต้องจ่ายเพิ่มชิ้นละ 300 บาท ไม่มีค่าทำความสะอาดเพิ่มเติม
แท่งกั้นยาง (สำหรับพื้นที่รอบโรงเรียน/ชุมชน)
สถานที่ที่เหมาะสม: ติดตั้งรอบๆ ทางเข้าออกโรงเรียน และทางเข้าออกชุมชน พื้นที่ที่มีคนเดินเท้าหนาแน่น วัสดุทำจากยางยืดหยุ่น ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับรถหลังจากการชน และช่วยลดแรงกระแทก ปกป้องความปลอดภัยของคนเดินเท้า
มาตรฐานการชดเชย: คิดค่าบริการตามจำนวนต่อชิ้น ขั้นพื้นฐานชิ้นละ 500-800 บาท ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ต้องมั่นใจว่าไม่มีเศษชิ้นส่วนกระจายหลังจากความเสียหาย (หากเศษกระจายและส่งผลกระทบต่อการเดินเท้าของคน ต้องจ่ายเพิ่มอีก 500 บาทสำหรับค่าทำความสะอาด)
3 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อต้นทุนการชดเชย ซึ่งเจ้าของรถมักมองข้าม
ในกรณีอุบัติเหตุจริง จำนวนชดเชยสุดท้ายไม่ได้คำนวณจากมาตรฐานพื้นฐานเท่านั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย (การไฟฟ้า กรมการขนส่งทางบก เทศบาล ฯลฯ) จะพิจารณาปรับจำนวนเงินตาม 3 ปัจจัยสำคัญ ซึ่งเจ้าของรถจำนวนไม่น้อยละเลยในรายละเอียดเหล่านี้ ทำให้ต้นทุนการชดเชยเพิ่มขึ้นอย่างมาก
การรับผิดชอบในอุบัติเหตุ: รับผิดชอบทั้งหมด/บางส่วนจะส่งผลต่อสัดส่วนการชดเชยโดยตรง
หากอุบัติเหตุเกิดจากสาเหตุจากฝั่งเจ้าของรถเอง (เช่น เมาแล้วขับ วิ่งเร็วกว่ากำหนด ขาดความสนใจขณะขับรถ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจร) เจ้าของรถจะต้องรับผิดชอบการชดเชยทั้งหมด 100% หากมีปัจจัยจากบุคคลที่สาม (เช่น สัญลักษณ์บนถนนไม่ชัดเจน ความบกพร่องในงานบำรุงรักษา สิ่งผิดกฎหมายของยานพาหนะอื่นทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่) สามารถยื่นเอกสารรับรองการรับผิดชอบต่อเหตุการณ์จากตำรวจจราจรเพื่อลดส่วนรับผิดชอบบางส่วน
สิ่งอำนวยความสะดวก "มูลค่าเพิ่มเติม": อุปกรณ์เสริมจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการชดใช้ค่าเสียหายอย่างมาก
สิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะบางส่วนมีอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูงหรือฟังก์ชันพิเศษ ซึ่งหากเกิดความเสียหาย จำเป็นต้องชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติม มูลค่าเพิ่มเติมนี้มักเป็นสิ่งที่เจ้าของรถมองข้าม ตัวอย่างเช่น
- กล้องวงจรปิด โคมไฟบนเสาไฟฟ้า ชดใช้ค่าเสียหาย 5,000-15,000 บาทต่อเครื่อง (ขึ้นอยู่กับรุ่นของอุปกรณ์ กล้องวงจรปิดความละเอียดสูงจะมีค่าเสียหายสูงกว่า)
- แผ่นสะท้อนแสงบนราวกั้นถนน ไฟเตือนการชน ชดใช้ค่าเสียหาย 300-1,000 บาทต่อชิ้น/ดวง
- ท่อระบายน้ำข้างแท่งแบริเออร์ กระเบื้องทางเท้าสำหรับคนเดิน ชดใช้ค่าเสียหาย 800-1,200 บาทต่อตารางเมตร
การชดใช้ล่าช้า: ค่าปรับดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นรายวัน และส่งผลต่อประวัติสินเชื่อส่วนบุคคล
ตาม “กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินสาธารณะ” ของประเทศไทย เจ้าของรถต้องชำระค่าเสียหายให้เสร็จสิ้นภายใน 15-30 วันทำการหลังจากเกิดอุบัติเหตุ หากล่าช้า จะมีการปรับดอกเบี้ย “0.5% ต่อวัน” หากล่าช้าเกิน 3 เดือน ข้อมูลของเจ้าของรถจะถูกบันทึกเข้าสู่ระบบเครดิตแห่งชาติของประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อธนาคาร การสมัครบัตรเครดิต การยื่นขอวีซ่า หรือแม้กระทั่งการตรวจสภาพรถประจำปี
2 ข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์เพื่อลดความเสียหาย เจ้าของรถต้องอ่าน
เพื่อรับมือกับการชดใช้ค่าเสียหายจำนวนมาก การเตรียมการล่วงหน้าสามารถลดความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอิงจากสถานการณ์จริงในประเทศไทยและประสบการณ์จริงของเจ้าของรถจำนวนมาก ต่อไปนี้2คำแนะนำที่สำคัญ
ซื้อประกันความเสียหายต่อสาธารณูปโภค ครอบคลุมความเสี่ยงหลัก
บริษัทประกันภัยชั้นนำในประเทศไทยได้เปิดตัว “ประกันภัยเพิ่มเติมสำหรับสาธารณูปโภค” ซึ่งเป็นประกันภัยรถยนต์เพิ่มเติม โดยปกติจะมีค่าเบี้ยประกันรายปีเพียง 1,500-3,000 บาทไทย โดยคุ้มครองค่าใช้จ่ายการชดใช้สำหรับเสาไฟฟ้า แผงกั้น ป้ายจราจร แบริเออร์ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่พบบ่อยอื่นๆ วงเงินสูงสุดต่ออุบัติเหตุสามารถถึง 500,000 บาทไทย ขอแนะนำให้เจ้าของรถใหม่หรือเจ้าของรถที่ขับบนทางด่วนหรือในเขตอุตสาหกรรมบ่อยครั้งควรซื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเงินเก็บจากอุบัติเหตุครั้งเดียว
เก็บหลักฐานทันทีหลังก่อเหตุ เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งเรื่องความรับผิดชอบ
หากอุบัติเหตุเกิดขึ้น อย่ารีบออกจากที่เกิดเหตุ สิ่งที่ควรทำทันทีมี 3 ข้อ
ถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุ ต้องมีภาพส่วนที่เสียหายของรถยนต์ ความเสียหายของสิ่งอำนวยความสะดวก สัญญาณจราจรโดยรอบ, และตำแหน่ง GPS ของสถานที่เกิดเหตุ
ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร โทรแจ้งหมายเลขฉุกเฉินของตำรวจจราจรไทย 191 และรอเจ้าหน้าที่ตำรวจออกใบรับรองความรับผิดชอบในอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและแบ่งแยกความรับผิดชอบ หากไม่มีใบรับรอง อาจทำให้บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนได้
แจ้งบริษัทประกัน: หากได้ซื้อประกันภัยไว้ ต้องติดต่อแจ้งบริษัทประกันภายใน 24 ชั่วโมงเพื่อประเมินความเสียหาย พร้อมส่งภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุและใบรับรองจากตำรวจจราจร
โดยสรุป การให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะไม่ใช่เพียงเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย การขับรถชนสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้อื่น.ในฐานะเจ้าของรถยนต์ในประเทศไทย ควรเข้าใจมาตรฐานการชดเชย ซื้อประกันภัยให้ครอบคลุม และปฏิบัติตามกฎจราจร เพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อตนเองและปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวม
คุณสามารถติดต่อเราให้ลบออกเนื้อหาถ้าละเมิดลิขสิทธิ์
ข้อมูลยอดนิยม

เตรียมเปิดตัว! Toyota Yaris ATIV HEV ใหม่ 21 ส.ค.นี้ ใช้ขุมพลังเดียวกับ Yaris Cross
【PCauto】Yaris ATIV HEV ใหม่ จ่อเปิดตัว 21 ส.ค.นี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ไฮบริดประหยัดสุด 26.3 กม./ลิตร Toyota เตรียมส่ง Yaris ATIV รุ่นไฮบริดบุกตลาดไทย 21 สิงหาคมนี้ โดยใช้ขุมพลังเดียวกับ Yaris Cross ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร รหัส 2NR-VEX ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังรวม 111 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ e-CVT พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 0.7 kWh รองรับน้ำมัน E20 ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองดีเยี่ยมที่ 26.3 กม./ลิตร ตามมาตรฐาน WMTC เตรียมเปิดศึกรถซีดานไฮบริดประหยั

Mitsubishiเปิดตัว SUV 7 ที่นั่งรุ่น Destinator เพื่อแข่งขันกับ Honda CR-V
【PCauto】Mitsubishi Motors ได้เปิดตัว SUV เจ็ดที่นั่งรุ่นใหม่ Destinator อย่างเป็นทางการที่จาการ์ต้า รุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อครอบครัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ และจะเริ่มจำหน่ายในอินโดนีเซียเป็นประเทศแรก ก่อนขยายตลาดไปยังไทยและประเทศในอาเซียนอื่นๆ Mitsubishi Destinator มาพร้อมกับฐานล้อยาวพิเศษ 2815 มิลลิเมตร และระยะต่ำสุดจากพื้นถึงตัวรถ 214 มิลลิเมตร รถรุ่นนี้ตั้งเป้าหมายในตลาด SUV ขนาดกลางที่มี Honda CR-V ครองตำแหน่งผู้นำอยู่แล้ว

BYD SEALION 8 ลุ้นขายไทย-ออสเตรเลียปีหน้า!
【PCauto】BYD SEALION 8 เตรียมบุกไทย-ออสซี่ปีหน้า! ใหญ่เทียบ Kluger พร้อมดีไซน์ล้ำยุคจาก Egger BYD SEALION 8 หรือ Tang L เวอร์ชันจีน เตรียมเปิดตัวไตรมาสแรกปี 2026 ในออสเตรเลีย และมีแผนรุกตลาดไทยพร้อมกัน จุดเด่นคือขนาดใหญ่กว่า Toyota Kluger ถึง 120 มม. กับตัวถังยาวกว่า 5 เมตร เบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง พร้อมขุมพลัง PHEV สองรุ่นย่อย และดีไซน์ “Loong Face” นำโดย Wolfgang Egger ไฟหน้า LED แยกส่วน-โลโก้ BYD เรืองแสง เสริมความพรีเมียมด้วยประตูไร้กรอบ ไฟท้าย “ปีกฟีนิกซ์” และหลังคาพาโนรามา ครบเครื่องทั้งความหรู

Toyota bZ4X เปิดตัวแล้ว เมื่อเทียบกับ Xpeng G6 รุ่นใดคุ้มค่ากับการซื้อมากกว่ากัน
【PCauto】Toyota bZ4X เปิดให้สั่งจองทางออนไลน์ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม และภายในสามวันแรกมียอดสั่งจองถึง 1,000 คันรุ่นย่อยและราคาของรถรุ่นนี้แบ่งเป็น:ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ราคา 1,599,000 บาทและขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) ราคา 1,699,000 บาทในฐานะรถ SUV ไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกของ Toyota ที่ทำตลาดในประเทศไทย bZ4X นำเข้ามาขายโดยมาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมขนาด 73.11 kWh ระยะทางวิ่งตามมาตรฐาน NEDC อยู่ที่ 600 กม. (FWD) และ 570 กม. (AWD)ในอีกฝั่งหนึ่ง XPeng G6 ก็ได้เปิดตัวรุ่นปรับปรุงใหม่:รุ่น Long Range ราคา

Xpeng P7 ฮอตแรง! เปิดจองแค่ 7 นาที ยอดสั่งทะลุ 10,000 คัน
【PCauto】XPeng P7 ใหม่ เปิดพรีออเดอร์เพียง 6 นาที 37 วินาที ยอดจองทะลุ 10,000 คัน ทำลายสถิติเดิมของแบรนด์ มาพร้อมดีไซน์ XMART FACE ไฟหน้า-ไฟท้ายแบบ X Shape หลังคาลอย เสา A ซ่อน ขอบประตูไร้กรอบ และสปอยเลอร์ไฟฟ้าสร้างแรงกดสูงสุด 900 นิวตัน ค่าลากอากาศเพียง 0.198Cd ภายในล้ำสมัยด้วยจอ 3 ชุด และ AR-HUD ขนาด 87 นิ้ว คมชัดแม้แดดจ้า
รถยอดนิยม
เปรียบเทียบรถยนต์
รูปภาพรถ
ภาพภายใน
รุ่นปีรถยนต์
รุ่นรถยนต์