Q
M4 มันเร็วกว่า GT-R หรือไม่
การตัดสินว่า M4 หรือ GT-R ใครเร็วกว่ากันนั้นไม่ง่าย เนื่องจากความเร็วขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย BMW M4 ใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เทอร์โบเรียง 6 สูบ ให้กำลังสูงสุด 510 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร ขณะที่ Nissan GT-R ติดตั้งเครื่องยนต์ VR38DETT V6 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ กำลังสูงสุดประมาณ 565 แรงม้า แรงบิด 64.5 กก.-ม. สามารถเร่ง 0–100 กม./ชม. ได้ในเวลา 2.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม. จากข้อมูลตัวเลขจะเห็นได้ว่า GT-R มีสมรรถนะการเร่งที่ทรงพลังกว่า แต่ในการขับขี่จริง ความเร็วยังขึ้นกับทักษะของผู้ขับ ข้อจำกัดของสนามแข่ง และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ อีกทั้ง GT-R ยังมีศักยภาพในการแต่งรถสูงมาก เมื่อปรับแต่งแล้วความเร็วจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วน M4 ก็มีการปรับแต่งด้านการควบคุมและพละกำลังที่ยอดเยี่ยม เมื่อขับในสภาพแวดล้อมและฝีมือที่เหมาะสมก็สามารถแสดงศักยภาพความเร็วได้อย่างดีเช่นกัน
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto
Q&A เกี่ยวข้อง
Q
GT-R และ GT-R Pro มีความแตกต่างอย่างไร
Nissan GT-R กับ GT-R Pro มีความแตกต่างกันหลัก ๆ ในด้านการปรับจูนสมรรถนะ การควบคุมการขับขี่ และความเหมาะสมในการใช้งานในสนามแข่ง แม้ทั้งสองรุ่นจะใช้เครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบ ขนาด 3.8 ลิตรเหมือนกัน แต่ GT-R Pro ได้รับการอัปเกรดช่วงล่างด้วยโช้กอัพ Bilstein แบบปรับค่าแรงหน่วงได้ ระบบเบรกเซรามิกคาร์บอน และชุดแอร์โรไดนามิกที่ดุดันยิ่งขึ้น เช่น สปอยเลอร์หน้า-หลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ระดับสูง ภายในห้องโดยสารยังมีการลดน้ำหนักโดยใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มากขึ้น พร้อมเบาะนั่งสปอร์ตจาก Recaro เพื่อมอบประสบการณ์ขับขี่ที่มั่นคงในความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายของ GT-R Pro จะน้อยกว่ารุ่นปกติ เนื่องจากเน้นสมรรถนะเป็นหลัก จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการรถสำหรับขับในสนามแข่งหรือขับขี่แบบเร้าใจ ขณะที่ GT-R รุ่นมาตรฐานจะเหมาะกับการขับใช้งานในชีวิตประจำวันและขับทางไกลได้สบายกว่า สำหรับผู้บริโภคในประเทศไทย หากคุณมองหารถสมรรถนะสูงที่ขับได้ทุกวัน GT-R รุ่นมาตรฐานคือทางเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณเป็นสายสนามตัวจริง GT-R Pro จะตอบโจทย์ได้มากกว่า
Q
ความแตกต่างระหว่าง GT C และ GT-R คืออะไร
GT C และ GT-R เป็นรถสมรรถนะสูงจากคนละค่าย โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน GT-R จาก Nissan เป็นรถสปอร์ตระดับตำนานของญี่ปุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ ขับเคลื่อนสี่ล้อ เซตช่วงล่างแบบสนามแข่ง เน้นความแม่นยำในการควบคุม เหมาะกับคนที่ชอบขับขี่แบบดุดันและเน้นสมรรถนะล้วนๆ ส่วน GT C ซึ่งมักหมายถึง Mercedes-AMG GT C เป็นรถสปอร์ตจากฝั่งเยอรมันที่ผสานความแรงและความหรูหราเข้าไว้ด้วยกัน ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ มีระบบช่วงล่างปรับได้ ดีไซน์หรู ภายในสบาย เหมาะกับการเดินทางไกลสไตล์ Grand Touring ในตลาดประเทศไทย GT-R ได้รับความนิยมในหมู่คนรักความเร็วและสนามแข่ง ขณะที่ AMG GT C เหมาะกับผู้ที่ต้องการรถสปอร์ตหรูที่ให้ทั้งสมรรถนะและความสะดวกสบาย ดังนั้นหากคุณชอบอารมณ์ดิบแบบรถญี่ปุ่น GT-R คือคำตอบ แต่หากคุณต้องการความหรูหราแบบเยอรมัน GT C ก็อาจเหมาะกว่า
Q
ความแตกต่างระหว่าง GT T และ GT-R คืออะไร
คุณอาจกำลังถามถึงความแตกต่างระหว่าง “GT-R T-spec” กับ “GT-R Premium Luxury” ราคาของ “GT-R T-spec” อยู่ที่ 12,200,000 บาท ส่วน “GT-R Premium Luxury” ราคา 10,700,000 บาท นอกจากราคาที่ต่างกันแล้ว ทั้งสองรุ่นมีสเปกหลักที่ใกล้เคียงกัน โดยใช้เครื่องยนต์ขนาด 3799 ซีซี ระบบส่งกำลัง และขนาดตัวถังเหมือนกัน คือ ความยาว 4710 มม. ความกว้าง 1895 มม. ความสูง 1370 มม. ฐานล้อ 2780 มม. มี 2 ประตู และ 4 ที่นั่ง อย่างไรก็ตาม “GT-R T-spec” อาจมาพร้อมกับอุปกรณ์ วัสดุ หรือการปรับแต่งที่เหนือระดับและเป็นเอกลักษณ์มากกว่า เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าได้มากขึ้น
Q
GT-R และ GT-R NISMO มีความแตกต่างกันอย่างไร
GT-R กับ GT-R NISMO มีความแตกต่างในหลายด้าน โดย GT-R NISMO เป็นรุ่นอัพเกรดของ GT-R ซึ่งพัฒนาโดยแผนกสมรรถนะสูงของนิสสัน ทำให้มีพละกำลังสูงกว่า GT-R รุ่นปกติ ด้วยการปรับแต่งเครื่องยนต์และระบบต่าง ๆ เพื่อให้กำลังขับเคลื่อนดียิ่งขึ้น ในด้านชุดแต่งตัวถัง GT-R NISMO ใช้วัสดุน้ำหนักเบา เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ ช่วยลดน้ำหนักรถ ส่งผลให้ความเร็วและการควบคุมรถดีขึ้น โดยเฉพาะในการเร่งและเข้าโค้ง ส่วนระบบช่วงล่าง GT-R NISMO ติดตั้งช่วงล่างเวอร์ชันพรีเมียม สามารถรองรับสภาพถนนที่ซับซ้อนและการขับขี่ที่รุนแรงได้ดี ให้การหนุนรับและความมั่นคงสูงขณะขับด้วยความเร็วสูงหรือเข้าโค้งอย่างรวดเร็ว สรุปคือ GT-R NISMO เป็นการอัพเกรดแบบครบวงจรจาก GT-R เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสมรรถนะและประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือชั้นกว่า
Q
Tesla มันเร็วกว่า GT-R หรือไม่
ไม่สามารถสรุปได้ง่าย ๆ ว่าเทสล่าจะเร็วกว่าหรือช้ากว่า GT-R เพราะประสิทธิภาพการเร่งความเร็วและความเร็วสูงสุดขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นของรถ GT-R เป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงของนิสสัน ที่มักติดตั้งเครื่องยนต์ V6 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ มีสมรรถนะแรงม้าโดดเด่น เช่น บางรุ่นทำเวลาเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ประมาณ 2.7 วินาที และความเร็วสูงสุดถึง 315 กม./ชม. ขณะที่เทสล่ามีหลายรุ่น เช่น Model S P100D ที่ทำเวลาเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ราว 2.5 วินาที ซึ่งในด้านการเร่งความเร็ว อาจเร็วกว่าบางรุ่นของ GT-R แต่การเปรียบเทียบความเร็วยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพแวดล้อมการขับขี่ น้ำหนักบรรทุก และทักษะผู้ขับขี่ ดังนั้นในสถานการณ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน สมรรถนะความเร็วของทั้งสองรถอาจแตกต่างกัน จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าเทสล่าจะเร็วกว่า GT-R เสมอไป
Q
GT-R วิ่งเร็วกว่า Supra หรือไม่
โดยทั่วไปแล้ว Nissan GT-R มักจะเร็วกว่ารถ Toyota Supra ในด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ GT-R ติดตั้งเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 555 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 632 นิวตันเมตร ขณะที่ Supra ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ซึ่ง GT-R มีทั้งแรงม้าและแรงบิดที่สูงกว่า ในเรื่องของอัตราเร่ง GT-R ทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ภายในประมาณ 2.7 วินาที ขณะที่ Supra ใช้เวลาประมาณ 4.1 วินาที ความเร็วสูงสุดของ GT-R อยู่ที่ราว 315 กม./ชม. ส่วน Supra อยู่ที่ประมาณ 250 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม ในการขับขี่จริง ความเร็วยังขึ้นอยู่กับสภาพถนน เทคนิคการขับขี่ และปัจจัยอื่น ๆ นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมีจุดเด่นในด้านการควบคุมและความปลอดภัยที่แตกต่างกัน จึงไม่สามารถตัดสินได้เพียงแค่ความเร็วว่าใครดีกว่ากันครับ
Q
GT-R มีเทอร์โบคู่หรือไม่
ใช่ครับ Nissan GT-R ติดตั้งระบบเทอร์โบคู่ เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร รุ่น VR38DETT ซึ่งพัฒนามาจากเครื่องยนต์ VQ ของนิสสันที่ได้รับคำชื่นชมอย่างกว้างขวาง ระบบเทอร์โบคู่ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถรีดกำลังสูงสุดได้ที่ 6400 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงในช่วงรอบเครื่องยนต์ 3200 ถึง 6000 รอบต่อนาที เทคโนโลยีเทอร์โบคู่ช่วยเพิ่มสมรรถนะทั้งกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ ส่งผลให้ GT-R มีสมรรถนะการเร่งความเร็วที่โดดเด่นและแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะขับขี่ในชีวิตประจำวันหรือในสนามแข่ง ก็สามารถแสดงศักยภาพของรถสปอร์ตระดับสูงได้อย่างเต็มที่ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างและเร้าใจแก่ผู้ขับขี่ครับ
Q
GT-R ดีต่อการใช้แก๊สหรือไม่
Nissan GT-R รถสปอร์ตสมรรถนะสูงรุ่นนี้แนะนำให้ใช้น้ำมันเบนซิน 95 หรือสูงกว่าเพื่อรับประกันสมรรถนะและความน่าเชื่อถือของเครื่องยนต์ แม้ว่าจะสามารถใช้น้ำมันเบนซิน 91 ได้ในระยะสั้น แต่เมื่อใช้งานในประเทศไทยระยะยาวควรเลือกใช้น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทนสูงเพื่อป้องกันการน็อกของเครื่องยนต์และรักษาระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ปั๊มน้ำมันในประเทศไทยโดยทั่วไปมีน้ำมันเบนซิน 95 เช่น PTT 95 หรือ Bangchak E20 Gasohol รวมทั้งน้ำมันแก๊สโซฮอล์และดีเซล แต่เครื่องยนต์เทอร์โบที่มีอัตราส่วนการอัดสูงของ GT-R ไม่เหมาะกับน้ำมัน E20 หรือดีเซล ดังนั้นควรเลือกใช้น้ำมันเบนซิน 95 หรือ 98 ที่บริสุทธิ์เพื่อลดผลกระทบจากเอทานอลต่อระบบเชื้อเพลิง หากต้องการเพิ่มสมรรถนะ บางอู่แต่งรถในไทยยังแนะนำให้น้ำมันเชื้อเพลิงสูตรแข่งหรือสารเติมแต่งเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือรถเพื่อให้รถมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพในระยะยาว
Q
GT-R จะใช้งานได้นานเท่าไหร่
Nissan GT-R ไม่มีระยะเวลาการใช้งานที่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รุ่นปัจจุบันคือรุ่น R35 ซึ่งเปิดตัวในปี 2007 และมีอายุการใช้งานประมาณ 17 ปีจนถึงปัจจุบัน โดย Nissan ยืนยันว่าการผลิตรุ่น R35 จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2024 หากใช้งานตามปกติและดูแลรักษาอย่างดี รถ GT-R สามารถใช้งานได้ประมาณ 10 ถึง 15 ปี เช่น การบำรุงรักษาตามระยะเวลาที่กำหนด เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงซ่อมแซมปัญหาเล็กน้อยที่เกิดขึ้นทันเวลา จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย มีนิสัยการขับขี่ที่ไม่ดี และขาดการดูแลรักษาที่เหมาะสม อายุการใช้งานอาจลดลงอย่างมาก อาจเริ่มมีปัญหาและส่งผลต่อการใช้งานภายใน 5 ถึง 8 ปีเท่านั้น
Q
Nissan GT-R เป็นรถซูเปอร์คาร์หรือไม่
ใช่ครับ Nissan GT-R คือรถซูเปอร์คาร์รุ่นหนึ่งที่ผลิตโดย Nissan GT-R เป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่มีความน่าเชื่อถือและมีกำลังแรงม้าสูง ซึ่งเดิมเป็นรุ่นท็อปของซีรีส์ Skyline RV ของ Nissan และปัจจุบันได้กลายเป็นรุ่นรถยนต์แยกต่างหาก GT-R ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตรที่ให้กำลังแรงและแรงบิดสูง ช่วยให้เร่งความเร็วได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีสมรรถนะการควบคุมที่ยอดเยี่ยม ด้วยจุดศูนย์ถ่วงต่ำและระบบช่วงล่างที่ปรับแต่งอย่างดีเยี่ยม ทำให้มีความมั่นคงขณะเข้าโค้ง การออกแบบอากาศพลศาสตร์ช่วยให้รูปลักษณ์ดุดันและเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ด้วยความเร็วสูง GT-R ได้ฝากผลงานที่โดดเด่นในวงการแข่งรถและได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้ชื่นชอบรถยนต์ ยืนยันตำแหน่งซูเปอร์คาร์ของมันอย่างมั่นคง
Q&A ล่าสุด
Q
เกียร์ของ Mazda 2 เป็นแบบไหน
Mazda 2 ในตลาดไทยส่วนใหญ่จะติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ (AT) ซึ่งใช้ระบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์และชุดเฟืองดาวเคราะห์ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล เหมาะสำหรับสภาพจราจรหนาแน่นในเมืองอย่างกรุงเทพฯ โดยผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องเหยียบคลัตช์บ่อยครั้ง จึงเพิ่มความสะดวกสบายและช่วยประหยัดน้ำมัน นอกจากนี้ เกียร์อัตโนมัตินี้ยังมีความทนทานต่อสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยได้ดี สำหรับประเภทเกียร์อื่นที่พบได้บ่อยคือเกียร์ CVT ซึ่งใช้สายพานเหล็กส่งกำลังแบบไร้ขั้นตอน เหมาะกับผู้ที่ต้องการความนุ่มนวลในการขับขี่ และเกียร์ดูอัลคลัตช์ (DCT) ที่มีความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์สูงและสูญเสียน้ำมันต่ำ มักติดตั้งในรถสไตล์สปอร์ต ทั้งนี้ เจ้าของรถควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อรักษาการหล่อลื่นและระบายความร้อน เพื่อยืดอายุการใช้งานและคงประสิทธิภาพของเกียร์
Q
ขนาด PCD ของ Mazda 2 คืออะไร
ขนาด PCD (ระยะรูยึดล้อ) ของ Mazda 2 ในตลาดไทยโดยทั่วไปคือ 4×100 ซึ่งเป็นค่าที่สำคัญในการเลือกเปลี่ยนหรือแต่งล้อรถยนต์ พร้อมกับขนาดรูศูนย์กลางล้อที่ 54.1 มิลลิเมตร เพื่อให้มั่นใจในการติดตั้งที่เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับผู้ใช้รถในไทยที่ต้องการเปลี่ยนล้อ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าขนาด PCD รูศูนย์กลาง และขนาดสกรู (ปกติเป็น M12×1.5) ตรงกับข้อมูลจากโรงงาน แนะนำให้ดูในคู่มือรถหรือติดต่อศูนย์บริการ Mazda ที่ได้รับอนุญาตเพื่อความแม่นยำ Mazda 2 ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดเล็กยอดนิยมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีตัวถังที่กะทัดรัด เช่น รุ่นปี 2020 ความยาว 3,905 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,490 มิลลิเมตร พร้อมการออกแบบที่เน้นน้ำหนักเบา ทำให้ควบคุมง่ายและจอดรถได้สะดวกในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพฯ หากต้องการเพิ่มสมรรถนะรถ สามารถเลือกใช้ล้อแม็กซ์น้ำหนักเบาที่เหมาะสมกับสภาพถนนและอากาศร้อนชื้นของไทย โดยต้องมั่นใจว่าการดัดแปลงเป็นไปตามกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก (DLT) เพื่อความถูกต้องตามกฎหมายและความปลอดภัยในการใช้งาน
Q
Mazda 2 มี Apple CarPlay ไหม
Mazda 2 (รุ่นปี 2023-2024) ที่จำหน่ายในตลาดไทยมาพร้อมกับฟังก์ชัน Apple CarPlay รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย (ในบางรุ่นอาจต้องเชื่อมต่อผ่าน USB) ช่วยให้การใช้งานระบบนำทาง เพลง และโทรศัพท์สะดวกขึ้น ระบบอินโฟเทนเมนต์ Mazda Connect มีอินเทอร์เฟซที่เรียบง่าย ใช้งานง่าย และเข้ากันได้ดีกับ iPhone ผู้ขับขี่สามารถควบคุมผ่านหน้าจอสัมผัสกลางหรือปุ่มหมุนได้ หากเป็นรุ่นเก่า อาจต้องเข้าศูนย์บริการที่ได้รับอนุญาตเพื่ออัปเกรดระบบให้รองรับ CarPlay แนะนำให้ตรวจสอบสเปกก่อนซื้อรถ ในสภาพอากาศร้อนของไทย การอัปเดตโทรศัพท์และซอฟต์แวร์ระบบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ใช้งานได้ลื่นไหล ฟีเจอร์นี้ถือเป็นมาตรฐานในรถยนต์ระดับเดียวกัน เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ประจำวัน
Q
ยี่ห้อยางรถของ Mazda 2 คืออะไร
Mazda 2 ในตลาดไทย มักติดตั้งยางล้อจากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Bridgestone (บริดจสโตน) Michelin (มิชลิน) และ Goodyear (กู๊ดเยียร์) ซึ่งรายละเอียดขึ้นอยู่กับปีรถและตัวแทนจำหน่าย แนะนำให้เจ้าของรถตรวจสอบข้อมูลในคู่มือหรือสอบถามจากตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต สำหรับสภาพอากาศร้อนชื้นและฝนตกชุกในไทย ควรเลือกยางที่ให้ทั้งการยึดเกาะถนนเปียกและทนความร้อนสูง เช่น Michelin ENERGY XM2 ที่มีคุณสมบัติลดการสิ้นเปลืองน้ำมันและรองรับถนนลื่น หรือหากเน้นความนุ่มเงียบ Primacy 3 ST จะช่วยลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ นอกจากนี้ ในตลาดไทยยังมีตัวเลือกที่คุ้มค่าอย่างยาง KENDA (เค็นดะ) ซึ่งได้รับความนิยมในอาเซียนด้วยความทนทานสูง การเปลี่ยนยางควรตรวจสอบขนาดและมาตรฐานให้เข้ากับล้อ รวมถึงตรวจสอบแรงดันและสภาพยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อน ควรลดระยะเวลาตรวจเช็ครอบยางเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของยางที่เกิดจากความร้อนสูง
Q
Mazda 2 เป็นรถที่ดีหรือไม่ เรียนรู้ข้อดีและข้อเสียที่นี่
Mazda 2 ในตลาดไทยมีความสมดุล เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ใช้ที่ชื่นชอบดีไซน์ทันสมัยและการขับขี่ที่คล่องตัว รูปลักษณ์ภายนอกออกแบบให้ดูสปอร์ตและลื่นไหล พร้อมตัวถังขนาดกะทัดรัด ทำให้ขับขี่คล่องตัวและจอดรถง่ายในเมืองที่การจราจรหนาแน่นอย่างกรุงเทพฯ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร แบบดูดอากาศธรรมชาติ พร้อมเกียร์ที่ปรับแต่งมาอย่างเหมาะสม ให้ความประหยัดน้ำมันรวมประมาณ 6-8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ซึ่งเหมาะกับค่าน้ำมันที่ค่อนข้างสูงในประเทศไทย การบังคับเลี้ยวแม่นยำและช่วงล่างที่ปรับแต่งมาอย่างดีช่วยเพิ่มความสนุกในการขับขี่ ห้องโดยสารภายในออกแบบเรียบง่ายและใช้งานได้จริง แต่ด้วยขนาดตัวถังทำให้พื้นที่ตอนหลังค่อนข้างจำกัด อาจไม่สะดวกสบายสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกหลายคน ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงจะมีเสียงยางและเสียงเครื่องยนต์ดังพอสมควร ช่วงล่างค่อนข้างแข็ง ทำให้การขับขี่บนถนนที่ขรุขระหรือตามชนบทมีความนุ่มนวลน้อย นอกจากนี้ จำนวนศูนย์บริการ Mazda 4S ในไทยยังมีน้อย อาจส่งผลต่อความสะดวกในการดูแลหลังการขาย แนะนำให้ทดลองขับเพื่อประเมินเรื่องการเก็บเสียงและการดูดซับแรงสั่นสะเทือน หากใช้รถในชีวิตประจำวันสำหรับผู้ขับขี่คนเดียวหรือตระกูลขนาดเล็ก Mazda 2 ที่เน้นความประหยัดน้ำมันและความคล่องตัว ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่หากให้ความสำคัญกับพื้นที่ภายในและความสบาย อาจพิจารณาเปรียบเทียบกับรถญี่ปุ่นรุ่นอื่นในช่วงราคาที่ใกล้เคียงกัน.
ดูเพิ่มเติมข่าวที่เกี่ยวข้อง

Nissan รุ่นต่อไปของ GT-R จะใช้ระบบพลังงานผสม ภายใน 3-5 ปีจะเข้าตลาด
ธนวัฒน์Apr 23, 2025

Nissan ปิดการสั่งซื้อ GT-R R35 รถแข่งญี่ปุ่นกำลังสูญเสียในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า
สุรเดชMar 5, 2025

การกลับมาของรุ่นคลาสสิค: นิสสัน GTR T-Spec เปิดตัวในมหกรรมยานยนต์ในกรุงเทพฯ
AshleyMar 20, 2024

Nissanรวมไลน์ผลิตในไทย จะรองรับรถต่างแพลตฟอร์มกว่า 4 รุ่น
ธนวัฒน์Jun 26, 2025

Nissan เปิดตัว LEAF เจเนอเรชันที่ 3 เปลี่ยนโฉมจากรถแฮทช์แบ็กเป็น SUV คาดอาจนำเข้าไทยเร็ว ๆ นี้
LienJun 19, 2025
ดูเพิ่มเติม
ข้อดี
ข้อเสีย