Q

ทำไม GT-R ถึงวิ่งเร็ว?

GT-R ที่วิ่งเร็วได้ขนาดนี้ มีเหตุผลหลักๆ อยู่หลายข้อ อย่างแรกคือระบบขับเคลื่อนอันทรงพลัง ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ VR38DETT 3.8L V6 เทอร์โบคู่ ที่สามารถระเบิดกำลังและแรงบิดได้อย่างเหลือเชื่อ ให้แรงขับเคลื่อนระดับเทพ ทำให้เวลาออกตัวนั้นแรงไม่เล่นเลย ข้อต่อมาคือการออกแบบอากาศพลศาสตร์ขั้นเทพ ที่มีค่าความต้านทานลมเพียง 0.27 ตัวถังเรียบลื่น ช่วยลดแรงต้านอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้รถทรงตัวได้ดีแม้วิ่งเร็วระดับซิ่งๆ อีกทั้ง GT-R ยังติดตั้งระบบเกียร์และช่วงล่างระดับเพอร์ฟอร์แมนซ์ เกียร์ GR6 แบบ双离合เปลี่ยนเกียร์เร็วปรื๊ด ช่วงล่างถูกตั้งแต่งมาอย่างดี ให้รถควบคุมง่ายและทรงตัวได้ดียิ่งนัก ทั้งตอนเร่งและเข้าโค้ง ช่วยแปลงแรงขับเคลื่อนอันมหาศาลให้กลายเป็นความเร็วจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมยังมีการออกแบบตัวถังแบบน้ำหนักเบา ที่ช่วยให้รถวิ่งเร็วขึ้นอีก เพราะน้ำหนักรถที่เบาลงทำให้ระบบขับเคลื่อนทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto

Q&A เกี่ยวข้อง

Q
GT-R และ GT-R Pro มีความแตกต่างอย่างไร
Nissan GT-R กับ GT-R Pro มีความแตกต่างกันหลัก ๆ ในด้านการปรับจูนสมรรถนะ การควบคุมการขับขี่ และความเหมาะสมในการใช้งานในสนามแข่ง แม้ทั้งสองรุ่นจะใช้เครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบ ขนาด 3.8 ลิตรเหมือนกัน แต่ GT-R Pro ได้รับการอัปเกรดช่วงล่างด้วยโช้กอัพ Bilstein แบบปรับค่าแรงหน่วงได้ ระบบเบรกเซรามิกคาร์บอน และชุดแอร์โรไดนามิกที่ดุดันยิ่งขึ้น เช่น สปอยเลอร์หน้า-หลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ระดับสูง ภายในห้องโดยสารยังมีการลดน้ำหนักโดยใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มากขึ้น พร้อมเบาะนั่งสปอร์ตจาก Recaro เพื่อมอบประสบการณ์ขับขี่ที่มั่นคงในความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายของ GT-R Pro จะน้อยกว่ารุ่นปกติ เนื่องจากเน้นสมรรถนะเป็นหลัก จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการรถสำหรับขับในสนามแข่งหรือขับขี่แบบเร้าใจ ขณะที่ GT-R รุ่นมาตรฐานจะเหมาะกับการขับใช้งานในชีวิตประจำวันและขับทางไกลได้สบายกว่า สำหรับผู้บริโภคในประเทศไทย หากคุณมองหารถสมรรถนะสูงที่ขับได้ทุกวัน GT-R รุ่นมาตรฐานคือทางเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณเป็นสายสนามตัวจริง GT-R Pro จะตอบโจทย์ได้มากกว่า
Q
ความแตกต่างระหว่าง GT C และ GT-R คืออะไร
GT C และ GT-R เป็นรถสมรรถนะสูงจากคนละค่าย โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน GT-R จาก Nissan เป็นรถสปอร์ตระดับตำนานของญี่ปุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ ขับเคลื่อนสี่ล้อ เซตช่วงล่างแบบสนามแข่ง เน้นความแม่นยำในการควบคุม เหมาะกับคนที่ชอบขับขี่แบบดุดันและเน้นสมรรถนะล้วนๆ ส่วน GT C ซึ่งมักหมายถึง Mercedes-AMG GT C เป็นรถสปอร์ตจากฝั่งเยอรมันที่ผสานความแรงและความหรูหราเข้าไว้ด้วยกัน ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ มีระบบช่วงล่างปรับได้ ดีไซน์หรู ภายในสบาย เหมาะกับการเดินทางไกลสไตล์ Grand Touring ในตลาดประเทศไทย GT-R ได้รับความนิยมในหมู่คนรักความเร็วและสนามแข่ง ขณะที่ AMG GT C เหมาะกับผู้ที่ต้องการรถสปอร์ตหรูที่ให้ทั้งสมรรถนะและความสะดวกสบาย ดังนั้นหากคุณชอบอารมณ์ดิบแบบรถญี่ปุ่น GT-R คือคำตอบ แต่หากคุณต้องการความหรูหราแบบเยอรมัน GT C ก็อาจเหมาะกว่า
Q
ความแตกต่างระหว่าง GT T และ GT-R คืออะไร
คุณอาจกำลังถามถึงความแตกต่างระหว่าง “GT-R T-spec” กับ “GT-R Premium Luxury” ราคาของ “GT-R T-spec” อยู่ที่ 12,200,000 บาท ส่วน “GT-R Premium Luxury” ราคา 10,700,000 บาท นอกจากราคาที่ต่างกันแล้ว ทั้งสองรุ่นมีสเปกหลักที่ใกล้เคียงกัน โดยใช้เครื่องยนต์ขนาด 3799 ซีซี ระบบส่งกำลัง และขนาดตัวถังเหมือนกัน คือ ความยาว 4710 มม. ความกว้าง 1895 มม. ความสูง 1370 มม. ฐานล้อ 2780 มม. มี 2 ประตู และ 4 ที่นั่ง อย่างไรก็ตาม “GT-R T-spec” อาจมาพร้อมกับอุปกรณ์ วัสดุ หรือการปรับแต่งที่เหนือระดับและเป็นเอกลักษณ์มากกว่า เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าได้มากขึ้น
Q
GT-R และ GT-R NISMO มีความแตกต่างกันอย่างไร
GT-R กับ GT-R NISMO มีความแตกต่างในหลายด้าน โดย GT-R NISMO เป็นรุ่นอัพเกรดของ GT-R ซึ่งพัฒนาโดยแผนกสมรรถนะสูงของนิสสัน ทำให้มีพละกำลังสูงกว่า GT-R รุ่นปกติ ด้วยการปรับแต่งเครื่องยนต์และระบบต่าง ๆ เพื่อให้กำลังขับเคลื่อนดียิ่งขึ้น ในด้านชุดแต่งตัวถัง GT-R NISMO ใช้วัสดุน้ำหนักเบา เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ ช่วยลดน้ำหนักรถ ส่งผลให้ความเร็วและการควบคุมรถดีขึ้น โดยเฉพาะในการเร่งและเข้าโค้ง ส่วนระบบช่วงล่าง GT-R NISMO ติดตั้งช่วงล่างเวอร์ชันพรีเมียม สามารถรองรับสภาพถนนที่ซับซ้อนและการขับขี่ที่รุนแรงได้ดี ให้การหนุนรับและความมั่นคงสูงขณะขับด้วยความเร็วสูงหรือเข้าโค้งอย่างรวดเร็ว สรุปคือ GT-R NISMO เป็นการอัพเกรดแบบครบวงจรจาก GT-R เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสมรรถนะและประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือชั้นกว่า
Q
Tesla มันเร็วกว่า GT-R หรือไม่
ไม่สามารถสรุปได้ง่าย ๆ ว่าเทสล่าจะเร็วกว่าหรือช้ากว่า GT-R เพราะประสิทธิภาพการเร่งความเร็วและความเร็วสูงสุดขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นของรถ GT-R เป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงของนิสสัน ที่มักติดตั้งเครื่องยนต์ V6 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ มีสมรรถนะแรงม้าโดดเด่น เช่น บางรุ่นทำเวลาเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ประมาณ 2.7 วินาที และความเร็วสูงสุดถึง 315 กม./ชม. ขณะที่เทสล่ามีหลายรุ่น เช่น Model S P100D ที่ทำเวลาเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ราว 2.5 วินาที ซึ่งในด้านการเร่งความเร็ว อาจเร็วกว่าบางรุ่นของ GT-R แต่การเปรียบเทียบความเร็วยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพแวดล้อมการขับขี่ น้ำหนักบรรทุก และทักษะผู้ขับขี่ ดังนั้นในสถานการณ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน สมรรถนะความเร็วของทั้งสองรถอาจแตกต่างกัน จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าเทสล่าจะเร็วกว่า GT-R เสมอไป
Q
GT-R วิ่งเร็วกว่า Supra หรือไม่
โดยทั่วไปแล้ว Nissan GT-R มักจะเร็วกว่ารถ Toyota Supra ในด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ GT-R ติดตั้งเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 555 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 632 นิวตันเมตร ขณะที่ Supra ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ซึ่ง GT-R มีทั้งแรงม้าและแรงบิดที่สูงกว่า ในเรื่องของอัตราเร่ง GT-R ทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ภายในประมาณ 2.7 วินาที ขณะที่ Supra ใช้เวลาประมาณ 4.1 วินาที ความเร็วสูงสุดของ GT-R อยู่ที่ราว 315 กม./ชม. ส่วน Supra อยู่ที่ประมาณ 250 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม ในการขับขี่จริง ความเร็วยังขึ้นอยู่กับสภาพถนน เทคนิคการขับขี่ และปัจจัยอื่น ๆ นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมีจุดเด่นในด้านการควบคุมและความปลอดภัยที่แตกต่างกัน จึงไม่สามารถตัดสินได้เพียงแค่ความเร็วว่าใครดีกว่ากันครับ
Q
GT-R มีเทอร์โบคู่หรือไม่
ใช่ครับ Nissan GT-R ติดตั้งระบบเทอร์โบคู่ เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร รุ่น VR38DETT ซึ่งพัฒนามาจากเครื่องยนต์ VQ ของนิสสันที่ได้รับคำชื่นชมอย่างกว้างขวาง ระบบเทอร์โบคู่ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถรีดกำลังสูงสุดได้ที่ 6400 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงในช่วงรอบเครื่องยนต์ 3200 ถึง 6000 รอบต่อนาที เทคโนโลยีเทอร์โบคู่ช่วยเพิ่มสมรรถนะทั้งกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ ส่งผลให้ GT-R มีสมรรถนะการเร่งความเร็วที่โดดเด่นและแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะขับขี่ในชีวิตประจำวันหรือในสนามแข่ง ก็สามารถแสดงศักยภาพของรถสปอร์ตระดับสูงได้อย่างเต็มที่ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างและเร้าใจแก่ผู้ขับขี่ครับ
Q
GT-R ดีต่อการใช้แก๊สหรือไม่
Nissan GT-R รถสปอร์ตสมรรถนะสูงรุ่นนี้แนะนำให้ใช้น้ำมันเบนซิน 95 หรือสูงกว่าเพื่อรับประกันสมรรถนะและความน่าเชื่อถือของเครื่องยนต์ แม้ว่าจะสามารถใช้น้ำมันเบนซิน 91 ได้ในระยะสั้น แต่เมื่อใช้งานในประเทศไทยระยะยาวควรเลือกใช้น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทนสูงเพื่อป้องกันการน็อกของเครื่องยนต์และรักษาระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ปั๊มน้ำมันในประเทศไทยโดยทั่วไปมีน้ำมันเบนซิน 95 เช่น PTT 95 หรือ Bangchak E20 Gasohol รวมทั้งน้ำมันแก๊สโซฮอล์และดีเซล แต่เครื่องยนต์เทอร์โบที่มีอัตราส่วนการอัดสูงของ GT-R ไม่เหมาะกับน้ำมัน E20 หรือดีเซล ดังนั้นควรเลือกใช้น้ำมันเบนซิน 95 หรือ 98 ที่บริสุทธิ์เพื่อลดผลกระทบจากเอทานอลต่อระบบเชื้อเพลิง หากต้องการเพิ่มสมรรถนะ บางอู่แต่งรถในไทยยังแนะนำให้น้ำมันเชื้อเพลิงสูตรแข่งหรือสารเติมแต่งเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือรถเพื่อให้รถมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพในระยะยาว
Q
GT-R จะใช้งานได้นานเท่าไหร่
Nissan GT-R ไม่มีระยะเวลาการใช้งานที่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รุ่นปัจจุบันคือรุ่น R35 ซึ่งเปิดตัวในปี 2007 และมีอายุการใช้งานประมาณ 17 ปีจนถึงปัจจุบัน โดย Nissan ยืนยันว่าการผลิตรุ่น R35 จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2024 หากใช้งานตามปกติและดูแลรักษาอย่างดี รถ GT-R สามารถใช้งานได้ประมาณ 10 ถึง 15 ปี เช่น การบำรุงรักษาตามระยะเวลาที่กำหนด เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงซ่อมแซมปัญหาเล็กน้อยที่เกิดขึ้นทันเวลา จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย มีนิสัยการขับขี่ที่ไม่ดี และขาดการดูแลรักษาที่เหมาะสม อายุการใช้งานอาจลดลงอย่างมาก อาจเริ่มมีปัญหาและส่งผลต่อการใช้งานภายใน 5 ถึง 8 ปีเท่านั้น
Q
Nissan GT-R เป็นรถซูเปอร์คาร์หรือไม่
ใช่ครับ Nissan GT-R คือรถซูเปอร์คาร์รุ่นหนึ่งที่ผลิตโดย Nissan GT-R เป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่มีความน่าเชื่อถือและมีกำลังแรงม้าสูง ซึ่งเดิมเป็นรุ่นท็อปของซีรีส์ Skyline RV ของ Nissan และปัจจุบันได้กลายเป็นรุ่นรถยนต์แยกต่างหาก GT-R ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตรที่ให้กำลังแรงและแรงบิดสูง ช่วยให้เร่งความเร็วได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีสมรรถนะการควบคุมที่ยอดเยี่ยม ด้วยจุดศูนย์ถ่วงต่ำและระบบช่วงล่างที่ปรับแต่งอย่างดีเยี่ยม ทำให้มีความมั่นคงขณะเข้าโค้ง การออกแบบอากาศพลศาสตร์ช่วยให้รูปลักษณ์ดุดันและเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ด้วยความเร็วสูง GT-R ได้ฝากผลงานที่โดดเด่นในวงการแข่งรถและได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้ชื่นชอบรถยนต์ ยืนยันตำแหน่งซูเปอร์คาร์ของมันอย่างมั่นคง

ข้อดี

หน้าตาหล่อและมีอิทธิพล มีกระจกไซส์ใหญ่ ไฟหน้าและไฟหมอกแบบกีฬาฯ ล้อกีฬาขนาด 20 นิ้วสีดำ ท่อไอเสียสังกะสีที่สามารถปรับเสียงได้ 4 ท่อ และแถบ V-motion
อินเทอริอร์ที่หรูหราและสบาย อุปกรณ์ชั่นใหม่ แผงระบบบังคับด้วยมือสัมผัสที่ห่อด้วยหนัง แผงควบคุมใหม่ แผงควบคุมแคร์บอนไมโครติค ที่นั่งหนังที่ปรับไฟฟ้า ปุ่มกำลังไหมพรมใหม่และการเปลี่ยนเกียร์
เครื่องยนต์ที่แรงกว่า 3.8 ลิตร V6 เทคโนโลยีดับเบิลชาร์จท์ เทอร์โบ 24 วาล์ว กำลังสูงสุด 555 ม้า สูงสุดขอภาพยนต์ 632 นิวตันเมตร ระบบเกียร์ 6 ระดับ ดับเบิลคลัทช์ อัตราการเร่งที่รวดเร็ว ความเร็วในช่วงกลางและปลายที่คล่องแคล่ว สามารถเร็วถึง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยความทนทานของรถ
ชุดล่างที่แข็งแรง ไฟรอง หน้าเป็นแผ่นสองชั้น และมัลติลิงค์ท้าย ร่วมกับล้อขนาด 20 นิ้วและยางรถยนต์ที่ค่อนข้างใหม่ มีพลังจับแน่น

ข้อเสีย

ราคาสูง นำเข้ารถทั้งคัน ภาษีสูง ราคารถเองก็สูง
ค่าซ่อมบำรุงสูง ค่าตรวจซ่อมศูนย์ใช้หน่วยพันเป็นหลัก มากกว่ารถธรรมดา
มาตรฐานพลังงานของประเทศไทยต่ำกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากต้องปรับตัวเข้ากับน้ำมันแก๊ส 95 ของประเทศไทย กำลังได้รับการขับเคลื่อนในประเทศไทยเป็น 555 แรงม้า ส่วนต่างประเทศเป็น 570 แรงม้า
เมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์รถซูเปอร์คาร์อื่นๆ การออกแบบมีความแตกต่าง โดยเฉพาะที่เส้นหน้าและรายละเอียดของตัวรถ

Q&A ล่าสุด

Q
Toyota Yaris ATIV หนักกี่กิโลกรัม? ดูรายละเอียด
น้ำหนักของ Toyota Yaris ATIV ในตลาดประเทศไทยจะแตกต่างกันไปตามรุ่นย่อย รุ่นเกียร์ธรรมดาจะหนักประมาณ 1,060–1,080 กิโลกรัม ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ซึ่งเป็นรุ่นที่นิยมมากกว่า จะอยู่ที่ประมาณ 1,090–1,120 กิโลกรัม ความแตกต่างของน้ำหนักนี้มาจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งในแต่ละรุ่น เช่น รุ่นท็อปที่มีถุงลมนิรภัย 6 จุด หรือหน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดีย ก็จะมีน้ำหนักมากกว่ารุ่นพื้นฐานเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับรถในระดับเดียวกัน เช่น Honda City (ประมาณ 1,100–1,150 กิโลกรัม) หรือ Nissan Almera (ประมาณ 1,080–1,120 กิโลกรัม) จะเห็นว่า Yaris ATIV มีน้ำหนักค่อนข้างเบา ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในเมืองที่รถติดบ่อยอย่างในกรุงเทพฯ ช่วยให้เครื่องยนต์ 1.2 ลิตรตอบสนองได้ดี และประหยัดน้ำมัน (เฉลี่ยประมาณ 15–18 กม./ลิตร) อีกจุดที่น่าสนใจคือ วิศวกรโตโยต้าได้ออกแบบวัสดุของตัวถังให้รองรับอุณหภูมิสูงตามสภาพอากาศเมืองไทยได้ดี แม้รถจะเบาแต่โครงสร้างยังแข็งแรง เพราะใช้เทคโนโลยี GOA ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวของ ASEAN NCAP มาแล้ว
Q
ราคาเบี้ยประกันของ Toyota Yaris ATIVประมาณเท่าไหร่? คุณควรต้องจ่ายประมาณกี่บาท
ค่าเบี้ยประกันของ Toyota Yaris ATIV โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณปีละ 15,000 ถึง 25,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของประกัน (เช่น ประกันชั้น 1, ชั้น 2 หรือชั้น 3) รวมถึงอายุผู้ขับขี่ ประสบการณ์การขับขี่ และพื้นที่ที่อยู่อาศัย เช่น ในกรุงเทพฯ ค่าเบี้ยจะสูงกว่าต่างจังหวัดเล็กน้อย เพราะมีความเสี่ยงจากการจราจรและอุบัติเหตุมากกว่า หากเลือกทำประกันชั้น 1 ซึ่งคุ้มครองครอบคลุมทั้งอุบัติเหตุ การโจรกรรม และภัยธรรมชาติ ราคาจะอยู่ใกล้เคียง 25,000 บาท ส่วนประกันชั้น 2 หรือชั้น 3 ที่คุ้มครองน้อยกว่าจะมีราคาอยู่ประมาณ 15,000 - 20,000 บาท นอกจากนี้ บางบริษัทประกันยังมีส่วนลดเบี้ยประกันกรณีไม่มีการเคลมในปีที่ผ่านมา (No Claim Bonus) ทำให้เบี้ยลดลงในปีถัดไปอีกด้วย สำหรับ Yaris ATIV ซึ่งเป็นรถยอดนิยมในไทย อะไหล่หาง่าย ค่าซ่อมไม่แพง ทำให้ค่าเบี้ยประกันถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สูงเหมือนรถนำเข้า แนะนำว่าควรเปรียบเทียบราคาจากหลายบริษัท และเลือกแบบที่มีบริการเสริม เช่น บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือรถยก เพื่อความคุ้มค่ามากที่สุด
Q
Toyota Yaris ATIV มีขนาดเท่าไหร่? มาดูรายละเอียด
Toyota Yaris ATIV มีขนาดตัวถังยาว 4,425 มม. กว้าง 1,740 มม. และสูง 1,480 มม. โดยมีระยะฐานล้อ 2,620 มม. ขนาดแบบนี้ทำให้รถคล่องตัวเวลาใช้งานในเมือง ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่หรือลานจอดรถก็ทำได้ง่ายขึ้น ฐานล้อยาวช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ทำให้นั่งสบายมากขึ้น เมื่อดูจากสัดส่วนของตัวรถแล้ว ถือว่ามีการจัดวางพื้นที่อย่างลงตัว ทั้งด้านความสวยงามภายนอกและการใช้งานภายใน ไม่ว่าจะขับไปทำงานในเมืองหรือพาครอบครัวไปเที่ยว ก็รองรับได้สบายทั้งคนและของ ใช้งานได้จริงและยังคงความสะดวกสบายไว้อย่างครบถ้วน
Q
พื้นที่เก็บของด้านท้าย (ท้ายรถ) ของ Toyota Yaris ATIV กว้างขนาดไหน?
Toyota Yaris ATIV มีปริมาตรกระโปรงหลังเพียง 272 ลิตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นในระดับเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อพับเบาะหลังลง полностью ความลึกจะเพิ่มขึ้นถึง 1,430 มม. ทำให้สามารถขนส่งสิ่งของขนาดใหญ่ได้ แต่ต้องระวังเรื่องช่องว่างระหว่างเบาะกับกระโปรงที่ค่อนข้างกว้าง อาจทำให้การบรรทุกสิ่งของทรงยาวไม่สะดวกนัก แม้ว่าพื้นที่เก็บของจะไม่ใช่จุดเด่น แต่ถ้าใช้งานอย่างเหมาะสม ก็ยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นช้อปปิ้งหรือทริปสั้นๆ เช่น สามารถใส่กระเป๋าเดินทางขนาดปกติหรือของใช้ทั่วไปได้สบายๆ
Q
ค่าบำรุงรักษา Toyota Yaris ATIV ประมาณเท่าไหร่? มาดูรายละเอียด
ค่าบำรุงรักษาปกติของ Toyota Yaris ATIV จะอยู่ที่ประมาณ 2,000–3,000 บาท ซึ่งรวมถึงค่าน้ำมันเครื่อง (แนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ของ Toyota เบอร์ 0W-20 หรือ 5W-30 ที่เหมาะกับอากาศร้อนของไทย) ค่ากรองน้ำมันเครื่อง และค่าตรวจเช็กพื้นฐานต่างๆ โดยศูนย์บริการ Toyota ในไทยแนะนำให้เข้ารับบริการทุกๆ 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน เพื่อให้รถอยู่ในสภาพที่ดีเสมอ นอกจากนี้ ในช่วงก่อนและหลังฤดูฝน ควรตรวจเช็กระบบแอร์และเบรกเป็นพิเศษ ซึ่งบริการส่วนนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมประมาณ 500–800 บาท เมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน Yaris ATIV ถือว่ามีค่าบำรุงรักษาที่ประหยัด เพราะ Toyota มีระบบอะไหล่และบริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ มีศูนย์บริการมาตรฐานกว่า 150 แห่งทั่วไทย ทำให้เจ้าของรถมั่นใจได้ทั้งเรื่องราคาและคุณภาพการดูแล อีกทั้งยังตอบโจทย์การใช้งานบนถนนเมืองไทยที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี
ดูเพิ่มเติม