Q
GT-R วิ่งเร็วกว่า Chiron หรือไม่
การเปรียบเทียบว่า GT-R หรือ Chiron เร็วกว่านั้นไม่สามารถตัดสินได้ง่าย ๆ เพราะความเร็วขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย GT-R ใช้เครื่องยนต์ V6 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ แม้แต่ละรุ่นจะมีรายละเอียดต่างกัน แต่บางรุ่นสามารถเร่ง 0–100 กม./ชม. ได้ภายในประมาณ 2.7 วินาที และมีความเร็วสูงสุดราว 315 กม./ชม. ส่วน Bugatti Chiron มาพร้อมเครื่องยนต์ W16 ขนาด 8.0 ลิตร แบบสี่เทอร์โบ ให้พละกำลังมหาศาล เร่ง 0–100 กม./ชม. ได้ในประมาณ 2.5 วินาที และความเร็วสูงสุดทะลุ 400 กม./ชม. ซึ่งในด้านอัตราเร่งและความเร็วปลาย Chiron มักเหนือกว่าอย่างชัดเจนด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์และการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม GT-R ก็มีจุดแข็งของตัวเอง เช่น ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ช่วยให้การเร่งความเร็วมีความเสถียรมากขึ้น และในบางสนามแข่งก็มีผลงานดีเยี่ยม โดยสรุปแล้วทั้งสองคันล้วนเป็นตัวแทนของสมรรถนะระดับสูง Chiron เด่นเรื่องความเร็วสุดขีด ส่วน GT-R ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่แพ้กัน
ข้อความพิเศษ: เนื้อหานี้โพสต์โดยผู้ใช้ และไม่ได้แสดงถึงมุมมองและจุดยืนของ PCauto
Q&A เกี่ยวข้อง
Q
GT-R และ GT-R Pro มีความแตกต่างอย่างไร
Nissan GT-R กับ GT-R Pro มีความแตกต่างกันหลัก ๆ ในด้านการปรับจูนสมรรถนะ การควบคุมการขับขี่ และความเหมาะสมในการใช้งานในสนามแข่ง แม้ทั้งสองรุ่นจะใช้เครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบ ขนาด 3.8 ลิตรเหมือนกัน แต่ GT-R Pro ได้รับการอัปเกรดช่วงล่างด้วยโช้กอัพ Bilstein แบบปรับค่าแรงหน่วงได้ ระบบเบรกเซรามิกคาร์บอน และชุดแอร์โรไดนามิกที่ดุดันยิ่งขึ้น เช่น สปอยเลอร์หน้า-หลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ระดับสูง ภายในห้องโดยสารยังมีการลดน้ำหนักโดยใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มากขึ้น พร้อมเบาะนั่งสปอร์ตจาก Recaro เพื่อมอบประสบการณ์ขับขี่ที่มั่นคงในความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายของ GT-R Pro จะน้อยกว่ารุ่นปกติ เนื่องจากเน้นสมรรถนะเป็นหลัก จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการรถสำหรับขับในสนามแข่งหรือขับขี่แบบเร้าใจ ขณะที่ GT-R รุ่นมาตรฐานจะเหมาะกับการขับใช้งานในชีวิตประจำวันและขับทางไกลได้สบายกว่า สำหรับผู้บริโภคในประเทศไทย หากคุณมองหารถสมรรถนะสูงที่ขับได้ทุกวัน GT-R รุ่นมาตรฐานคือทางเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณเป็นสายสนามตัวจริง GT-R Pro จะตอบโจทย์ได้มากกว่า
Q
ความแตกต่างระหว่าง GT C และ GT-R คืออะไร
GT C และ GT-R เป็นรถสมรรถนะสูงจากคนละค่าย โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน GT-R จาก Nissan เป็นรถสปอร์ตระดับตำนานของญี่ปุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ ขับเคลื่อนสี่ล้อ เซตช่วงล่างแบบสนามแข่ง เน้นความแม่นยำในการควบคุม เหมาะกับคนที่ชอบขับขี่แบบดุดันและเน้นสมรรถนะล้วนๆ ส่วน GT C ซึ่งมักหมายถึง Mercedes-AMG GT C เป็นรถสปอร์ตจากฝั่งเยอรมันที่ผสานความแรงและความหรูหราเข้าไว้ด้วยกัน ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ มีระบบช่วงล่างปรับได้ ดีไซน์หรู ภายในสบาย เหมาะกับการเดินทางไกลสไตล์ Grand Touring ในตลาดประเทศไทย GT-R ได้รับความนิยมในหมู่คนรักความเร็วและสนามแข่ง ขณะที่ AMG GT C เหมาะกับผู้ที่ต้องการรถสปอร์ตหรูที่ให้ทั้งสมรรถนะและความสะดวกสบาย ดังนั้นหากคุณชอบอารมณ์ดิบแบบรถญี่ปุ่น GT-R คือคำตอบ แต่หากคุณต้องการความหรูหราแบบเยอรมัน GT C ก็อาจเหมาะกว่า
Q
ความแตกต่างระหว่าง GT T และ GT-R คืออะไร
คุณอาจกำลังถามถึงความแตกต่างระหว่าง “GT-R T-spec” กับ “GT-R Premium Luxury” ราคาของ “GT-R T-spec” อยู่ที่ 12,200,000 บาท ส่วน “GT-R Premium Luxury” ราคา 10,700,000 บาท นอกจากราคาที่ต่างกันแล้ว ทั้งสองรุ่นมีสเปกหลักที่ใกล้เคียงกัน โดยใช้เครื่องยนต์ขนาด 3799 ซีซี ระบบส่งกำลัง และขนาดตัวถังเหมือนกัน คือ ความยาว 4710 มม. ความกว้าง 1895 มม. ความสูง 1370 มม. ฐานล้อ 2780 มม. มี 2 ประตู และ 4 ที่นั่ง อย่างไรก็ตาม “GT-R T-spec” อาจมาพร้อมกับอุปกรณ์ วัสดุ หรือการปรับแต่งที่เหนือระดับและเป็นเอกลักษณ์มากกว่า เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าได้มากขึ้น
Q
GT-R และ GT-R NISMO มีความแตกต่างกันอย่างไร
GT-R กับ GT-R NISMO มีความแตกต่างในหลายด้าน โดย GT-R NISMO เป็นรุ่นอัพเกรดของ GT-R ซึ่งพัฒนาโดยแผนกสมรรถนะสูงของนิสสัน ทำให้มีพละกำลังสูงกว่า GT-R รุ่นปกติ ด้วยการปรับแต่งเครื่องยนต์และระบบต่าง ๆ เพื่อให้กำลังขับเคลื่อนดียิ่งขึ้น ในด้านชุดแต่งตัวถัง GT-R NISMO ใช้วัสดุน้ำหนักเบา เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ ช่วยลดน้ำหนักรถ ส่งผลให้ความเร็วและการควบคุมรถดีขึ้น โดยเฉพาะในการเร่งและเข้าโค้ง ส่วนระบบช่วงล่าง GT-R NISMO ติดตั้งช่วงล่างเวอร์ชันพรีเมียม สามารถรองรับสภาพถนนที่ซับซ้อนและการขับขี่ที่รุนแรงได้ดี ให้การหนุนรับและความมั่นคงสูงขณะขับด้วยความเร็วสูงหรือเข้าโค้งอย่างรวดเร็ว สรุปคือ GT-R NISMO เป็นการอัพเกรดแบบครบวงจรจาก GT-R เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสมรรถนะและประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือชั้นกว่า
Q
Tesla มันเร็วกว่า GT-R หรือไม่
ไม่สามารถสรุปได้ง่าย ๆ ว่าเทสล่าจะเร็วกว่าหรือช้ากว่า GT-R เพราะประสิทธิภาพการเร่งความเร็วและความเร็วสูงสุดขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นของรถ GT-R เป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงของนิสสัน ที่มักติดตั้งเครื่องยนต์ V6 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ มีสมรรถนะแรงม้าโดดเด่น เช่น บางรุ่นทำเวลาเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ประมาณ 2.7 วินาที และความเร็วสูงสุดถึง 315 กม./ชม. ขณะที่เทสล่ามีหลายรุ่น เช่น Model S P100D ที่ทำเวลาเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ราว 2.5 วินาที ซึ่งในด้านการเร่งความเร็ว อาจเร็วกว่าบางรุ่นของ GT-R แต่การเปรียบเทียบความเร็วยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพแวดล้อมการขับขี่ น้ำหนักบรรทุก และทักษะผู้ขับขี่ ดังนั้นในสถานการณ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน สมรรถนะความเร็วของทั้งสองรถอาจแตกต่างกัน จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าเทสล่าจะเร็วกว่า GT-R เสมอไป
Q
GT-R วิ่งเร็วกว่า Supra หรือไม่
โดยทั่วไปแล้ว Nissan GT-R มักจะเร็วกว่ารถ Toyota Supra ในด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ GT-R ติดตั้งเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 555 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 632 นิวตันเมตร ขณะที่ Supra ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ซึ่ง GT-R มีทั้งแรงม้าและแรงบิดที่สูงกว่า ในเรื่องของอัตราเร่ง GT-R ทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ภายในประมาณ 2.7 วินาที ขณะที่ Supra ใช้เวลาประมาณ 4.1 วินาที ความเร็วสูงสุดของ GT-R อยู่ที่ราว 315 กม./ชม. ส่วน Supra อยู่ที่ประมาณ 250 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม ในการขับขี่จริง ความเร็วยังขึ้นอยู่กับสภาพถนน เทคนิคการขับขี่ และปัจจัยอื่น ๆ นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมีจุดเด่นในด้านการควบคุมและความปลอดภัยที่แตกต่างกัน จึงไม่สามารถตัดสินได้เพียงแค่ความเร็วว่าใครดีกว่ากันครับ
Q
GT-R มีเทอร์โบคู่หรือไม่
ใช่ครับ Nissan GT-R ติดตั้งระบบเทอร์โบคู่ เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร รุ่น VR38DETT ซึ่งพัฒนามาจากเครื่องยนต์ VQ ของนิสสันที่ได้รับคำชื่นชมอย่างกว้างขวาง ระบบเทอร์โบคู่ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถรีดกำลังสูงสุดได้ที่ 6400 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงในช่วงรอบเครื่องยนต์ 3200 ถึง 6000 รอบต่อนาที เทคโนโลยีเทอร์โบคู่ช่วยเพิ่มสมรรถนะทั้งกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ ส่งผลให้ GT-R มีสมรรถนะการเร่งความเร็วที่โดดเด่นและแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะขับขี่ในชีวิตประจำวันหรือในสนามแข่ง ก็สามารถแสดงศักยภาพของรถสปอร์ตระดับสูงได้อย่างเต็มที่ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างและเร้าใจแก่ผู้ขับขี่ครับ
Q
GT-R ดีต่อการใช้แก๊สหรือไม่
Nissan GT-R รถสปอร์ตสมรรถนะสูงรุ่นนี้แนะนำให้ใช้น้ำมันเบนซิน 95 หรือสูงกว่าเพื่อรับประกันสมรรถนะและความน่าเชื่อถือของเครื่องยนต์ แม้ว่าจะสามารถใช้น้ำมันเบนซิน 91 ได้ในระยะสั้น แต่เมื่อใช้งานในประเทศไทยระยะยาวควรเลือกใช้น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทนสูงเพื่อป้องกันการน็อกของเครื่องยนต์และรักษาระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ปั๊มน้ำมันในประเทศไทยโดยทั่วไปมีน้ำมันเบนซิน 95 เช่น PTT 95 หรือ Bangchak E20 Gasohol รวมทั้งน้ำมันแก๊สโซฮอล์และดีเซล แต่เครื่องยนต์เทอร์โบที่มีอัตราส่วนการอัดสูงของ GT-R ไม่เหมาะกับน้ำมัน E20 หรือดีเซล ดังนั้นควรเลือกใช้น้ำมันเบนซิน 95 หรือ 98 ที่บริสุทธิ์เพื่อลดผลกระทบจากเอทานอลต่อระบบเชื้อเพลิง หากต้องการเพิ่มสมรรถนะ บางอู่แต่งรถในไทยยังแนะนำให้น้ำมันเชื้อเพลิงสูตรแข่งหรือสารเติมแต่งเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือรถเพื่อให้รถมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพในระยะยาว
Q
GT-R จะใช้งานได้นานเท่าไหร่
Nissan GT-R ไม่มีระยะเวลาการใช้งานที่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รุ่นปัจจุบันคือรุ่น R35 ซึ่งเปิดตัวในปี 2007 และมีอายุการใช้งานประมาณ 17 ปีจนถึงปัจจุบัน โดย Nissan ยืนยันว่าการผลิตรุ่น R35 จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2024 หากใช้งานตามปกติและดูแลรักษาอย่างดี รถ GT-R สามารถใช้งานได้ประมาณ 10 ถึง 15 ปี เช่น การบำรุงรักษาตามระยะเวลาที่กำหนด เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงซ่อมแซมปัญหาเล็กน้อยที่เกิดขึ้นทันเวลา จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย มีนิสัยการขับขี่ที่ไม่ดี และขาดการดูแลรักษาที่เหมาะสม อายุการใช้งานอาจลดลงอย่างมาก อาจเริ่มมีปัญหาและส่งผลต่อการใช้งานภายใน 5 ถึง 8 ปีเท่านั้น
Q
Nissan GT-R เป็นรถซูเปอร์คาร์หรือไม่
ใช่ครับ Nissan GT-R คือรถซูเปอร์คาร์รุ่นหนึ่งที่ผลิตโดย Nissan GT-R เป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่มีความน่าเชื่อถือและมีกำลังแรงม้าสูง ซึ่งเดิมเป็นรุ่นท็อปของซีรีส์ Skyline RV ของ Nissan และปัจจุบันได้กลายเป็นรุ่นรถยนต์แยกต่างหาก GT-R ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตรที่ให้กำลังแรงและแรงบิดสูง ช่วยให้เร่งความเร็วได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีสมรรถนะการควบคุมที่ยอดเยี่ยม ด้วยจุดศูนย์ถ่วงต่ำและระบบช่วงล่างที่ปรับแต่งอย่างดีเยี่ยม ทำให้มีความมั่นคงขณะเข้าโค้ง การออกแบบอากาศพลศาสตร์ช่วยให้รูปลักษณ์ดุดันและเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ด้วยความเร็วสูง GT-R ได้ฝากผลงานที่โดดเด่นในวงการแข่งรถและได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้ชื่นชอบรถยนต์ ยืนยันตำแหน่งซูเปอร์คาร์ของมันอย่างมั่นคง
Q&A ล่าสุด
Q
ลมยางของ BYD Sealion 7 ควรเติมเท่าไหร่?
ลมยางของ BYD Sealion 7 ควรเติมอยู่ที่ประมาณ 2.5 บาร์
ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่ทางผู้ผลิตแนะนำ แต่ผู้ขับสามารถปรับตามความรู้สึกหรือการใช้งานได้ในช่วงประมาณ 2.2 – 2.7 บาร์
การปรับลมยางควรคำนึงถึงน้ำหนักบรรทุก อุณหภูมิในแต่ละฤดู และสภาพถนนด้วย เช่น:
• หน้าหนาว: อุณหภูมิต่ำ ควรเติมลมมากกว่าปกติเล็กน้อย เช่น เพิ่มอีก 0.2 บาร์
• หน้าร้อนหรือจอดกลางแดด: อุณหภูมิสูง ควรลดลมนิดหน่อย ประมาณ 0.1 บาร์ เพื่อป้องกันยางระเบิดจากแรงดันสูงเกิน
• ขับรถคนเดียวหรือบรรทุกไม่มาก: เติมตามค่าต่ำสุดของช่วงที่แนะนำ
• บรรทุกหนักหรือมีผู้โดยสารเต็มคัน: เติมตามค่าบาร์สูงสุดของช่วงที่แนะนำ
• ถนนขรุขระหรือหลุมบ่อเยอะ: ลดลมลงเล็กน้อย 0.1–0.2 บาร์ เพื่อให้รถนุ่มขึ้น
• วิ่งทางไกลหรือทางด่วน: ไม่ควรปล่อยให้ลมน้อยเกินไป อาจเพิ่มจากค่ามาตรฐานอีกประมาณ 0.2 บาร์ เพื่อความปลอดภัยและลดการสึกของยาง
สิ่งสำคัญคือต้องเช็กลมยางตอนที่ ยางยังเย็น (cold tire pressure) เพราะถ้าวัดตอนที่ขับมานาน ลมจะขยายตัวและค่าจะไม่แม่น
และล้อทั้ง 4 ควรมีค่าลมใกล้เคียงกัน ถ้ามีความต่างกันมากเกินไป แนะนำให้ปรับให้เท่ากันค่ะ
Q
ล้อของ BYD Sealion 7 มีขนาดเท่าไร?
ขนาดยางของ BYD SEALION 7 จะแตกต่างกันไปตามรุ่นรถ โดยรุ่น Premium RWD ทั้งปี 2025 และ 2024 จะใช้ยางหน้ารุ่น 235/50 R19 และยางหลังขนาด 255/45 R19 ส่วนรุ่น Performance AWD ทั้งปี 2025 และ 2024 จะใช้ยางขนาดเดียวกันทั้งคู่คือ 245/45 R20
ขนาดยางที่แตกต่างกันส่งผลต่อการควบคุมรถ ความสะดวกสบาย และรูปลักษณ์ภายนอก ยางขนาดใหญ่มักจะให้แรงยึดเกาะและความมั่นคงที่ดีกว่า ในขณะที่อัตราส่วนความแบนและความกว้างของยางที่ออกแบบมาเฉพาะก็มีผลต่อความรู้สึกขณะขับขี่เช่นกัน
Q
BYD Sealion 7 กินน้ำมันเท่าไหร่?
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันของ BYD Sealion 7 จะขึ้นอยู่กับรุ่นของรถและสภาพการขับขี่ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น รุ่น Sealion 07 DM-i ปี 2025 เครื่องยนต์ 1.5L ระยะทางไฟฟ้า 125 กม. รุ่น Premium ตามข้อมูลจากทางบริษัท อัตราสิ้นเปลืองจะอยู่ที่ประมาณ 3.1 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร
ส่วนรุ่นกลางที่วิ่งด้วยไฟฟ้าได้ 80 กม. เมื่อต้องใช้น้ำมันในการขับขี่ (ในสภาพบรรทุกผู้โดยสารเต็มคัน เปิดแอร์ ขับทั้งในเมืองและทางด่วนแบบผสมกัน) พบว่า อัตราสิ้นเปลืองจริงอยู่ที่ประมาณ 5.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
ถ้าสภาพถนนดี ขับแบบไม่เร่งเครื่องแรงเกินไป และมีน้ำหนักบรรทุกไม่มาก ก็สามารถลดอัตราการสิ้นเปลืองลงได้อีก
โดยรวมแล้ว อัตราการกินน้ำมันของ Sealion 7 ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะการขับขี่ น้ำหนักรถ และสภาพถนน แต่ในภาพรวม รถไฮบริดแบบนี้ก็ถือว่าให้ความประหยัดพอสมควรเมื่อเทียบกับรถน้ำมันทั่วไปค่ะ
Q
BYD Sealion 7 น่าซื้อไหม? ดูจุดเด่นของรุ่นนี้
BYD Sealion 7 เป็นรถยนต์ที่น่าสนใจและคุ้มค่าสำหรับคนที่กำลังมองหา SUV ไฟฟ้าขนาดใหญ่ รุ่นนี้จัดอยู่ในกลุ่ม D-Segment และถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม BYD e-Platform 3.0 EVO
ด้านสมรรถนะ รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังมีกำลังสูงสุด 313 แรงม้า เร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 6.7 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 567 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อให้กำลังถึง 530 แรงม้า เร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 4.5 วินาที และวิ่งได้ 542 กม. ทั้งสองรุ่นทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 225 กม./ชม.
ตัวรถมีขนาด ยาว 4,830 มม. กว้าง 1,925 มม. สูง 1,620 มม. และระยะฐานล้อ 2,930 มม. ทำให้ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เหมาะกับการเดินทางทั้งในเมืองและทางไกล
อุปกรณ์ภายในจัดเต็ม เช่น หน้าจอควบคุมกลางขนาด 15.6 นิ้ว ลำโพง DYNAUDIO จำนวน 12 ตัว ระบบแสดงผลบนกระจกหน้า (HUD) และแอร์แยกสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
ด้านความปลอดภัยก็น่าไว้วางใจ เพราะมาพร้อมถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ระบบเบรก ABS ระบบควบคุมเสถียรภาพ และระบบช่วยขับขี่อีกหลายอย่าง
ราคาจำหน่ายในไทย รุ่นขับหลังอยู่ที่ 1,249,900 บาท และรุ่นขับสี่ล้ออยู่ที่ 1,399,900 บาท ถ้าคุณเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับสมรรถนะ พื้นที่ใช้สอย และฟีเจอร์ภายใน BYD Sealion 7 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าพิจารณาค่ะ
Q
BYD Sealion 7 วางขายเมื่อไหร่?
BYD Sealion 7 เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2024 ที่งานมหกรรมยานยนต์นานาชาติครั้งที่ 41 (Thailand International Motor Expo)
รถรุ่นนี้เป็น SUV ไฟฟ้าเต็มระบบที่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม e-Platform 3.0 ของ BYD และจัดอยู่ในกลุ่ม D-Segment มีดีไซน์ภายนอกโดดเด่นตามแนวคิด Ocean Aesthetics ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
ด้านสมรรถนะ ตัวรถมาพร้อมมอเตอร์วางหลัง อัตราเร่งแรงด้วยเกียร์แบบ single-speed รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.5 วินาที
จุดเด่นอื่น ๆ ยังรวมถึงระบบชาร์จเร็ว โครงสร้างตัวถังแข็งแรง และระบบความปลอดภัยที่ไว้ใจได้ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่สำหรับคนที่กำลังมองหารถ EV ที่ทั้งแรง ทั้งทันสมัย และใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันค่ะ
ดูเพิ่มเติมข่าวที่เกี่ยวข้อง

Nissan รุ่นต่อไปของ GT-R จะใช้ระบบพลังงานผสม ภายใน 3-5 ปีจะเข้าตลาด
ธนวัฒน์Apr 23, 2025

Nissan ปิดการสั่งซื้อ GT-R R35 รถแข่งญี่ปุ่นกำลังสูญเสียในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า
สุรเดชMar 5, 2025

การกลับมาของรุ่นคลาสสิค: นิสสัน GTR T-Spec เปิดตัวในมหกรรมยานยนต์ในกรุงเทพฯ
AshleyMar 20, 2024

Nissan เปิดตัว LEAF เจเนอเรชันที่ 3 เปลี่ยนโฉมจากรถแฮทช์แบ็กเป็น SUV คาดอาจนำเข้าไทยเร็ว ๆ นี้
LienJun 19, 2025

Nissan Almera มอบส่วนลดพิเศษ 90,000 บาท โดยมีราคาต่ำสุดเพียง 499,000 บาท
LienJun 11, 2025
ดูเพิ่มเติม
ข้อดี
ข้อเสีย