Apple ประกาศว่า CarPlay Ultra เป็นการอัปเกรดที่สำคัญ สามารถควบคุมแดชบอร์ด เบาะที่นั่ง และอื่น ๆ

【PCauto】บริษัท Apple ได้เปิดตัวระบบอินโฟเทนเมนต์ในรถยนต์รุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ CarPlay Ultra อย่างเป็นทางการ โดยตามข้อมูลจาก Apple ระบบนี้มุ่งเน้นการ “ผสานการทำงานกับฮาร์ดแวร์ของรถยนต์อย่างลึกซึ้ง” ซึ่งไม่ใช่เพียงการอัปเกรดจาก CarPlay เดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกเครื่องอินเทอร์เฟซความบันเทิงภายในรถใหม่ทั้งหมด โดยมีเป้าหมายในการรองรับหน้าจอแสดงผลทุกตำแหน่งภายในรถ ไม่ว่าจะเป็นหน้าปัดดิจิทัล หน้าจอกลาง หรือระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

หลังจากมีการเปิดตัวแนวคิดครั้งแรกในปี 2022 และผ่านกระบวนการพัฒนานานถึง 3 ปี ระบบ CarPlay Ultra ก็ได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยถูกนำมาใช้ครั้งแรกในรถยนต์รุ่นใหม่ของ Aston Martin ได้แก่ DB12, DBX, Vanquish และ Vantage ซึ่งทั้งหมดเป็นรถยนต์ระดับหรู โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ประมาณ 5,977,800 บาท

ที่น่าสนใจคือ ลูกค้าที่ซื้อรถรุ่นที่รองรับไปแล้ว จะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานระบบ CarPlay Ultra ได้ภายในไม่กี่สัปดาห์หลังการเปิดตัวนอกจาก Aston Martin แล้ว แบรนด์รถยนต์อย่าง Hyundai, Kia และ Genesis ก็ได้ยืนยันเข้าร่วมสนับสนุนระบบนี้แล้วเช่นกัน ขณะที่ Porsche, Ford และ Volvo วางแผนจะทยอยนำระบบดังกล่าวไปติดตั้งในรุ่นใหม่ ๆ ในอนาคต

ในด้านฟังก์ชัน CarPlay Ultra โดดเด่นด้วยข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ของการบูรณาการระบบ ที่สามารถควบคุมฟังก์ชันหลักของรถได้ เช่น แผงหน้าปัดดิจิทัล ระบบปรับอากาศ และการปรับเบาะที่นั่ง ระบบยังมาพร้อมวิดเจ็ตแบบไดนามิก ที่สามารถแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น ระบบนำทาง สภาพอากาศ และตารางนัดหมาย เทคโนโลยี Multi-screen Collaboration ยังรองรับการทำงานแยกหน้าจอภายในรถ เช่น ผู้ขับใช้งานหน้าจอนำทาง ขณะที่ผู้โดยสารด้านหน้าสามารถเล่นสื่อบันเทิงได้พร้อมกัน รูปแบบการใช้งานยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของระบบ iOS รองรับทั้งการควบคุมด้วยท่าทาง และการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการเรียนรู้ของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งจะพบว่า ระบบ CarPlay Ultra ยังมีข้อจำกัดหลายประการในการใช้งานจริง

ประการแรก ราคาจำหน่ายของรถยนต์รุ่นที่รองรับในปัจจุบันอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้เทคโนโลยีดังกล่าวแยกออกจากกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป และขัดแย้งกับแนวคิดของเทคโนโลยีที่ควรเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ส่งผลให้ระบบนี้กลายเป็นฟีเจอร์เฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมเท่านั้น

ประการที่สอง แม้ในกลุ่มผู้ใช้ที่มีเงื่อนไขพร้อมใช้งาน ฟังก์ชันของระบบก็ยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ Apple จะเน้นย้ำถึงการบูรณาการฮาร์ดแวร์อย่างลึกซึ้ง แต่ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายยังคงตั้งข้อจำกัดในการเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ของระบบ ด้วยเหตุผลด้านความเป็นอิสระของระบบแบรนด์ และความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้ CarPlay Ultra ในปัจจุบันยังคงให้บริการได้เพียงฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น ระบบนำทาง และการเล่นไฟล์เสียง ขณะที่ฟังก์ชันขั้นสูง เช่น การควบคุมระบบปรับอากาศ หรือการเปิด-ปิดกระจกหน้าต่าง ยังไม่สามารถใช้งานได้ นอกจากนี้ ข้อมูลนำทางยังแสดงผลได้เฉพาะบนหน้าจอกลางเท่านั้น ไม่สามารถส่งต่อไปยังหน้าปัดดิจิทัลหรือหน้าจอแสดงผลบนกระจกหน้า (HUD) ได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งส่งผลให้ทรัพยากรฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ไม่ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และลดความสะดวกในการรับข้อมูลระหว่างขับขี่ รวมถึงอาจกระทบต่อความปลอดภัยในบางสถานการณ์

โดยพื้นฐานแล้ว ความร่วมมือระหว่าง Apple และผู้ผลิตรถยนต์ในด้าน CarPlay เป็นลักษณะของ “เกมผลประโยชน์” มากกว่าความร่วมมือแบบสมบูรณ์ Apple พยายามใช้ความได้เปรียบด้านเทคโนโลยี เพื่อสร้างอิทธิพลในระบบอัจฉริยะภายในรถยนต์ ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ยังมีความกังวลในเรื่องของการควบคุมแบรนด์และอธิปไตยข้อมูล ทำให้ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุฉันทามติที่ชัดเจนในเชิงผลประโยชน์ร่วม

หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จของการผสานระบบระหว่างผู้พัฒนาเทคโนโลยีและผู้ผลิตรถยนต์ คือระบบห้องโดยสาร HarmonyOS ที่พัฒนาโดย HUAWEI ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการทำงานระหว่างสมาร์ตโฟนและระบบภายในรถได้อย่างลื่นไหล ผู้ใช้สามารถโอนย้ายวิดีโอที่กำลังรับชม หรือภารกิจนำทางจากหน้าจอรถไปยังโทรศัพท์มือถือได้เพียงคลิกเดียวเมื่อออกจากรถ ในด้านการทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ ระบบสามารถควบคุมและจัดการอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถได้อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ เบาะนั่ง หรือระบบเสียง และยังรองรับคำสั่งเสียงที่สามารถสั่งงานหลายฟังก์ชันพร้อมกัน เช่น การปรับอุณหภูมิและระดับเสียงเพลงในเวลาเดียวกัน

นอกจากนี้ ห้องโดยสาร HarmonyOS ยังพัฒนาบนโครงสร้างของบริการคลาวด์ของ HUAWEI ซึ่งเปิดให้บุคคลที่สามสามารถเข้าร่วมพัฒนาและเชื่อมต่อแอปพลิเคชันได้อย่างสะดวก ช่วยขยายขอบเขตการใช้งานภายในรถให้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจาก CarPlay ของ Apple ที่ยังคงมีระบบปิดและจำกัดการเข้าถึงสำหรับนักพัฒนาภายนอก

แม้ว่า Apple จะประกาศว่า CarPlay Ultra เป็นการอัปเกรดที่ “ล้ำหน้าแบบปฏิวัติ” แต่ในความเป็นจริง ระบบดังกล่าวยังจำกัดอยู่เฉพาะในรถยนต์ระดับไฮเอนด์จำนวนเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งแทบไม่มีผลต่อผู้บริโภคส่วนใหญ่