Toyota Crown Sport ขายไม่ปังในญี่ปุ่น เหตุราคาสูงเกินไป

【PCauto】นับตั้งแต่ Toyota Crown Sport เปิดตัวในปี 2023 ยอดขายของรุ่นนี้มีความผันผวนอย่างมาก ในฐานะสมาชิกใหม่ของตระกูล Toyota Crown รถรุ่นนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งในตลาดญี่ปุ่นและตลาดต่างประเทศ

ยอดขาย Toyota Crown Sport ร่วงต่อเนื่องตั้งแต่เปิดตัว

ช่วงเปิดตัวในปี 2023 Toyota Crown Sport เคยมียอดขายต่อเดือนทะลุ 3,000 คัน แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 ยอดขายลดลงมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจุบันมียอดเพียงราว 700 คันต่อเดือน ล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 โตโยต้าได้เปิดตัวรุ่นเริ่มต้น “Sport G” ราคา 5.2 ล้านเยน (ประมาณ 1,196,000 บาท) ซึ่งถูกกว่ารุ่นเดิม 700,000 เยน เพื่อบรรเทาแรงกดดันด้านราคา แต่ผลลัพธ์ยังต้องติดตามต่อไป

Toyota Crown Sport ราคาแรงกว่าคู่แข่งและเกินคาดผู้ซื้อ

ในตลาดญี่ปุ่น รุ่นไฮบริด “SPORT Z” มีราคาเริ่มต้นที่ 5.90 ล้านเยน (ประมาณ 1,299,000 บาท) ส่วนรุ่นปลั๊กอินไฮบริด “SPORT RS” ทะยานไปถึง 7.65 ล้านเยน (ประมาณ 1,685,000 บาท) ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันอย่าง BMW X3 M40i อย่างชัดเจน

ในขณะที่ความคาดหวังด้านราคารถของผู้บริโภคอยู่ราว ๆ 4.0 ล้านเยน (ประมาณ 881,000 บาท) แต่ราคาจริงกลับสูงกว่าราว 50% แม้ตัวรถจะมาพร้อมเทคโนโลยีล้ำ ๆ อย่างระบบไฮบริด, ขับเคลื่อนสี่ล้อไฟฟ้า E-Four และ DRS ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งจากเยอรมันอย่าง Mercedes-Benz GLC Coupe และ BMW X4 แล้ว Toyota Crown Sport ก็ยังมีพลังแบรนด์ (Brand Premium) ที่อ่อนกว่าพอสมควร

มองในภาพรวมตลาดโลก Toyota Crown Sport ในตลาดอเมริกาเหนือและยุโรปยังขาดความเป็นแบรนด์หรูแบบ Lexus ทำให้เสียเปรียบเมื่อแข่งกับแบรนด์เยอรมันกลุ่ม BBA อย่าง BMW และ Mercedes-Benz ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเทียบกับ BMW X3 (ราคา 8.08 ล้านเยน หรือราว 1,779,000 บาท) และ Mercedes-Benz GLC (ราคา 8.19 ล้านเยน หรือราว 1,803,000 บาท) ที่มีส่วนต่างราคาเพียง 5% ผู้บริโภคจึงมักจะเลือกแบรนด์หรูอย่าง Mercedes-Benz หรือ BMW มากกว่า

Toyota Crown Sport ชนกับรุ่นพี่ในบ้านตัวเองเรื่องราคา

การแข่งขันภายในและความซ้ำซ้อนของไลน์อัปยิ่งทำให้ Toyota Crown Sport ทำตลาดได้ยากขึ้น เพราะตระกูล Crown มีทั้งรุ่น Crossover, Sedan และ Estate จนเกิดความซ้ำซ้อนของสินค้าและกระจายกลุ่มเป้าหมายออกไป เช่น Crown Crossover มียอดขายต่อเดือนคงที่ราว 2,000–3,000 คัน ขณะที่ Crown Sport กลับมียอดขายลดลงอย่างมากในปี 2024 ด้านการวางตำแหน่งก็มีปัญหา เพราะตั้งใจทำให้สปอร์ตเพื่อดึงดูดกลุ่มวัยรุ่น แต่ลูกค้าหลักกลับเป็นผู้ใช้เดิมอายุ 50 ปีขึ้นไป

กลุ่มวัยรุ่นมองว่าราคาแพงเกินไป เช่น เมื่อเทียบกับ Toyota RAV4 ไฮบริด (ราคา 4.33 ล้านเยน หรือราว 953,000 บาท) Crown Sport แพงกว่าถึง 37% และยังมีราคาสูงกว่า Lexus NX 450h+ (ราคา 7.495 ล้านเยน หรือราว 1,650,000 บาท) ส่วนผู้ใช้เดิมก็วิจารณ์ว่าดีไซน์หวือหวาเกินและใช้งานจริงไม่ตอบโจทย์ ทำให้ตลาดสับสน อีกทั้งราคายังทับซ้อนกับรุ่นหรูในเครืออย่าง Lexus RX ยิ่งทำให้ผู้บริโภคหันไปเลือกแบรนด์อื่นมากขึ้น

Crown Sport รอส่งมอบนาน ลูกค้าถอนตัวเพียบ

เมื่อเดือนเมษายน 2024 Toyota ต้องหยุดรับออเดอร์ชั่วคราวเพราะขาดแคลนชิ้นส่วน ทำให้ระยะเวลาส่งมอบรถยาวนานถึง 6 เดือน–1 ปี ส่งผลให้ลูกค้าบางส่วนหันไปเลือกค่ายคู่แข่งแทน

กำลังการผลิตในญี่ปุ่นมีเพียง 700 คันต่อเดือน ปัญหาคอขวดในซัพพลายเชนจึงทำให้การตอบสนองล่าช้า และเมื่อส่งออกมาขายตลาดจีน ปัญหายิ่งชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ยอดขาย Toyota Crown Sport ในปี 2024 มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

มองกลยุทธ์ Toyota ขยายไลน์ Crown แล้วชวนสงสัย

Toyota มีไลน์อัปที่แข็งแกร่งในตลาดรถกลุ่มแมส ขณะที่ในกลุ่มพรีเมียมก็มี Lexus จับตลาดอยู่แล้ว นับตั้งแต่ Crown หลุดพ้นจากยุครถซีดานแบบดั้งเดิม ก็ได้ขยายไลน์ออกมาหลากหลายรุ่น ทั้ง Sedan, Crossover (รถครอสโอเวอร์สไตล์คูเป้ท้ายลาด), Sport (SUV ขนาดกลาง) และ Estate (SUV ขนาดใหญ่) รวมทั้งหมด 4 รุ่น

บางที Toyota อาจมองว่าระหว่างแบรนด์ Toyota กับ Lexus ยังมีช่องว่างทางการตลาดให้ซีรีส์ Crown ยืนอยู่ได้ แต่ความจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะตอนนี้ทั้ง Crown Sport และรุ่นอื่น ๆ ในตระกูล Crown ไม่เพียงแต่ทำให้โครงสร้างราคาระหว่าง Toyota กับ Lexus ปั่นป่วน แต่ยังแย่งกำลังการผลิตกันเอง ที่สำคัญคือทำให้ภาพลักษณ์ของ Crown Sedan ไม่ชัดเจนเหมือนเดิม จากเดิมที่ Toyota ควรมี “มงกุฎ” แค่หนึ่งใบ กลับกลายเป็นว่ามีถึงสี่ใบ แล้วมงกุฎใบไหนกันแน่ที่เป็น Crown ในใจของผู้คน?