Toyota ผนึกกำลังซัพพลายเออร์จีน ลดต้นทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยครั้งแรก!

【PCauto】ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น Toyota กำลังปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทยครั้งใหญ่ ล่าสุดได้ประกาศว่าจะเริ่มจัดซื้อชิ้นส่วนรถยนต์จากซัพพลายเออร์จีนในภูมิภาคอาเซียนเป็นครั้งแรก โดยเป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Summit Group ของไทย และบริษัท Yuefei New Materials จากเมืองอู่ฮู ประเทศจีน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลงได้ถึง 30%

ต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้าพุ่ง ดันค่ายรถปรับซัพพลายเชนใหม่!

จากข้อมูลภายในของ Toyota ประเทศไทย ระบุว่า การใช้วัสดุกันเสียงและชิ้นส่วนอื่น ๆ จากซัพพลายเออร์จีน จะสามารถลดต้นทุนการผลิตต่อคันลงได้ประมาณ 20-30% โดยข้อได้เปรียบด้านต้นทุนนี้มาจากความสามารถในการจัดซื้อวัตถุดิบ แรงงานราคาถูก และขนาดการผลิตที่ใหญ่ของบริษัทจีน

โรงงานร่วมทุนระหว่าง Summit Group และบริษัท Yuefei New Materials จากประเทศจีน มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในประเทศไทยช่วงปลายปี 2024 โดยจะเน้นผลิตชิ้นส่วนสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแพลตฟอร์มของ Toyota

การปรับกลยุทธ์ครั้งนี้มีแรงกดดันหลักมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของแบรนด์รถยนต์จีนในตลาดไทยที่เน้นด้านราคาเป็นจุดแข็ง โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2025 ยอดส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ญี่ปุ่นในไทยลดลงจากจุดสูงสุดที่เคยอยู่ที่ 90% เหลือเพียง 71% ขณะที่แบรนด์จีนเพิ่มขึ้นเป็น 16% โดยเฉพาะ BYD ที่เติบโตอย่างโดดเด่น Toyota ระบุว่า “เราจำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิตลงอย่างมาก โดยไม่ลดทอนคุณภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับกลางและล่าง”

Toyota เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดลุยตลาดอาเซียน

เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงของตลาด Toyota กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ภายใต้แนวคิด “Multi-Pathway Platform” ซึ่งรองรับได้ทั้งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วนและไฮบริด โดยมีแผนจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดรุ่นแรกในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2028

ทีมวิศวกรรมของ Toyota เปิดเผยว่า แพลตฟอร์มใหม่นี้ใช้แนวคิดการออกแบบแบบโมดูลาร์ ซึ่งสามารถลดต้นทุนการพัฒนาได้ถึง 15% และยังได้รับการสนับสนุนด้านต้นทุนเพิ่มเติมจากการใช้ซัพพลายเออร์จีนในการจัดหาชิ้นส่วนแบตเตอรี่ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนภายในห้องโดยสาร

ที่น่าสนใจคือ Toyota ยังคงรักษาความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ญี่ปุ่นรายใหญ่ เช่น Denso และ Aisin Seiki ควบคู่ไปกับการใช้ซัพพลายเออร์จีน ทำให้เกิดเป็นระบบซัพพลายเชนแบบ “ผสมผสานจีน-ญี่ปุ่น” โดยยังคงพึ่งพาซัพพลายเออร์ญี่ปุ่นในชิ้นส่วนสำคัญอย่างระบบส่งกำลังและอุปกรณ์ความปลอดภัย ส่วนชิ้นส่วนตกแต่งและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ใช่หัวใจหลักของรถจึงเลือกใช้ซัพพลายเออร์จีนแทน กลยุทธ์การจัดหาชิ้นส่วนแบบแยกตามระดับความสำคัญนี้ช่วยให้ Toyota ควบคุมคุณภาพได้ดี พร้อมกับลดต้นทุนในเวลาเดียวกัน

Toyota ปรับซัพพลายเชน กระทบอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

ปัจจุบันประเทศไทยมีซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์ประมาณ 3,100 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นบริษัทญี่ปุ่นราว 1,400 ราย และบริษัทจีน 190 ราย นับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา จำนวนซัพพลายเออร์จากจีนเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ขณะที่ซัพพลายเออร์ญี่ปุ่นรายย่อยบางรายที่ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับบริษัทจีนได้ เริ่มลดขนาดธุรกิจในไทยลง

จากข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (TAIA) พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 จีนมีสัดส่วนการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์มายังไทยเพิ่มขึ้นเป็น 18% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 5 จุดเปอร์เซ็นต์ สอดคล้องกับการขยายตัวของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนในตลาดไทย ประธานสมาคมฯ ระบุว่า “นี่คือผลลัพธ์ของกลไกตลาดตามธรรมชาติ ซัพพลายเออร์ในประเทศจำเป็นต้องยกระดับเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิต หากต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้”

Toyota ปรับซัพพลายเชนอย่างรอบคอบ ทดลองรับมือการแข่งขันใหม่

ในฐานะบริษัทรถยนต์รายใหญ่ของโลก Toyota กำลังเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า ต้องรักษาชื่อเสียงด้านคุณภาพไว้ พร้อมกับแข่งขันด้านราคากับแบรนด์จีนที่รุกตลาดอย่างหนัก

หากโมเดลซัพพลายเชนแบบ “ญี่ปุ่น-จีน” นี้ประสบความสำเร็จในประเทศไทย อาจถูกนำไปต่อยอดในตลาดอื่นของอาเซียน ขณะที่ Toyota มีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดในปี 2028 คำถามคือ Toyota จะสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมาได้หรือไม่ด้วยกลยุทธ์นี้ คำตอบยังคงต้องจับตาดูต่อไป